ฟ่านอวี้เหยารู้สึกว่ายามนี้ หลายสิ่งไม่เหมือนเดิม เหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาหัว นางสับสน หวาดกลัว หวีดร้องอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งรู้สึกว่าตนตกอยู่ในห้วงเหวลึก ก่อนจะเผชิญกับหลายสิ่งที่ไม่ค้นตา ทว่าทั้งหมดนั้นนางกับเข้าใจได้ ราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดนางก็มาอยู่ในโลกคู่ขนาน ไม่ผลุบเข้าผลุบออกในร่างกายนี้ เหมือนแต่ก่อน อีกอย่างได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขหลายสิ่งให้ถูกต้อง และนางจะไม่สิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรู ต้องมีชีวิตยืนยาวมากกว่าชาติภพก่อน
เมื่อนางสะดุ้งตื่นจากการหลับที่ยาวนาน ก็พบว่านางเป็นเจ้าสาวที่ไม่ได้เข้าห้องหอ ถึงอย่างนั้นก็มีฝันแสนเลวร้าย ที่หญิงสาวนึกขยาดและรังเกียจตน นางเผลอใจและร่างกายให้บุรุษอื่นที่ไม่ได้หมั้นหมาย
คราแรก ฟ่านอวี้เหยาคิดอยากกัดลิ้นตนเองตาย ไม่ก็โม่งกำแพงใจจบชีวิตเสีย แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น และย้ำเตือนสติ นางต้องอยู่ต่อไป
“พี่อี้…” ฟ่านอวี้เหยาผวา และเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น
ซึ่งก่อนสลบไปเป็นเวลายาวนาน นางรับรู้ได้ว่า มีเสียงอึกทึกรอบตัว เมื่อศีรษะกระแทกรุนแรงกับของแข็งสติก็หลุดหาย
และนางได้ท่องโลกผ่านยุคนสมัยต่างๆ ใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลาซึ่งแตกต่างกัน ถึงอย่างนั้น ก็เป็นชาติภพนี้ที่มีหลายสิ่งติดค้าง เรียกว่าตายตาไม่หลับก็ไม่ผิด
จึงเป็นเหตุให้ เหยาเหยา นักแสดงเจ้าบทบาท ที่มักรับบทนางร้ายในคราบนางเอก ย้อนเวลามาเกิดใหม่ในร่างฟ่านอวี้เหยา… ซึ่งกล่าวกันให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ เหยาเหยาคือฟ่่านอวี้เหยาในอีกชาติภพนั่นเอง
ดวงตากลมโตลืมช้าๆ มองแขนเรียวซึ่งถูกคนชั่วช้าใช้แส้ฟาด จำได้ว่ามีเลือดไหลซึมออกมา แต่ยามนี้ บาดแผลได้รับการรักษาอย่างดี ไม่ได้มีแผลเป็นอย่างที่นางหวาดกลัว
ฟ่านอวี้เหยาบีบขมับตนเอง ยามนี้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ นางมาอยู่ในกระโจมแห่งหนึ่ง กระโจมที่มีกลิ่นอับๆ อยู่สักหน่อย นอกจากนั้นเสื้อผ้านางฉีกขาด บางส่วนเปรอะเปื้อนแลดูคล้ายกับเกิดเรื่องไม่ดี
โอ้ อวี้ฟ่านเหยาหลับไปนานเท่่าใด
ความครั่นคร้ามใจทำให้นาง เหงื่อแตกพลั่ก
หน้าอกอวบสวยของนาง รู้สึกว่าเจ็บที่ยอดของมันจี๊ดๆ ราวกับก่อนหน้านี้ ถูกรุกรานอย่างหนัก
หัวสมองหญิงสาวพยายามจับต้นชนปลายเข้าด้วยกัน
โอ้ สวรรค์โปรดเมตตาเถิด
ภาพที่นางอยู่บนเรือนร่างของบุรุษชั่วช้า ทั้งบดเบียดบั้นท้ายทาบทับกายแกร่ง และยอมให้เขาแทงท่อนเนื้อร้อนเข้าสู่เรือนกายนี้ มันไม่ใช่ความฝัน หากเป็นนางที่เคยกระทำมาแล้ว คือเหตุการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้น ในชาติภพก่อน
ยามนี้ นางย้อนเวลามาอีกหน ในช่วงเวลาหลังจากได้รับการช่วยเหลือจากคนที่พรากความบริสุทธิ์นางไป ก่อนที่เขาจะพานางเดินทางไกลเพื่อกลับเมืองหลวง แต่อนิจจา ฟ่านอวี้เหยาคนเก่า เป็นสตรีที่เมื่อถูกหยามศักดิ์ นางก็มีแต่ความเคียดแค้น หากไร้ซึ่งความฉลาดเฉลียว ทั้งยังดื้อรั้น ไม่มองให้รอบด้าน ดังนั้นระหว่างเดินทางไกลนางจึงสิ้นลมหายใจ ด้วยการหลงกลผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายคมดาบของปู้หว่านถิงก็ปักเข้าร่างงดงาม เพื่อยุติความทรมานของนางจากพิษแมลงคู่รัก ที่ถูกศัตรูฝังเข้าไปในร่าง
อึดใจต่อมา กระโจมถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง นางได้เห็นใบหน้าคร้ามคม และดวงตาเหยี่ยวคู่สีดำสนิท ซึ่งจ้องนางราวกับเป็นเหยื่อที่มีไว้เล่นสนุกด้วย
บุรุษผู้นั้นมีผมสีปีกอีกา ร่างกายสูงใหญ่ เขาไม่ได้สวมเสื้อ ดูเหมือนเพิ่งฝึกดาบ หรืออาวุธแล้วเสร็จ และกำลังอยากกินอาหารเช้า หรือของหวานที่มีเลือดเนื้อ!
ยิ่งเขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ นางก็อยากเบือนหน้านี้
ชิงชัง
รังเกียจ
อยากฆ่าเขาให้ตาย
ความรู้สึกดังกล่าวผุดขึ้นมาในแวบแรก
แต่หลังจากนั้น ความบัดซบก็ตามมา
ร่างกายนางผะผ่าวร้อน ลำคอแห้งผาก และส่วนหวานฉ่ำเต้นตุบๆ
กลีบงามๆ ของฟ่านอวี้เหยาร่ำร้องถึงบุรุษผู้นั้น
นางอยากหนีเขาไปให้พ้น ทว่าพอขยับขา จึงพบว่ามีโซ่ล่ามนางเอาไว้กับลูกเหล็ก ทำให้นางเดินไม่สะดวก ส่วนหากคิดหลบหนีก็เป็นเรื่องยากยิ่ง
“อาบน้ำให้ข้า และจงเตรียมตัวให้ดี คืนนี้เจ้าต้องไปรับแขก…”
ฟ่านอวี้เหยาส่ายหน้า นางไม่ต้องการสัมผัสเนื้อตัวคนผู้นี้
“ข้าสั่งให้ปรนนิบัติ กล้าขัดขืนหรือ…”
หญิงสาวส่ายหน้าอีกครั้ง
ยามนั้น เหมือนว่าท่าทางของนางกวนโทสะเขาให้ขุ่นมัวอย่างหนัก
ชายหนุ่มเลยคำรามเสียงดัง พร้อมพ่นลมหายใจร้อนๆ แล้วตวาดลั่น จนนางตกยกมือกุมหน้าอก
“อาฮั่ว… เอาของเข้ามา”
เพียงประเดี๋ยว ร่างของเด็กหนุ่มก็มายืนด้านข้างของแม่ทัพปู้ และเขาก้มหน้าต่ำ ด้วยไม่ได้รับอนุญาติให้มองสตรีผู้นี้
“เอาป้ายให้นาง และส่งถุงเงินมานี่”
ติงฮั่ว บ่าวรับใช้ส่งป้ายให้แก่หญิงสาวด้วยมือสั่นๆ พอหมดหน้าที่เขาก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
และไม่ทันที่ฟ่านอวี้เหยาจะได้ถามสิ่งใด หรือทำความเข้าใจกับป้ายไม้ที่มีโซ่คล้องไว้ ดวงหน้างามล้ำก็ถูกถุงผ้าที่มีตำลึงเงินโยนเข้าใส่!
“ข้าลืมไป คณิกาชั้นสูงอย่างเจ้า ย่อมต้องการเงินทองยามรับแขก และนั่นสิบตำลึงเงิน เป็นค่าจ้างตั้งแต่เมื่อวาน รวมถึงเช้านี้ด้วย หากทำดี ไม่ขัดใจ ข้าจะมอบให้อีก”
ฟ่านอวี้เหยาส่ายหน้า พร้อมลูบแก้มของตน ซึ่งไม่ใช่อยากขัดใจเขา แต่นางรู้สึกเจ็บ ด้วยการกระทำของเขาเมื่อครู่ มันคือการทำร้ายนาง
ฝ่ายปู้หว่านถิงแยกเขี้ยว จากนั้นชุดผ้าเนื้อหยาบของนางก็ถูกกระชากขาด ตามด้วยมือใหญ่ๆ ที่จับนางให้ลุกขึ้น พร้อมบังคับให้แขวนป้ายอันอัปยศ ด้วยสภาพกึ่งเปลือย
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยปากร้องขอให้เขาปล่อย หรือหยุดใช้กำลัง นางเพียงเคลื่อนไหวตามแรงของอีกฝ่าย เขาโถมกายเข้ามา นางก็ตอบรับด้วยเรือนกายนุ่มนิ่ม
แน่นอนฟ่านอวี้เหยาคนใหม่ไม่ได้โง่ หรือปัญญาทึบ นางรู้ดี การรับมือแม่ทัพวิปลาส คือต้องควบคุมหัวใจเขาให้ได้ แล้วค่อยควักมันออกมา จากนั้นก็เหยียบให้แหลกเหลวด้วยสองเท้าสวยๆ คู่นี้
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย