“ก็จักชำระกายร่วมกับเมีย ผิดด้วยรึ?” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ชีกอ ขี้โชว์ไม่พอ ยังเก่งเรื่องการคิดเองเออเองอีกต่างหาก ครบสูตรหลัวชั่วแห่งราชอาณาจักรเสียจริง
“หนูยังไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย” โฉมตรูสะบัดหน้า ขัดใจนักเชียวพ่อยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นสาวเวอร์จิ้น แต่ก็เลือกนะยะ
“เรื่องนั้นพี่มิสนใจ” บุรุษตัวใหญ่กว่าเอื้อมฝ่ามือหนามาไล้แก้มเธอ “อยู่ในเมืองของพี่ ในเรือนของพี่ สักวันก็จักได้เป็นอยู่ดี”
แหม! ช่างพูดช่างจา เกี้ยวพาราสีสาวได้คล่องแคล่วเชียวนะแก
“หนูไม่อาบน้ำกับคุณหรอกค่ะ เชิญอาบไปคนเดียวเลย หนูจะกลับไปนอนที่เรือน” สาวเจ้าพูดพลางเชิดหน้าหนีอุ้งมือใหญ่ ไม่ต้องมาโชว์กล้ามเนื้อตรงนี้จะได้หรือปะ ถึงชาติที่เป็นมธุรสจะบ้ากล้ามหน้าท้องผู้ชายและบ้าหนุ่มกล้ามปูสักเพียงใด แต่จะมิหลงกลพ่อยักษ์กะล่อนนี่เด็ดขาด ความหล่อเหลามันทานไม่ได้! “แล้วเรือนอยู่ทางไหนคะ หนูจำทางกลับเรือนไม่ได้”
โว้ย น่าสมเพชจริงอีนังมธุรส เรื่องหลงๆ ลืมๆ เส้นทางของหล่อนนี่ยังเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ
สาวเจ้าบ่นอุบใส่ตนเอง ไม่มีทางเลือกต้องหมุนตัวพลิกลิ้นกลับไปพึ่งพาเจ้าของบ้านอย่างเขาอย่างเสียมิได้
อสุราหนุ่มแย้มยิ้มพราย “พี่มิบอกน้องดอก”
“เอ้ะ ทำไมคะ!”
“ชำระกายในสระบัวร่วมกันกับพี่สิ เดี๋ยวขึ้นจากท่าแล้วค่อยกลับไปด้วยกัน” มธุรสเผยอปากค้าง หนอยแน่ ไอ้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ เขาใช้ประโยชน์จากการจำทางของหล่อนไม่ได้เพื่อมัดตัวให้เธอสมยอมอาบน้ำด้วย
อย่างนี้ก็แปลว่า... ต้องเปลือยเปล่าเคียงใกล้กับผู้ชายในสระบัวน่ะสิ!
มธุรสจะเป็นลม
“มะ... ไม่ถอดเสื้อได้มั้ยอ่ะ?” เธอป้องตัวอย่างหวงแหนเมื่อถูกยักษ์รูปงามจดจ้องร่างกายราวกับกำลังสแกนสัดส่วนใต้อาภรณ์นั่นก็ไม่ปาน ที่สำคัญตอนนี้เหลือแค่เพียงผ้าด้านล่างที่กำลังจะหลุดไม่หลุดแหล่รอบเอวสอบของเขาเท่านั้น มธุรสแอบเห็นไรขนแสนทระนงนั่งด้วย เส้นเลือดพาดตรงใต้สะดือต่ำลงไปเรื่อยๆ นั่นอีก! “มะ ไม่เอาอ่ะ ไม่ถอดอาบน้ำได้มั้ยคะ นุ่งกระโจมอกก็ได้”
“เช่นนั้นจักสะอาดได้เยี่ยงไร” สุวรรณราพณ์ใช้อุบายล่อลวงหญิงสาว รั้งเอวคอดกิ่วเข้าชิดใกล้ ปลดสไบและสังวาลย์ของเธอด้วยตนเองเสียเลย
“คุณสุวรรณราพณ์!” เธอไม่สามารถขัดขืนผู้ชายอกสามศอกแถมยังเป็นยักษ์เช่นเขาได้ ผลักอกหนาราวกับภูผานั่นยังไงก็ไม่ต่างกับเอาแรงลมเอื่อยๆ ไปสู้ อีกฝ่ายใช้แรงถอด ถอด ถอดไม่กี่ครั้ง ผ้าผ่อนผ้าซิ่นทุกชิ้นรวมถึงของมีค่าก็ลงไปกองกับพื้นหญ้าซะแล้ว
มธุรสในร่างเจ้าจันทร์ล่อนจ้อนอย่างสมบูรณ์
นี่มันอีกครั้งแล้วนะ อีกครั้งแล้วที่สุวรรณราพณ์เห็นนางในสภาพน่าอับอายเช่นนี้
มธุรสอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาดังๆ
แต่นั่นยังคงสร้างความอับอายให้นางไม่พอ ยังคงไม่พอใจเขา เพราะต่อมาอสุราหนุ่มก็ปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตัวเองลงต่อหน้านางนี่เอง
พรึ่บ!
ล่อนจ้อนด้วยกันโดยสมบูรณ์
โอ้ บร๊ะ เจ้า
ภาพตรงหน้าช่างแปลกใหม่ ถึงจะโคตรสัปดนแต่ก็ชวนมองอย่างปฏิเสธไม่ได้ มธุรสอ้าปากค้างทาบอกอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังกาย อวดโฉมความองอาจตรงนั้นเอง
ก้นแน่น ขาวดี แถมยัง... ตาเถร!! นั่นลึงค์หรือปลัดขิกกันแน่คะเนี่ย
รู้สึกเหมือนเลือดลมจะไหลเวียนขึ้นมาที่หน้าซะแล้วสิ
เพราะเป็นหน่วยพิสูจน์อักษรมาก่อน จึงรู้ลึกถึงคำว่าลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) นั้นว่าคืออะไร หากแต่ลึงค์ของอีกฝ่ายนั้นไซร้... ดูแปลกตากว่าชายฝรั่งมังค่าในเว็บพอร์นฮับที่เคยดูนักหนา
เพราะมันใหญ่มาก ขนาดยักษ์สมกับตัวใหญ่ๆ นั่น จะพูดว่าคล้ายๆ ศิวลึงค์ที่บูชากันก็ไม่เกินจริง
“ทะ... ทำไมมันชี้หน้าหนูแบบนี้ล่ะ!” สาวเจ้ารีบเอามือน้อยๆ ปิดตาตนเองอย่างไวว่องเมื่อหรี่ตาไปเห็นว่าท่อนลึงค์ยักษ์นั่นกำลังตั้งจรวดพร้อมรบใส่หน้าเธอ บุรุษที่เปลือยเปล่าพร้อมๆ กับมธุรสนั้นหน้าด้านหน้าทนจริงๆ มีอย่างที่ไหนจับสาวถอดผ้าถอดผ่อน แล้วก็ปลดอาภรณ์ตนเองเช่นนี้ นี่มันกลางแจ้งนะ ไม่อับอายบ้างเลยหรือ
“ปกติของมัน น้องมิจำเป็นต้องปิดตาดอก” สุ้มเสียงดุดันพูดแกมขบขัน สุวรรณราพณ์สนุกสนานนักที่เห็นว่าเจ้าหล่อนหน้าแดงปิดหน้าปิดตาสะเทิ้นอายกับกายาล่อนจ้อนของเขา “อีกมินาน มันก็จักได้เข้าไปอยู่ในกายเจ้า”
อสุราหนุ่มเอ่ยประโยคสองแง่สองง่าม หวังเย้าสาวเจ้าให้อับอายยิ่งขึ้น
“คุณสุวรรณราพณ์ทะลึ่งโคตร!” มธุรสปรามาสบุรุษตรงหน้า หากแต่ก็อดไม่ได้ต้องแหวกแง่งนิ้วน้อยๆ แอบลอบดูสรีระชวนใจสั่นของอีกฝ่ายไปด้วยอย่างย้อนแย้งในตนเอง
ไม่เคยพบไม่เคยเจอ ลึงค์ที่พี่เจนว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง
จนมารู้สึกตัวอีกที บุรุษหนุ่มก็ค่อยๆ ก้าวขาลงไปในน้ำใสเย็นๆ กลางแจ้ง กายาด้านล่างค่อยๆ จมหายไปจนเกือบครึ่งเอวสอบ เรียกได้ว่าตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าลงน้ำไปแล้วได้ถึงขนาดนี้ คงลึกอยู่พอตัว
อสุราเอื้อมมือหนาให้เธอที่ยืนลดละมือมาปกป้องทรวงอกของตนที่กำลังเปิดเผยสู่ผู้ชายเป็นคราที่สอง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร่างกายของเธอ แต่เป็นร่างของโฉมตรูในอดีตชาติที่มธุรสมาสิงร่างอยู่ก็ตาม หากแต่ก็หวงแหนราวกับเป็นร่างกายของตัวเอง
สาวเจ้าส่ายหน้าหวือ ลึกขนาดนั้นจะให้ลงไปทั้งตัวได้ยังไง
“พี่จักประคองน้องไว้เอง มิต้องเป็นกังวล” บุรุษยักษ์ใหญ่เอ่ยคำมั่น เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น จะให้ทำเช่นไรก็ไม่รู้วิธีสวมใส่อาภรณ์ในสมัยโบราณซะด้วย แต่จะให้เดินกลับเรือนทั้งที่ยังเปลือยเปล่าล่อนจ้อนแบบนี้ คงได้ลือกันไปถึงไหนต่อไหน
ถึงจะไม่หวั่นกลัว แต่ก็ไม่อยากถูกครหาว่าเป็นชีเปลือยล่อนจ้อนเดินโทงเทงท่ามกลางยุคโบราณแบบนี้หรอกนะ
ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เธอเคยอยู่ ดังนั้นการทำตามเจ้าของบ้านคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แน่งน้อยค่อยๆ ก้าวขาที่สั่นเทาไปชิดขอบสระบัว ยื่นฝ่ามือเล็กจ้อยไปจับมือของสุวรรณราพณ์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งต่อมาก็ถูกรั้งลงไปในสระบัวด้วยกัน น้ำเย็นเฉียบจนนงคราญสั่นระริก ผวากอดกายใหญ่โตของอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวว่าจะจมลงไป
ฝูงปลาสีเผือกแหวกว่ายมาตอดปลายเท้าของเจ้าหล่อน จั๊กจี้เหลือทนจนต้องหัวเราะคิกคักออกมา ท่ามกลางอ้อมแขนหนาของยักษ์หนุ่ม สาวเจ้าแหงนหน้าขึ้นมองเขาที่ทอดสายตาลงมาที่ร่างกายเปลือยเปล่าของนางใต้อกหนา รีบเบือนหน้าหนีทันที
“พี่จักลูบตัวให้” บุรุษหนุ่มฉีกยิ้มพราย ค่อยๆ วักน้ำเย็นเข้ามือใหญ่ ปาดลูบเนื้อลูบตัวเนียนนวลขาวลออของสาวเจ้าอย่างพึงใจ
“นะ... หนูลูบเองได้น่ะ คุณแค่อุ้มหนูไว้ก็พอ” เธอใช้ฝ่ามือเล็กจ้อยดันมือใหญ่ของเขาออก หน้าแดงก่ำราวกับผลมะเดื่อสุก นำมาซึ่งรอยยิ้มยวนของอีกฝ่ายที่เหนือกว่าเธอ
“อายงั้นหรือ” พระพักตร์ใหญ่เอียงไปกระซิบข้างริมหูของหญิงสาว พร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดเอวคอดของนางแน่นถนัดขึ้น “เพราะที่นี่เป็นกลางแจ้งงั้นหรือ จึงป้องตนไว้เช่นนั้น”
มธุรสฟังแล้วก็เลยได้แต่ก้มลงมองตนเอง เพราะตั้งแต่ที่ถูกดึงลงมาในสระบัว เจ้าหล่อนก็ใช้แขนปกป้องกายาเพื่อมิให้แนบชิดเขาเกินจำเป็นมาโดยตลอด
จะว่าใช่มันก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
ไหนๆ ก็ไม่ใช่ตัวมธุรสจริงๆ อยู่แล้วนี่
“มีกระไรต้องการเอ่ยบอกกระหม่อมหรือไม่ หากหน้าที่ที่มอบหมายหนักหนาเกินไป สามารถบอกกระหม่อมได้เสมอ” แต่ท่านอานั้นเข้มงวดแค่เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องสั่งสอนพี่ชายตัวดีก็เท่านั้น อย่างไรจันทร์ดานั้นเป็นเด็กดี ทำหน้าที่ได้ดีอยู่ตลอด เธอรักพี่ชายของเธอมาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะคอยสร้างแต่ปัญหาอยู่เสมอ พระราชครูผู้รู้เรื่องนี้ดีจึงใช้การพูดคุยอย่างละมุนละม่อม “ข้าเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้นเจ้าค่ะพระราชครู ไว้ข้าหายดีแล้ว จักไปพูดคุยเรื่องพี่” จันทร์ดาตอบแบบไปตายเอาดาบหน้า พี่ชายของเธอนั้นมีพรสวรรค์และพระราชครูต้องการล่วงรู้พรสวรรค์ที่พี่ชายนั้นมี แต่พี่อินทร์มุกไม่เคยเปิดปากพูดถึงอาคมที่เขาถนัดที่สุด จนเขาหายตัวไปในครานี้ แม้จักรู้ดีว่าพี่ต้องการที่จะแสดงให้พระบิดาเห็นว่าเขาแข็งแกร่งแลพยายามเอาชนะท่านมากแค่ไหน แต่กลับกันดันหัวรั้นปฏิเสธคนที่ยินดีจักมาช่วยเหลือแค่เพราะว่าท่านพ่อส่งมา เพียงลำพังแค่พี่คนเดียวคงไม่มีวันที่จักปกครองราชบัลลังก์ได้หรอกถ้าไม่ได้รับการศึกษาภายในจากคนที่มีประสบการณ์ เรื่องนี้จันทร์ดาก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะรักแลเกรงใจพี่ชาย จึงไม่เคยห้ามปรามเขาในการเกกมะเหรกเกเรอย่างจริงจัง
“อย่านึกโทษตัวเองเลยหนาไกรสรลูกรัก พ่อคิดว่าแม่เองก็ต้องเข้าใจเช่นเดียวกัน เราผิดเองต่างหากที่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกได้ฟัง แต่ไกรสรอย่านึกโกรธเคืองแม่ของลูกเลย พ่อเชื่อว่านางเองก็เจ็บปวดเกินกว่าที่จักเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกฟัง จึงเลือกที่จักปล่อยผ่านไปจนวันนี้มาถึง” ท้าวไกรสิงห์เข้าใจหัวอกของลูกชายตนเองดี ว่าได้รักคนที่ไม่สมควรรัก เหมือนดั่งเขาที่ได้รักกรรณิกา ในเพลาที่หล่อนมีเจ้าของดวงใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ได้รู้ซึ้งว่าจันทร์ดาไม่เคยลืมเลือนสุวรรณราพณ์ไปจากใจเลย แม้ว่าเขาจักพยายามตั้งใจสร้างโลกที่มีแต่ความสุขให้นางก็ตาม การตัดใจจากผู้ชายพรรค์นั้น มันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่เขาที่ปลอบใจบุตรชายที่สูญเสียรักแรกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับก็ยังมีความคิดริษยาชายผู้นั้นอยู่ลึกๆ มันทำแต่บาปกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่เขามามากมาย แต่กลับมีชีวิตที่มีแต่คนรัก แม้แต่ผู้หญิงที่เขาหลงใหล แม้ปากจักบอกว่าตัดความชิงชังไปได้ แต่ก็ยังเกลียดขี้หน้ามันอยู่ดี คนอย่างมันมิคู่ควรต่อกรรณิกาเลยแม้แต่นิด ผู้หญิงที่ภักดีแลเพียบพร้อมเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จักนึกหลงใหล ตกหลุมรักอสุราชาติชั่วเช่นมัน แต่การห้ามความรู้สึก
หรือการที่เขาคาดหวังว่าการใช้ความจริงใจแลกกับความเกลียดชัง มันคงเป็นความคิดที่ตื้นเขินเกินไป เด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นได้พบกับความรู้สึกผิดหวังต่อสาวผู้เป็นที่รักเป็นคราแรกในชีวิต เขาช้ำรักขนาดหนัก ถึงกับคอตกเหาะอากาศกลับวิมานฉิมพลี ข้าวปลาอาหารก็แตะมิค่อยลง สีหน้าอมทุกข์ของบุตรชายทำให้มารดาเช่นกรรณิกาอัปสรเป็นห่วงยิ่งนัก เมื่อเขาเข้านอน จึงแอบลอบเปิดบานประตูถือวิสาสะเข้าในห้องบรรทมของลูกชายที่นอนหลบหน้าหันหลังให้ ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน “ไกรสรลูกรัก... หากมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าทุกข์ใจ พูดกับแม่ได้หนา ลูกรู้ใช่ไหมว่าสามารถพูดคุยกับแม่ได้ทุกเมื่อ” ฝ่ามือเรียวบางค่อยๆ เอื้อมไปลูบเรือนผมเงางามสีดำสนิทของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน จึงเห็นว่าแก้มของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนกำลังมีน้ำตา ไกรสรหันหน้ากลับมา ดวงหน้าคมคายรูปงามของบุตรชายนั้นเต็มตื้นไปด้วยความเสียใจ “ข้า... คงมิอาจรักหญิงผู้ใดได้อีกแล้วขอรับเสด็จแม่ ข้าชอบนางมาก แม้นจักเป็นเพลาที่แสนสั้นที่ได้พานพบกันก็ตาม” กรรณิกาอัปสรถอนหายใจ นั่นไงเล่า คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มาจนทุกข์ตรมหมองใจวันนี้น่าจักม
ไกรสรนัดพบกับองค์หญิงจันทร์ดาเพื่อตามหาพี่ชายของหล่อนทุกวัน แม้ทุกครั้งจักคว้าน้ำเหลว แต่นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ เพราะเขาอยากมาเจอเธอในทุกๆ วัน ในช่วงเวลากว่าสองวันที่ผ่านมา จันทร์ดานั้นมองเห็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเธอของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ครุฑหนุ่มผู้นี้เติบใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะสองวันนั้นเขาได้ฝึกกำลังระหว่างออกตามหาพระเชษฐาของหล่อน รวมถึงอายุขัยการเติบโตของอมนุษย์ที่รวดเร็วต่างจากมนุษย์ ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขาสูงสง่าใหญ่โตมากกว่าเธอเสียอีก ยอมรับว่าเขาดูสง่างามเสียจนใครๆ ต่างก็คงจักหลงใหลในรูปโฉมอันเป็นที่โจษจัณ จันทร์ดาชอบนกนัก โดยเฉพาะปีกของมัน เพราะอย่างนั้นเธอเลยชอบเฝ้ามองดูเวลาเขาโผบินอย่างอิสระ เพราะปีกของเขาที่มีสองสีมันช่างงดงามเหลือเกิน เธอผู้อ่อนโยน แต่พยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อคอยดูแลความประพฤติของพี่ชายให้อยู่ในครรลองคลองธรรมไม่นอกลู่นอกทางแทนพระบิดาที่ไม่เคยหันมาเหลียวแล แม้ว่าส่วนใหญ่จะเอาพี่ไม่ค่อยอยู่จนต้องยอมไปเป็นลูกไล่เขาก็ตาม ไกรสรบินเลาะไปตามปุยเมฆสีขาวเบาบาง ฉวัดเฉวียนมาทางหล่อนที่ขี่หัสดีลิงค์คอยเฝ้ามองดูเขาอยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชอบเจ้าจัง จันทร์ดา
พระสุวรรณราพณ์กำลังเสียสติ เนื่องด้วยตนเองนั้นสูญเสียผู้หญิงที่รัก จึงทำให้พระองค์นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาในการกำจัดชายที่เป็นศัตรูหัวใจ และเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับวิธีการในการถล่มเมืองครุฑ หลังจากรู้ที่ตั้งของมัน ฝ่ามือใหญ่โตลูบไล้ดาบทมิฬที่อาบชโลมไปด้วยเลือด ดวงตาสีชาดเรืองรองในความมืดมิด เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจักบุกไปถึงเมืองครุฑในอีกสี่วันให้หลัง เมื่อครบกำหนด เมืองนั้นจักพังราบเป็นหน้ากลอง รวมถึงครุฑาครุฑีน้อยใหญ่ทั้งหลาย เมื่อเจ้าเมืองมันกระทำความผิดย่อมไม่มีข้อละเว้น สังวรีราพณ์ยังคงยึดครองจิตใจอันชั่วร้าย และหวังให้พระสุวรรณราพณ์ใช้เลือดครุฑมาอาบดาบอีกสักหน่อย เท่านั้นกำลังวังชาเขาก็จะสมบูรณ์ สามารถเข้ายึดครองร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ายได้สำเร็จ พี่จักมิมีวันเสียเจ้าไปให้ใคร หากใครมาแย่งชิงเจ้าไปจากอกพี่ ต้องจบลงด้วยความตายเท่านั้น ทั้งที่ตามหามาถึงสามภพสามชาติ และคาดหวังว่านี่จักเป็นชาติสุดท้ายที่เราจักได้ครองคู่กัน จนยอมทำทุกอย่างหวังเพียงให้เจ้าได้มาเป็นคู่ครองของพี่ แต่แม้แต่ชาตินี้ เราก็ต้องจากกันอีกหรือ? พี่ไม่ยอมหอก ตั้งแต่เจ้าจากไปเป็นของผู้อื่น พี่ก็เหมือนกำลังจะขาดใจ
พระโอรสหลบหลังบานประตูพลางแอบสอดมองหญิงสาวที่มีท่าทางระส่ำระส่ายภายในห้อง พระองค์เพลิดเพลินไม่น้อย ผุดรอยยิ้มเลือดเย็นข้างมุมปาก รู้สึกว่าการที่เขาได้มีสัมพันธ์สวาทกับพระสนมนั้นจักทำให้หล่อนค่อยๆ เปิดเผยนิสัยอันน่ารังเกียจที่มีแค่เพียงเสด็จพ่อที่จักได้เห็น ตกอยู่ในบ่วงวังวนที่ไม่อาจถอดถอนตัวออกมาได้ บ่วงวังวนแห่งการลุ่มหลงเขาอย่างเช่นกินรีตนอื่นๆ ที่เขาเคยล่อลวงมาด้วยอาคมเหล่านั้น เคยเจ็บใจนักที่ใครต่อใครต่างมาหลงรักได้ด้วยมนต์คาถาของตน แต่มีเพียงหล่อนที่เฉยเมย มองเขาเป็นเพียงบุตรชายของคนที่รัก มีใครหลายคนรวมถึงน้องสาวพยายามหาทางเข้าถึงอาคมที่เขามี แต่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้หรอกหนา ... อาคมล่อลวงหญิงสาว เพราะมันเป็นอาคมดำมืดที่จักทำให้สตรีทุกคนที่เขาเป่าคาถามักรู้สึกรักและลุ่มหลงในตัวเขาอย่างไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าทำไมท่านพ่อที่มีอาคมหลากหลายนั้นจึงเลือกถ่ายทอดพลังนี้มาสู่เขา การค้นพบอาคมดำมืดที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้และใช้มันได้ตั้งแต่เกิดนั้นทำให้สำเริงสำราญใจไม่น้อย จนเขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้เพราะคิดว่าตนเองมีอวิชชาเหนือกว่าใคร อยากให้เสด็จพ่อรับรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเหนือผ