“ก็จักชำระกายร่วมกับเมีย ผิดด้วยรึ?” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ชีกอ ขี้โชว์ไม่พอ ยังเก่งเรื่องการคิดเองเออเองอีกต่างหาก ครบสูตรหลัวชั่วแห่งราชอาณาจักรเสียจริง
“หนูยังไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย” โฉมตรูสะบัดหน้า ขัดใจนักเชียวพ่อยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นสาวเวอร์จิ้น แต่ก็เลือกนะยะ
“เรื่องนั้นพี่มิสนใจ” บุรุษตัวใหญ่กว่าเอื้อมฝ่ามือหนามาไล้แก้มเธอ “อยู่ในเมืองของพี่ ในเรือนของพี่ สักวันก็จักได้เป็นอยู่ดี”
แหม! ช่างพูดช่างจา เกี้ยวพาราสีสาวได้คล่องแคล่วเชียวนะแก
“หนูไม่อาบน้ำกับคุณหรอกค่ะ เชิญอาบไปคนเดียวเลย หนูจะกลับไปนอนที่เรือน” สาวเจ้าพูดพลางเชิดหน้าหนีอุ้งมือใหญ่ ไม่ต้องมาโชว์กล้ามเนื้อตรงนี้จะได้หรือปะ ถึงชาติที่เป็นมธุรสจะบ้ากล้ามหน้าท้องผู้ชายและบ้าหนุ่มกล้ามปูสักเพียงใด แต่จะมิหลงกลพ่อยักษ์กะล่อนนี่เด็ดขาด ความหล่อเหลามันทานไม่ได้! “แล้วเรือนอยู่ทางไหนคะ หนูจำทางกลับเรือนไม่ได้”
โว้ย น่าสมเพชจริงอีนังมธุรส เรื่องหลงๆ ลืมๆ เส้นทางของหล่อนนี่ยังเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ
สาวเจ้าบ่นอุบใส่ตนเอง ไม่มีทางเลือกต้องหมุนตัวพลิกลิ้นกลับไปพึ่งพาเจ้าของบ้านอย่างเขาอย่างเสียมิได้
อสุราหนุ่มแย้มยิ้มพราย “พี่มิบอกน้องดอก”
“เอ้ะ ทำไมคะ!”
“ชำระกายในสระบัวร่วมกันกับพี่สิ เดี๋ยวขึ้นจากท่าแล้วค่อยกลับไปด้วยกัน” มธุรสเผยอปากค้าง หนอยแน่ ไอ้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ เขาใช้ประโยชน์จากการจำทางของหล่อนไม่ได้เพื่อมัดตัวให้เธอสมยอมอาบน้ำด้วย
อย่างนี้ก็แปลว่า... ต้องเปลือยเปล่าเคียงใกล้กับผู้ชายในสระบัวน่ะสิ!
มธุรสจะเป็นลม
“มะ... ไม่ถอดเสื้อได้มั้ยอ่ะ?” เธอป้องตัวอย่างหวงแหนเมื่อถูกยักษ์รูปงามจดจ้องร่างกายราวกับกำลังสแกนสัดส่วนใต้อาภรณ์นั่นก็ไม่ปาน ที่สำคัญตอนนี้เหลือแค่เพียงผ้าด้านล่างที่กำลังจะหลุดไม่หลุดแหล่รอบเอวสอบของเขาเท่านั้น มธุรสแอบเห็นไรขนแสนทระนงนั่งด้วย เส้นเลือดพาดตรงใต้สะดือต่ำลงไปเรื่อยๆ นั่นอีก! “มะ ไม่เอาอ่ะ ไม่ถอดอาบน้ำได้มั้ยคะ นุ่งกระโจมอกก็ได้”
“เช่นนั้นจักสะอาดได้เยี่ยงไร” สุวรรณราพณ์ใช้อุบายล่อลวงหญิงสาว รั้งเอวคอดกิ่วเข้าชิดใกล้ ปลดสไบและสังวาลย์ของเธอด้วยตนเองเสียเลย
“คุณสุวรรณราพณ์!” เธอไม่สามารถขัดขืนผู้ชายอกสามศอกแถมยังเป็นยักษ์เช่นเขาได้ ผลักอกหนาราวกับภูผานั่นยังไงก็ไม่ต่างกับเอาแรงลมเอื่อยๆ ไปสู้ อีกฝ่ายใช้แรงถอด ถอด ถอดไม่กี่ครั้ง ผ้าผ่อนผ้าซิ่นทุกชิ้นรวมถึงของมีค่าก็ลงไปกองกับพื้นหญ้าซะแล้ว
มธุรสในร่างเจ้าจันทร์ล่อนจ้อนอย่างสมบูรณ์
นี่มันอีกครั้งแล้วนะ อีกครั้งแล้วที่สุวรรณราพณ์เห็นนางในสภาพน่าอับอายเช่นนี้
มธุรสอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาดังๆ
แต่นั่นยังคงสร้างความอับอายให้นางไม่พอ ยังคงไม่พอใจเขา เพราะต่อมาอสุราหนุ่มก็ปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตัวเองลงต่อหน้านางนี่เอง
พรึ่บ!
ล่อนจ้อนด้วยกันโดยสมบูรณ์
โอ้ บร๊ะ เจ้า
ภาพตรงหน้าช่างแปลกใหม่ ถึงจะโคตรสัปดนแต่ก็ชวนมองอย่างปฏิเสธไม่ได้ มธุรสอ้าปากค้างทาบอกอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังกาย อวดโฉมความองอาจตรงนั้นเอง
ก้นแน่น ขาวดี แถมยัง... ตาเถร!! นั่นลึงค์หรือปลัดขิกกันแน่คะเนี่ย
รู้สึกเหมือนเลือดลมจะไหลเวียนขึ้นมาที่หน้าซะแล้วสิ
เพราะเป็นหน่วยพิสูจน์อักษรมาก่อน จึงรู้ลึกถึงคำว่าลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) นั้นว่าคืออะไร หากแต่ลึงค์ของอีกฝ่ายนั้นไซร้... ดูแปลกตากว่าชายฝรั่งมังค่าในเว็บพอร์นฮับที่เคยดูนักหนา
เพราะมันใหญ่มาก ขนาดยักษ์สมกับตัวใหญ่ๆ นั่น จะพูดว่าคล้ายๆ ศิวลึงค์ที่บูชากันก็ไม่เกินจริง
“ทะ... ทำไมมันชี้หน้าหนูแบบนี้ล่ะ!” สาวเจ้ารีบเอามือน้อยๆ ปิดตาตนเองอย่างไวว่องเมื่อหรี่ตาไปเห็นว่าท่อนลึงค์ยักษ์นั่นกำลังตั้งจรวดพร้อมรบใส่หน้าเธอ บุรุษที่เปลือยเปล่าพร้อมๆ กับมธุรสนั้นหน้าด้านหน้าทนจริงๆ มีอย่างที่ไหนจับสาวถอดผ้าถอดผ่อน แล้วก็ปลดอาภรณ์ตนเองเช่นนี้ นี่มันกลางแจ้งนะ ไม่อับอายบ้างเลยหรือ
“ปกติของมัน น้องมิจำเป็นต้องปิดตาดอก” สุ้มเสียงดุดันพูดแกมขบขัน สุวรรณราพณ์สนุกสนานนักที่เห็นว่าเจ้าหล่อนหน้าแดงปิดหน้าปิดตาสะเทิ้นอายกับกายาล่อนจ้อนของเขา “อีกมินาน มันก็จักได้เข้าไปอยู่ในกายเจ้า”
อสุราหนุ่มเอ่ยประโยคสองแง่สองง่าม หวังเย้าสาวเจ้าให้อับอายยิ่งขึ้น
“คุณสุวรรณราพณ์ทะลึ่งโคตร!” มธุรสปรามาสบุรุษตรงหน้า หากแต่ก็อดไม่ได้ต้องแหวกแง่งนิ้วน้อยๆ แอบลอบดูสรีระชวนใจสั่นของอีกฝ่ายไปด้วยอย่างย้อนแย้งในตนเอง
ไม่เคยพบไม่เคยเจอ ลึงค์ที่พี่เจนว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง
จนมารู้สึกตัวอีกที บุรุษหนุ่มก็ค่อยๆ ก้าวขาลงไปในน้ำใสเย็นๆ กลางแจ้ง กายาด้านล่างค่อยๆ จมหายไปจนเกือบครึ่งเอวสอบ เรียกได้ว่าตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าลงน้ำไปแล้วได้ถึงขนาดนี้ คงลึกอยู่พอตัว
อสุราเอื้อมมือหนาให้เธอที่ยืนลดละมือมาปกป้องทรวงอกของตนที่กำลังเปิดเผยสู่ผู้ชายเป็นคราที่สอง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร่างกายของเธอ แต่เป็นร่างของโฉมตรูในอดีตชาติที่มธุรสมาสิงร่างอยู่ก็ตาม หากแต่ก็หวงแหนราวกับเป็นร่างกายของตัวเอง
สาวเจ้าส่ายหน้าหวือ ลึกขนาดนั้นจะให้ลงไปทั้งตัวได้ยังไง
“พี่จักประคองน้องไว้เอง มิต้องเป็นกังวล” บุรุษยักษ์ใหญ่เอ่ยคำมั่น เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น จะให้ทำเช่นไรก็ไม่รู้วิธีสวมใส่อาภรณ์ในสมัยโบราณซะด้วย แต่จะให้เดินกลับเรือนทั้งที่ยังเปลือยเปล่าล่อนจ้อนแบบนี้ คงได้ลือกันไปถึงไหนต่อไหน
ถึงจะไม่หวั่นกลัว แต่ก็ไม่อยากถูกครหาว่าเป็นชีเปลือยล่อนจ้อนเดินโทงเทงท่ามกลางยุคโบราณแบบนี้หรอกนะ
ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เธอเคยอยู่ ดังนั้นการทำตามเจ้าของบ้านคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แน่งน้อยค่อยๆ ก้าวขาที่สั่นเทาไปชิดขอบสระบัว ยื่นฝ่ามือเล็กจ้อยไปจับมือของสุวรรณราพณ์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งต่อมาก็ถูกรั้งลงไปในสระบัวด้วยกัน น้ำเย็นเฉียบจนนงคราญสั่นระริก ผวากอดกายใหญ่โตของอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวว่าจะจมลงไป
ฝูงปลาสีเผือกแหวกว่ายมาตอดปลายเท้าของเจ้าหล่อน จั๊กจี้เหลือทนจนต้องหัวเราะคิกคักออกมา ท่ามกลางอ้อมแขนหนาของยักษ์หนุ่ม สาวเจ้าแหงนหน้าขึ้นมองเขาที่ทอดสายตาลงมาที่ร่างกายเปลือยเปล่าของนางใต้อกหนา รีบเบือนหน้าหนีทันที
“พี่จักลูบตัวให้” บุรุษหนุ่มฉีกยิ้มพราย ค่อยๆ วักน้ำเย็นเข้ามือใหญ่ ปาดลูบเนื้อลูบตัวเนียนนวลขาวลออของสาวเจ้าอย่างพึงใจ
“นะ... หนูลูบเองได้น่ะ คุณแค่อุ้มหนูไว้ก็พอ” เธอใช้ฝ่ามือเล็กจ้อยดันมือใหญ่ของเขาออก หน้าแดงก่ำราวกับผลมะเดื่อสุก นำมาซึ่งรอยยิ้มยวนของอีกฝ่ายที่เหนือกว่าเธอ
“อายงั้นหรือ” พระพักตร์ใหญ่เอียงไปกระซิบข้างริมหูของหญิงสาว พร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดเอวคอดของนางแน่นถนัดขึ้น “เพราะที่นี่เป็นกลางแจ้งงั้นหรือ จึงป้องตนไว้เช่นนั้น”
มธุรสฟังแล้วก็เลยได้แต่ก้มลงมองตนเอง เพราะตั้งแต่ที่ถูกดึงลงมาในสระบัว เจ้าหล่อนก็ใช้แขนปกป้องกายาเพื่อมิให้แนบชิดเขาเกินจำเป็นมาโดยตลอด
จะว่าใช่มันก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
ไหนๆ ก็ไม่ใช่ตัวมธุรสจริงๆ อยู่แล้วนี่
หลังจากที่จันทร์ดาได้พบกับแม่ที่แท้จริงของตนเอง แถมกรรณิกาอัปสรกับพระสุวรรณราพณ์ก็คิดจะจับมือกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ต่อลูกอีก ต้องยอมรับว่าเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว “จันทร์ดา เจ้านี่ฝีมือดีจริงหนา” หญิงสาวยิ้มเขินเมื่อมารดาของตนยกผ้าทอมือที่ถูกปักจากขนของครุฑขึ้นมาเชยชม แค่สอนการเย็บปักถักร้อยไม่กี่เดือน นับว่าลูกสาวของเธอหัวไวมากทีเดียว ถึงกับเย็บชุดสไบทรงเครื่องมาให้เลย แถมยังงามจับตาเสียด้วย “เจ้านี่มีพรสวรรค์น่าดู ข้าละภาคภูมิใจเสียจริงๆ” “เป็นเพราะท่านแม่สอนสั่งข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฝ่ายจันทร์ดาเองก็ถ่อมตัวและยกย่องความดีความชอบไปให้แม่ของตนเองแทน กรรณิกาอัปสรที่นั่งอยู่ร่วมกันที่ศาลาริมบึงบัวอดไม่ได้ที่จักแย้มยิ้มปิติยินดี เพราะตอนนี้แม่ลูกได้เข้าใจกันโดยสมบูรณ์ แถมยังสนิทสนมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกด้วย ดูเหมือนจันทร์ดาเองก็ค่อยๆ เปิดใจให้เธอแล้วเช่นเดียวกัน บางคราหญิงสาวก็มองมาราวกับจะสื่อความขอบคุณ ตั้งแต่วันนั้น พระสุวรรณราพณ์ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของลูกโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องบอก ในตอนนี้เหลือเพียงแค่จันทร์ดาที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้ เขาจึงพยายามเข้าหาล
กว่าจักรู้สึกตัวก็โน้มดวงหน้าลงไป คุกเข่าลงเพื่อให้ร่างใหญ่ได้พอดีกับร่างกายเล็กๆ ของนาง ริมฝีปากของหญิงชายใกล้กันจนเอื้อมถึง แต่น้องคนดีกลับเบี่ยงหน้าหนีในทันใด“ข้าบอกพี่แล้วนะ ว่าข้ามีสามีแล้ว” นางยังคงใจแข็งแม้นดวงใจจักเต้นรัวราวกับกลองทับ ดวงหน้าคมคายจึงผละออกไป พระสุวรรณราพณ์ไม่คิดบังคับใจหล่อน หากพร้อมกลับมาคืนใจเมื่อใด เขาจักรออยู่ที่นี่เสมอ “ข้าอยากมาพูดคุยเรื่องอินทร์มุก... ข้ารู้มาว่าบุตรชายของเจ้าพี่หายตัวไป”“ข้าเองก็จนปัญญาที่จักอบรมบ่มสันดานไอ้ลูกชายคนนี้แล้ว ในคุกหลวงก็เหมือนกับว่าจักลักพาพระสนมเนตรเกล้าไปด้วย มันอาจหลงรักนางเข้าจริงๆ” กรรณิกาอัปสรนึกครุ่นคิดถึงชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนา เนตรเกล้า... คงเป็นผู้หญิงปากเสียที่จักเข้ามาทำร้ายเธอในตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเราหลงรักผู้หญิงร้ายกาจตนนั้น “นางถูกคุมขังเพราะเล่นชู้กับพระโอรส พี่กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน”อัปสรสาวนึกตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายที่เคยตัวเล็กน่ารักเพียงครึ่งข้อขาคนนั้นจักเติบโตมาเกเรอาจหาญเล่นชู้กับผู้หญิงได้ แถมยังเป็นพระสนมของพ่อตนเอง ดูท่าว่าการเอาใจใส่ของเขานั้นจักมีปัญหา ลูกจึงเสียนิสัยไปได้ไกลเช่นน
หากแต่เด็กหนุ่มที่มองจ้องมาทางหล่อนนั้น ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ราวกับเขาจ้องมองมาด้วยความใคร่อยากจักรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แลไม่ได้ไว้ใจในตัวของหญิงสาวชาวมนุษย์นักไกรสรไม่ได้รับรู้เรื่องราวได้ชัดเจนสักเท่าไร เนื่องจากเจอแม่อีกทีก็ตอนที่พระสุวรรณราพณ์เล่าเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รู้แค่เพียงว่ามารดาพานางมาเพื่อต้องการชดเชยความผิดจากอดีตที่ทำต่ออีกฝ่าย เขาไม่ได้มาในตอนที่กรรณิกาเสกดวงตาที่ชิงมากลับไปให้เจ้าจันทร์ หรือแม้แต่เห็นตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่น่าอดสู จึงยังคงมีความคลางแคลงในตัวของเจ้าจันทร์อยู่พอสมควรเมื่อนึกถึงอดีต... ภาพของจันทร์ดาก็หวนคืนกลับมา ชวนให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ที่ถึงแม้มารดาของตนจักเป็นฝ่ายเจรจาให้เอง แต่ชายผู้นั้นคือบิดาของจันทร์ดา เขาคงไม่มีวันให้อภัยอสุราตนนั้นที่เคยทำร้ายแม่ เหมือนที่แม่ให้อภัยเขาได้หรอกไกรสรคงไม่กล้าอาจหาญครองรักกับจันทร์ดา ในขณะที่มองดูแม่ที่เคยผิดหวังจากความรักต่ออสุราผู้นั้นได้ หากมีแม่กับผู้หญิงที่สมควรจะรัก เขาคงเลือกแม่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะแม่คือทุกอย่างของเขา แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่ทำให้เขาเติบใหญ่มาอย่างดีที่สุ
ณ เมืองจันทร์ในเวลานั้น“เจ้าหญิงงั้นรึ! ที่พระราชวังมิมีองค์หญิงอีกต่อไปแล้ว นางโดนราชายักษ์จับกินจนมิเหลือแม้แต่กระดูก แลเจ้าเองก็มิใช่องค์หญิง เจ้าตาบอด นำนังคนบ้านี่ออกไปนอกอาณาเขตราชวัง นี่เป็นรับสั่งจากกษัตริย์!”กว่าจักใช้ปีกน้อยๆ นั้นบินฝ่าเมฆหมอกมาสู่เมืองที่เคยจากมา จำต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง เจ้าจันทร์ในร่างนกการเวกตาบอดโผบินแลกลายเป็นร่างหญิงสาวในชุดไทยวิจิตร หากแต่ดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้างนั้น พร้อมทั้งท่าทางที่ราวกับคนไม่สมประกอบ ทำให้ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ต่างพากันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ดี เจ้าจันทร์นั้นเดินโซเซด้วยตีนเปล่ามาจนถึงหน้าประตูวังตามกลิ่นลมรอบตัว แต่กลับถูกนายทหารไล่ตะเพิดออกมาดูเหมือนว่าเมืองจักถูกซ่อมแซม เกณฑ์ประชาชนที่ยังมีชีวิตรอดมาสร้างเมืองใหม่ แม้จักทุลักทุเลแต่ก็กลับมาแทบจะเหมือนเก่า เพราะกษัตริย์ยักษ์ตนนั้นมิได้คิดจักทำลายไปทั้งเมือง คงต้องขอบใจในวาสนาของลูกสาวที่เป็นตัวตายตัวแทน แลนางคงไม่มีวันกลับมา ว่ากันว่ายักษ์นั้นดุร้าย ป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่เอาเถอะ ขอแค่เมืองแลพระราชารอดพ้นวิกฤตนี้ไปก็พอใช่ เสด็จพ่อที่ดู
“มธุรสวดี งั้นเจ้ายินดีจักกลับไปอยู่กับพี่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้ความในใจของพี่แล้ว แลพี่เองก็มิรู้ว่าจักชดเชยความรู้สึกที่เสียไปของเจ้าเช่นไร พี่โป้ปดเจ้า พี่ทำให้เจ้าช้ำอุรา พี่รู้ดี...”“พี่สุวรรณราพณ์ ข้าเคยมีความรักอันดีต่อพี่ ข้ามอบใจให้พี่ แลตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ท้าวไกรสิงห์สยายปีกสีชาดด้วยสีหน้าขุ่นหมองราวกับไม่อยากรับฟังสิ่งใดต่อจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เขารู้ดีว่านางยังคงมอบดวงใจเฝ้ารักไอ้อสุราตนนั้น แลไม่มีเหตุผลที่จักไม่กลับไป ตลอดมาเขาทำได้เพียงรักแลถนอมนางให้ดีที่สุด“...”“แต่ข้าคงมิอาจตอบตกลงเพื่อกลับไปหาพี่ได้ ข้าค้นพบสถานที่ที่ข้าต้องอยู่แล้ว”“...”“แม้นจักไม่เทียบเท่าที่เคยมอบให้พี่ แต่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่จักมอบชีวิตให้พี่ไกรสิงห์ แลข้าเอง... ก็มีลูกชายที่ต้องดูแลในฐานะมารดาต่อจากนี้”“...!!”“หากพี่เข้าใจแลกลับไปแต่โดยดี ข้าอาจจักขอมากไป แต่ข้าขอฝากอินทร์มุกแลจันทร์ดาไว้กับพี่ด้วย ข้าอยากให้พี่ดูแล มอบความรักให้พวกเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของเรา... ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้ตั้งท้องพวกเขามาก็ตาม”“...”“แต่ถ้าหากพี่ยังดึงดันจักฆ่าพี่ไกรสิงห์ ก็เอาชีวิตของข้าไปแท
ความมืดที่กลืนกินสุวรรณราพณ์นั้นทำให้เมื่อครบวันตามกำหนด เขาจึงเคลื่อนทัพด้วยตัวคนเดียว ฝ่ามือกุมดาบทมิฬไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนเห็นเป็นเพียงเรือนกายสีทมิฬ เขาเหาะเหินเดินอากาศไปตามนภา ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมความพยาบาท บีบเค้นอัปสรบนท้องฟ้าเพียงถามหาทางไปวิมานฉิมพลี ด้วยความกลัวเพราะพญายักษ์นั้นเสียสติไปแล้ว เหล่าอัปสรชี้ไปทางเมฆที่เกาะกลุ่มแน่นหนาที่สุด เพียงขว้างศาสตราวุธไปทางกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก็เกิดอัสนีบาตรจนกลุ่มเมฆเผยเส้นทางภายในที่เต็มไปด้วยแผ่นดินลอยฟ้า ปกคลุมไปด้วยต้นงิ้วออกดอกสีแดงฉานห้อยระย้าดูงดงามตระการตา แต่บัดนั้นสีแดงจักเป็นสีของโลหิตเหล่าประชาชนเมืองครุฑให้สาสมใจเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองยักษาโดยมิได้แจ้งจักษ์แก่ผู้ใดในเมือง มิว่าจักเป็นราชครูผู้สนิท หรือแม้แต่เหล่าอำมาตย์ผู้ภักดี เมื่อใช้เพลาจนสังวรีราพณ์สามารถกัดกินจิตใจได้เกินครึ่ง เขาจึงใช้แรงอสุรกายทมิฬขับเคลื่อนท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศหวังเพียงได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ครุฑให้เหี้ยนแลพาอัปสรสุดที่รักกลับมาแลถ้าหากนางมิกลับมาที่นี่ เขาจักยอมดับดิ้นไปพร้อมกับคำสัตย์สาบานที่ว่ามิว่าชาติไหน ก็จ