Se connecterชาติผ่านมา..ข้าถูกทรยศ ถูกหักหลัง ถูกทอดทิ้ง ชาตินี้..ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องการความโปรดปรานหรือกระทั่งความรักที่ข้านั้นเคยพยายามไขว่คว้า
Voir plusเสียงฝนโปรยปรายกระทบหลังคาสังกะสีและเสียงหยดน้ำที่ไหลซึมผ่านรอยแตกร้าวของเพดาน หยดลงสู่พื้นดังก้องอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก แสงไฟสีเหลืองนวลจากหลอดไฟดวงเดียวกลางห้องให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย เงาของเฟอร์นิเจอร์เก่าคร่ำคร่าถูกทอดลงบนผนังเย็นเฉียบ
ภายในห้องมีเพียงเตียงไม้เก่า โต๊ะขนาดเล็ก และชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยเอกสารงานกับตำราเรียน หญิงสาวร่างผอมบางนั่งชันเข่าอยู่ริมหน้าต่างกระจกบานเก่า ดวงตาเรียวทอดมองออกไปยังถนนด้านนอกที่เปียกชื้น
แสงจากเสาไฟฟ้าข้างถนนส่องกระพริบ เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ ถนนเส้นนี้เธอคุ้นเคยกับมันดี.. มันคือถนนที่เธอเดินผ่านทุกเช้าค่ำ ระหว่างทางไปทำงานและกลับห้องพัก ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้
ในมือของเธอถือแก้วกาแฟที่ดื่มไปเพียงครึ่ง น้ำกาแฟสีเข้มที่เคยร้อน ตอนนี้กลับเย็นชืดไปแล้ว เช่นเดียวกับชีวิตของเธอที่ขาดไออุ่นมานานแสนนาน
หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่า อวี้เหมยลี่
ชีวิตของเธอก็ไม่ได้สวยงามเหมือนในนิยาย ไม่ได้เต็มไปด้วยความรักจากครอบครัวหรือความห่วงใยจากใครสักคน หากแต่เป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนมาตลอดตั้งแต่จำความได้
พ่อกับแม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในวันที่เธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คำว่า ‘กำพร้า’ ถูกประทับลงบนตัวเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ญาติที่เหลืออยู่มีเพียงคนเดียวซึ่งก็คือน้าสาว ผู้หญิงที่ยื่นมือเข้ามาในวันที่ชีวิตของเด็กน้อยมืดมนที่สุด
อวี้เหมยลี่เคยคิดว่าน้าสาวจะเป็นที่พึ่งพิงให้เธอหลังจากที่พ่อกับแม่จากไป แต่ความจริงมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
"เด็กแบบแกน่ะ เขาเรียกว่าอีตัวซวย!"
"จะอยู่ก็หาเงินมาให้ฉัน อย่ามาทำตัวไร้ประโยชน์!"
ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ ควบคู่ไปกับเสียงขวดเหล้าที่ถูกโยนลงบนพื้นจนแตกกระจาย กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งอยู่ในบ้านหลังเก่า เสื้อผ้าของเธอมักมีรอยขาดจากแรงกระชาก
เธอจำได้ดีว่าความเจ็บปวดจากการถูกทุบตีเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือหัวใจของเธอที่ชาไปแล้ว
เธอต้องโตขึ้นมาโดยไม่มีใครให้พึ่งพิง
ตั้งแต่เด็ก เธอทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ต้องเป็นคนทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ซักเสื้อผ้า และทุกอย่างที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรต้องแบกรับ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันได้เล่นสนุก เธอกลับต้องคอยก้มหน้าก้มตารับใช้คนที่ควรจะเป็นผู้ปกครองของเธอ
เมื่อโตขึ้นมา ก็หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น แต่โลกแห่งความจริงมักโหดร้ายเสมอ
ช่วงที่ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอหาเงินส่งตัวเองเรียนโดยทำงานพิเศษแทบทุกอย่างที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ เสิร์ฟอาหาร หรือแม้แต่ทำงานพาร์ทไทม์ในช่วงกลางคืน
แต่เงินที่เธอหามาได้กลับถูกน้าสาวที่ติดทั้งเหล้าและการพนันรีดไถไปเสมอ บางครั้งเธอก็ต้องยอมอดมื้อกินมื้อ เพื่อเจียดเงินที่เหลือเพียงน้อยนิด มาใช้เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน
หญิงสาวมักปลอบใจตัวเองอยู่เสมอ..
"ชีวิตก็อย่างนี้แหละ"
แต่แล้วค่ำคืนหนึ่ง..
อวี้เหมยลี่ เห็นแววตาของน้าสาวเป็นประกาย พร้อมกับชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เข้ามาในบ้าน พวกเขาคุยกันด้วยเสียงต่ำ กระซิบกระซาบและเอ่ยถึงเธอราวกับเป็นสินค้า ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจทุกอย่าง
น้าสาวต้องการขายเธอให้กับเสี่ยแก่ ๆ ที่น้าไปกู้ยืมเงินมาเล่นพนัน เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า เธอไม่เคยเป็นที่รักของใครเลยจริง ๆ
ไม่แม้แต่ครั้งเดียว..
หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากแอบวิ่งหนีออกทางประตูหลังบ้านในคืนนั้น เธอวิ่งผ่านความมืดที่เต็มไปด้วยสายฝนโปรยปราย ท่ามกลางเสียงหัวใจของเธอที่เต้นรัวด้วยความหวาดกลัว
จากวันนั้น..
เธอไม่เคยหันหลังกลับไปที่นั่นอีกเลย
เสียงฝนยังคงโปรยปรายจากฟากฟ้า ดังก้องไปทั่วตรอกซอยที่เงียบเหงา หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดื่มกาแฟที่เหลือในแก้วจนหมด รสชาติของมันขมกว่าที่เคยเป็น..
เธอลุกจากริมหน้าต่าง มือเรียวบางเอื้อมไปหยิบหนังสือนิยายเล่มหนึ่งจากชั้นวาง ดูจากมุมของหนังสือที่ถูกพับ แสดงให้เห็นว่ามันถูกหยิบมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หญิงสาวกระชับมันแนบอก เดินไปยังเตียงไม้เก่าทรุดโทรมแล้วล้มตัวลงนอน เปิดหน้ากระดาษแรกออกช้า ๆ ปล่อยให้ตัวอักษรพาเธอเข้าสู่โลกอีกใบ โลกที่แตกต่างจากความจริงอันแสนโหดร้ายของเธอ
ทว่าอ่านไปได้ไม่นานนัก ดวงตาคู่งามก็ค่อย ๆ ปรือหลับลง.. นิยายในมือหล่นลงข้างกายอย่างแผ่วเบา
และทันทีที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป..
อวี้เหมยลี่รู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ ร่างกายของเธอคล้ายถูกโอบอุ้มด้วยสัมผัสที่แสนสบายและอบอุ่น ผิดไปจากเตียงไม้เก่า ๆ ที่เธอคุ้นเคยมาตลอด
หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ก็พบกับเพดานสูงประดับด้วยลวดลายวิจิตร ข้างเตียงมีม่านลูกไม้สีขาวพลิ้วไหวตามแรงลม กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอ่อน ๆ ทำให้เธอรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด แต่ที่น่าประหลาดกว่านั้น คือความทรงจำของใครบางคนกำลังไหลเข้ามาในหัวของเธอ
เจ้าของร่างนี้มีชื่อว่า โรซาลิน เอเวอร์ฮาร์ท บุตรสาวของตระกูลเคานต์ผู้มั่งคั่งจากธุรกิจเหมืองแร่ หญิงสาวที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายอ่อนแอ เธอได้แต่งงานกับ เซดริก เบลมอนต์ บุตรชายของดยุกที่มีอำนาจสูงสุดรองจากราชวงศ์ และใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นเวลาสองปี
ทว่าหลายวันก่อน จู่ ๆ อาการป่วยของโรซาลินก็เริ่มทรุดหนักขึ้น จนกระทั่งเธอหลับไหลไปเป็นเวลาสามวันเต็ม และเมื่อเจ้าของเรือนร่างบอบบางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
คนที่อยู่ในร่างนี้ก็ไม่ใช่โรซาลินคนเดิมอีกแล้ว
อวี้เหมยลี่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตต่อไปในโลกใบใหม่นี้อย่างไร และไม่รู้ว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอไม่รู้สึกเดียวดายนั่นคือ เซดริก สามีของเธอ..
เขาเป็นชายที่สูงศักดิ์ สง่างาม และเต็มไปด้วยอำนาจ ทุกคนต่างให้ความเคารพต่อเขา แต่กับเธอ.. เขากลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาที่เธอฟื้นตัวจากอาการป่วย ก็เป็นเขาที่คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด
"เจ้ายังอ่อนแออยู่ นอนพักอีกหน่อยเถอะ" มือใหญ่ของเขาแตะที่หน้าผากของเธอด้วยความห่วงใย ราวกับจะตรวจดูว่าตัวเธอยังมีไข้หรือไม่ เขาจะคอยประคองเธอเวลาที่เธอลุกขึ้นจากเตียง คอยจัดการทุกอย่างให้เธอโดยไม่ปริปากบ่น
และที่สำคัญที่สุด..
เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอรู้จักกับคำว่า ‘ความอบอุ่น’
ในชีวิตที่ผ่านมา เธอไม่เคยมีใครที่คอยดูแลแบบนี้มาก่อน แม้ในยามที่ป่วยไข้.. เธอก็ต้องลุกขึ้นไปทำโจ๊กกินด้วยตนเอง หญิงสาวเติบโตขึ้นมาโดยที่ต้องคอยดูแลตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยได้รับความรักหรือความเป็นห่วงจากใคร
แต่ตอนนี้..
มีคนที่ยอมอยู่ข้างเธอ คอยดูแลเธออย่างอ่อนโยน เซดริกค่อย ๆ เข้ามาอยู่ในใจของเธอลงทีละนิด
และเธอก็เริ่มหลงรักเขาเข้าแล้วจริง ๆ
หลังจากที่เธอฟื้นตัวได้ไม่นาน หญิงสาวคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวที่คฤหาสน์ของดยุกเบลมอนต์ หญิงสาวคนนั้นมีเส้นผมสีทองอ่อนสลวย ดวงตาสีฟ้ากลมโตเปล่งประกายสดใส รอยยิ้มของเธอราวกับแสงตะวันอ่อนในฤดูใบไม้ผลิ
เธอคือ อิซาเบลลา เอเวอร์ฮาร์ท น้องสาวต่างแม่ของโรซาลิน
"ท่านพี่โรซาลิน! ข้าคิดถึงท่านมาก ท่านพ่อก็เป็นห่วงท่านมากเช่นกัน เลยให้ข้ามาดูแลท่าน"
หญิงสาวรู้สึกดีใจที่ได้รับความห่วงใยจากคนที่เธอควรจะเรียกว่าน้องสาว แม้เธอจะไม่เคยมีพี่น้องแท้ ๆ แต่การมีน้องสาวที่ร่าเริงและอัธยาศัยดีเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
เธอไม่รู้เลยว่า.. อีกสามปีให้หลัง คนที่เธอรักและไว้ใจที่สุดจะร่วมมือกันแทงข้างหลังเธออย่างไร้ความปรานี
สามปีต่อมา
เสียงสายลมพัดผ่านหน้าต่างห้องนอนกว้าง บรรยากาศเงียบงันเกินไปจนผิดปกติ หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวไม่ได้ ลมหายใจของเธอขาดห้วง ดวงตาพร่าเลือนราวกับมีม่านหมอกบาง ๆ บดบัง
อาการของเธอแย่ลงทุกวัน เธอคิดว่ามันเป็นเพราะร่างกายของเธออ่อนแอเกินไป.. แต่เปล่าเลย
ร่างกายของเธอกำลังจะดับสูญ เพราะพิษร้ายที่สามีและน้องสาวร่วมกันวางยาวันละนิด และพิษนั้นก็สะสมในร่างของเธอมานานนับปี โรซาลินอยากเอื้อมมือไปหาสามีของเธอ อยากร้องขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ร่างกายกลับไม่ยอมตอบสนอง
และสิ่งที่เธอเห็นเบื้องหน้าก็คือ..
ภาพของเซดริกกับอิซาเบลลาเริงรักกันอยู่บนเตียงเดียวกับที่เธอนอนอยู่และกำลังจะตาย เธอเห็นเขากำลังกอดประคองร่างอ่อนนุ่มของอิซาเบลลาไว้อย่างหลงใหล ฝ่ามือที่เคยลูบไล้เรือนผมของเธออย่างอ่อนโยน บัดนี้กลับกำลังลูบไล้ร่างของหญิงสาวอีกคน
ริมฝีปากของเขาแนบแน่นลงบนเรียวปากสีแดงสดของอิซาเบลลา เสียงครางแผ่วหวานดังลอดออกมา เสียงหัวเราะเบา ๆ ของอิซาเบลลาดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ราวกับใบมีดที่เฉือนลึกลงไปในหัวใจ
เธอได้แต่จ้องมองทุกอย่างเกิดขึ้นตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังนอนสิ้นหวังอยู่ตรงนี้ รอคอยเพียงความตาย..
"พี่ต้องขอบคุณฉันนะที่ช่วยดูแลเซดริกแทนพี่" อิซาเบลลาหันมามองเธอ ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ก่อนจะเอนกายพิงอกสามีของเธออย่างเป็นเจ้าของ
"โรซาลิน คุณอย่าโทษผมเลย จะโทษก็โทษตัวคุณเองเถอะ ที่ไม่สามารถมีลูกให้ผมได้" เสียงของเซดริกเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความรักที่เธอเคยมองเห็นในดวงตาของเขา
เธออยากจะถามว่า ทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้? เธอเคยคิดว่าเซดริกคือรักแรกและเป็นความอบอุ่นแรกในชีวิตที่เหน็บหนาวของเธอ.. แต่สุดท้ายเขากลับเป็นผู้ชายที่ผลักเธอลงไปในขุมนรก
หายใจไม่ออก..
พิษร้ายกัดกินอวัยวะภายในของเธอจนรู้สึกร้อนระอุไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดราวกับมีมีดนับพันเล่มกรีดเฉือนจากภายใน
เธอสำลักโลหิตออกมาเป็นลิ่มสีแดงเข้ม ร่วงกระทบลงบนหมอนสีขาวสะอาดตา
"อึก.."
เธออยากร้องออกมา อยากดิ้นรน อยากลุกหนีจากนรกตรงหน้า แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะขยับ
ในขณะที่เธอกำลังจะสิ้นใจ..
ในขณะที่เธอเจ็บปวดจนแทบขาดใจ..
เสียงครางสุขสมของสามีและน้องสาวกลับดังระงมไปทั่วห้อง พวกเขาไม่แม้แต่จะหันมาสนใจเธอที่นอนทรมานอยู่ตรงนี้ โรซาลินถูกทิ้งไว้ให้ตายไปอย่างเดียวดาย ทั้งที่อยู่ในห้องนอนของตนเอง
ทั้งที่อยู่ต่อหน้าสามีของตัวเอง
ทั้งที่อยู่ต่อหน้าคนที่เธอรักที่สุด
...นี่มันน่าขันสิ้นดี
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ






Commentaires