LOGIN“เออ...จริงด้วย กูบอกอ้ายหมอกมาช่วยมึงดีกว่า” คนตัวเล็กหันมาชี้หน้าเพื่อนยิ้ม ๆ
“โวะ! กูพูดเล่นค่ะ อ้ายมึงอยู่คนละฟากกรุงเทพ มาทีกูนึกว่าผู้ปกครองมาเฝ้าลูกทำกิจกรรม กูก็แค่ไปเร็วหน่อยค่อย ๆ จัดไปแค่นั้น มึงได้งานก็ดีแล้วไงวะ จะได้ไม่ต้องกลับบ้านอยู่เป็นเพื่อนกันกูไม่ชอบนอนคนเดียว” น้ำฝนว่าพลางกอดคอซบบ่าเพื่อน
“แต่อ้ายกูนอนเป็นเพื่อนมึงได้นะ” มัดหมี่ยังไม่เลิกแซวเพื่อน
“บอกอ้ายหมอกดึงวิญญาณออกจากกองหนังสือก่อนค่ะ เปลี่ยนเรื่องค่ะ เอางี้ ฉลองมึงได้งาน กูซื้อชุดใหม่ให้เอง”
“จริง!” หญิงสาวกระโดดกอดคอถามเพื่อน
“ชัวร์อยู่แล้ว นี่ใคร (ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง) ว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่กำนันเมฆเชียวนะ สวยและรวยมากนะจ๊ะ” น้ำฝนพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งกำนันเมฆที่ว่าก็คือพ่อของมัดหมี่นั่นเอง
“จ้า พี่สะใภ้ที่รัก มัวแต่เล่นตัวไม่ได้นะมึงเดี๋ยวก็ซิ่วเหมือนกูหรอก แต่รับรองได้นะ อ้ายกูไม่เชี้ยเหมือนไอ้โต้งแน่นอน” หญิงสาวกอดคอเพื่อนพูดถึงแฟนเก่าตัวเองที่หาข้ออ้างเลิกกับเธอเพียงเพราะขอหอมแก้มเธอไม่ให้แค่นั้น (แต่ตัวเองดันทำผู้หญิงท้อง)
“จ้า งั้นก็ช่วยภาวนาให้คุณรองสารวัตรพชระออกจากดงวิจัยปริญญาเอก มาจีบกูด้วยเถอะนะคะ ตอนนี้กูพร้อมเป็นพี่สะใภ้มึงมากค่ะ สัญญาเลยว่าจะพยักหน้าตั้งแต่อ้าปากเลยค่ะ แล้ววันนี้วันดีค่ะเพื่อน อย่าเอาชื่อไอ้อัปรีย์โต้งมาเอ่ยถึง” น้ำฝนกอดคอเพื่อนพูดยาว “เฮ้ย! นั่นมึงยี่ห้อนี้ที่เราเคยซื้อกันตอนฝึกงานน่ะ ลดตั้ง 50% ด้วย เข้าไปดูกัน” พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อบันไดเลื่อนมาถึงเกือบขั้นสุดท้ายและเห็นป้ายลดราคาของเสื้อผ้าร้านดัง จึงรีบลากแขนเพื่อนเดินเพื่อจะเข้าไปในร้าน
ปึก! “เออะ!” สาวตัวเล็กที่เพื่อนลากมาอุทานเสียงดังเมื่อกำลังจะเข้าไปในร้านแต่ถูกร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่เดินสวนออกมาชนเข้าอย่างจัง “เดินยังไงเนี่ยคุณ ตามองหลังคาห้างหรือไงถึงไม่เห็นคนเดินบนพื้น!” เสียงเล็ก ๆ ตวาดแว้ดขึ้นพลางเท้าเอวเงยขึ้นมองหน้าหนุ่มหน้าคมเคราเขียวครึ้มที่กรอบหน้า สวมแว่นกันแดดสีชาทั้งที่อยู่ในห้าง เขาเป็นคนรูปร่างสูงโปร่งน่าจะเกิน 190 เซ็นติเมตร แขนที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวพับขึ้นถึงข้อศอกนั้นขาวเฝือดจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน นาฬิกาที่ใส่ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผมหยักศกค่อนข้างหนาหวีเสยเปิดหน้าผาก คิ้วที่เลยกรอบแว่นตาค่อนข้างเข้ม จมูกโด่ง ปากสีชมพูเข้มจนเหมือนทาลิปสติก ซึ่งมองแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
“เจ็บหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยจากปากสวยโดยที่ไม่ได้ก้มลงมามอง
“นี่นาย! ขอโทษน่ะเป็นมั้ย”
“ผมไม่ได้เดินชนคุณ คุณเดินชนผม” ชายหนุ่มว่าขึ้นพลางถอนหายใจทำท่าจะเดินออกจากตรงนั้น *เด็กเลี้ยงควายเมื่อเช้านี่ นี่ยืนแล้วหรือวะ...* ชายหนุ่มแอบคิดในใจขำ ๆ กับสาวตัวเล็กที่เรียกตัวเองว่าลุงเมื่อเช้าและตอนนี้เธอก็เปลี่ยนชุดเช็ดเครื่องสำอางมองผิวเผินเหมือนเด็กมัธยมเอามาก ๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณจากัวร์” ผู้จัดการร้านได้ยินเสียงโวยวายหน้าร้าน และเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือหลานชายคนโตของเจ้าของบริษัทที่เพิ่งจะออกจากร้านจึงรีบวิ่งมาถามอย่างร้อนรนทันที
“ก็นายนี่” “เอ้อ เขาเตี้ยเกินสายตาไปหน่อย ผมน่าจะเดินชนเขา” ชายหนุ่มพูดขึ้นง่าย ๆ พลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองทำท่าจะเดินออกจากตรงนั้น
“นี่นาย! ฉันไม่ได้เตี้ยนะ ฉันมาตรฐานเว้ย! แล้วไม่คิดจะขอโทษเลยหรือไง” หญิงสาวที่ถูกปรามาสว่าเตี้ยคว้าแขนกระชากอย่างแรงจ้องหน้าถามอย่างเอาเรื่อง *คนห่าอะไรจะสูงขาวขนาดนั้นวะ หรือจะเป็นพรีเซ็นเตอร์กลูตาถึงได้เรืองแสงขนาดนั้น...* หญิงสาวคิดในใจ
“หมี่ เบาอายคนเขา เขาก็บอกอยู่ว่ามองไม่เห็น” น้ำฝนกระตุกแขนเพื่อนมองรอบตัวเมื่อเห็นคนกำลังสนใจมองมาทางนี้ (จริง ๆ เขาไม่ได้มองพวกเธอเลย เขามองผู้ชาย)
“อายทำไม? ก็เราไม่ได้ผิด คนผิดสิวะต้องอาย” หญิงสาวพูดกับเพื่อนแต่ตายังมองหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ผู้จัดการเธออยากได้อะไรก็ให้ไปแล้วส่งบิลมาที่ผม” ชายหนุ่มถอนหายใจหันไปพูดกับผู้จัดการร้านยกมือขึ้นแกะมือบางออกจากแขนตัวเองไม่แรงนักเดินลงบันได้เลื่อนไปทันที *ดุจริง ๆ เล้ย เอาไว้เจอกันใหม่นะตัวเล็ก...*
หลังจากที่ไปรับยาให้คุณย่าที่โรงพยาบาลชายหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้านคุณย่าเห็นรถของแขกเมื่อเช้าจอดอยู่และยังมีรถเก๋งยุโรปสีแดงสดเพิ่มมาอีกคัน ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นของคนที่คุณย่าของเขาอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้ ชายหนุ่มจึงเรียกคนในบ้านออกมาเอายาแล้วรีบขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาทันที และก่อนจะกลับเข้าบ้านเขาได้แวะมารับเสื้อผ้าที่อาสะใภ้ซื้อฝากไว้ให้ห้างใกล้บ้านและได้เจอกับหญิงสาวที่ให้เขาไปส่งเมื่อเช้าโดยบังเอิญ
“นี่นาย!” หญิงสาวชี้นิ้วตามหลังทำท่าจะเดินตามขายาวที่ลงบันไดเลื่อนไป
“เอ่อ...น้องคะ ใจเย็นก่อนนะคะคุณเขาขอโทษน้องแล้วค่ะ” ผู้จัดการสาวยิ้มอ่อนพลางรั้งแขนหญิงสาวกับเพื่อนไว้เบา ๆ “เชิญเข้ามาชมสินค้าในร้านก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าเขาขอโทษฉัน แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้ยินล่ะว่าเขาขอโทษ” หญิงสาวขมวดคิ้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ขาก็ก้าวตามเข้าไปในร้าน
“การให้คุณเลือกเสื้อผ้าตามใจชอบในร้านนี้ไปฟรี ๆ แล้วส่งบิลที่เขานั่นคือการขอโทษค่ะ เชิญเลือกได้ตามสบายเลยนะคะคอลเลคชันล่าสุดไซซ์เอสนี่ พี่ว่าเหมาะกับน้อง ๆ มากเลยนะ เดี๋ยวให้เด็กหยิบมาให้ดูนะคะ” ผู้จัดการสาวอธิบายยิ้ม ๆ ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยพลางหันไปเรียกให้พนักงานในร้านหาเสื้อผ้าไซซ์พวกเธอมาให้เธอลองอย่างเอาใจ พนักงานที่นี่รู้ว่าหลานชายคนโตของเจ้าของแบรนด์นี้ถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กและอยู่ยาวจนจบดอกเตอร์ เพิ่งกลับไทยมาได้เพียงแค่ปีเดียวชายหนุ่มจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดจนถึงเมื่อครู่ก่อนออกจากร้าน ดังนั้นการใช้ภาษาไทยของเขาจึงค่อนข้างมีคำศัพท์จำกัด เขาจึงไม่ค่อยจะพูดกับคนแปลกหน้ามากนัก แต่เมื่อครู่เขาพยายามใช้ภาษาไทยกับสาวตัวเล็กคนนี้อย่างมากตามความรู้สึกของผู้จัดการ
“อ่อ...ใช้เงินแก้ปัญหา” น้ำฝนพยักหน้าเหมือนเข้าใจ พลางหันไปมองหน้าเพื่อนเบะปากยักไหล่คิดว่าเป็นเรื่องปกติของคนมีเงินทำกัน
“อย่าเรียกแบบนั้นกับคุณเขาเลยค่ะ เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศภาษาไทยเลยได้แค่จำกัด แล้ววันนี้คุณเขารีบมากด้วย อาจไม่ทันระวังจริง ๆ ยังไงก็ขอโทษแทนคุณเขาด้วยนะคะ” ผู้จัดการสาวสวยอธิบายพลางยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่เป็นเด็กพาร์ตไทม์ ม.ปลาย จนเรียนจบปริญญามาเป็นพนักงานประจำไต่เต้ามานับสิบปีจนได้เป็นผู้จัดการสาขา เคยเจอชายหนุ่มหลายครั้งตอนที่กลับบ้านช่วงปิดเทอมมาร้านกับคุณแม่และน้องชาย ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ในวัยมัธยมและปริญญาตรี แต่หายไปช่วง 5-6 ปีหลัง รู้จากคุณแม่ของเขาว่าชายหนุ่มย้ายจากฝรั่งเศส ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่อังกฤษมหาวิทยาลัยเดียวกับที่คุณอาสำเร็จมา และเพิ่งจะกลับมาดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารที่โรงงานทอผ้าของครอบครัวเมื่อต้นปีนี่เอง และที่สำคัญคนบ้านนี้สื่อสารกันด้วยภาษาฝรั่งเศสมาตั้งแต่รุ่นพ่อยกเว้นน้องชายของชายหนุ่มที่เรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านได้เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น
“อ่อ...(มัดหมี่พยักหน้า) แต่คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย...
บูลลี่น้องน่ะคุณจากัวร์...
“เพิ่งรู้นะคะว่าคุณจาทานอาหารอีสานรสจัดพวกนี้ได้” หญิงสาวว่าขึ้นพลางมองชายหนุ่มที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารอีสานรสจัดที่บางอย่างเธอกับเพื่อนก็ไม่สามารถทานได้แต่ดูง่ายมากสำหรับจาติรัช *นักเรียนนอกนี่มันนอกตรงไหนวะ นอกเทศบาลละมั้งกูว่าซดปลาร้าคล่องมากพ่อ...* หญิงสาวแอบคิดในใจ“คุณยายผม (หมายถึงแม่ยายคุณอา) เป็นคนอีสาน ผมไปหาบ่อย ๆ” คนพูดสั้นเริ่มพูดยาวขึ้น“ทำงานที่เดียวกับน้องสาวผมหรือครับ” หมอกพยายามผูกมิตรพลางแอบมองหน้าน้องสาวแล้วชำเลืองคนนั่งข้าง ๆ อย่างมีเลศนัย“ครับ ที่เดียวกัน”“ผมทำงานอยู่อีกฝั่งนาน ๆ ถึงจะมีเวลามาหาน้อง ๆ” รองสารวัตรหนุ่มพูดยิ้ม ๆ“บ้านคุณย่าผมก็อยู่อีกฝั่งเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่” ว่าพลางรับแก้วน้ำที่หญิงสาวรินส่งให้มาดื่มจนหมดแก้ว“แล้วนี่คุณจาพักอยู่ไกลมั้ยครับ ผมว่าเราปล่อยสาว ๆ ขายของเราไปดื่มกันต่อดีกว่ามั้ย” คำชวนของพี่ชายที่ชวนรองประธานไปดื่มทำเอาน้องสาวถลึงตาใส่ทันที แต่ที่หมอกชวนดื่มเพราะสังเกตการณ์พูดแบบสั้น ๆ ถามคำตอ
ตลาดเย็นเป็นสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่ตลาดเริ่มตั้ง เพราะวันนี้นอกจากจะมีตลาดนัดแล้วยังมีมีดนตรีสดของนักเรียนนักศึกษาให้รับฟังกันฟรี ๆ ในสัปดาห์ต้นเดือนแบบนี้ ทำให้ตลาดมีความครึกครื้นขึ้นมาก 2 สาวเพื่อนรักรีบช่วยกันจัดร้านเสร็จตั้งแต่ก่อนบ่ายให้พร้อมขายก่อนจะพากันนั่งทานมื้อเที่ยงพร้อมกับมองลูกค้าเผื่อมาซื้อน้ำไปด้วย“เออ...หมี่ บิ๊กไบก์โรงทอคันนั้นไม่เห็นหลายวันแล้วนะ แม่บ้านบอกว่าเหมือนเขาไม่กลับมาเลย เข้าไปแอร์ไม่ฉ่ำ” น้ำฝนว่าพลางตักข้าวเข้าปาก“ไปต่างประเทศมั้งออฟฟิศก็ไม่เห็นตั้งแต่วันอังคารที่แล้วแล้วนี่” หญิงสาวตอบพลางตักกับข้าวใส่จานตัวเองไปด้วย“มึงรู้จักเขาแล้วดิ ใครวะ” น้ำฝนถามขึ้นไม่จริงจังนัก“ก็... เชี้ย!” หญิงสาวกำลังจะตอบแต่ต้องเปลี่ยนเป็นอุทานอย่างตกใจ เมื่อคนที่พวกเธอกำลังพูดถึงมายืนอยู่หน้าร้าน ถึงเขาจะใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้ากับหมวกแก๊ป แต่ผิวขาวใสที่พ้นเสื้อยืดกับรูปร่างสูงโปร่งนั้นเธอจำได้ดี และเพิ่งนึกได้ว่าผู้ชายคนนี้คือลูกค้าประจำน้ำเปล่าของร้านเธอก่อนหน้าจะ
Jaguar partหลังจากที่คุณย่ามาที่โรงทอ ตลอดทั้งสัปดาห์รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่เคยจอดอยู่ในที่จอดส่วนบุคคลหายไป มีรถของริชชี่เข้ามาจอดแทนที่โดยที่เธอจะเข้ามาเช้ากว่าปกติแต่ก็หลังจากที่ออฟฟิศเข้ามางานแล้วแทบทุกวัน ซึ่งทำให้ทั้งออฟฟิศต่างมั่นใจกับข่าวลือที่ว่าริชชี่คือว่าที่คู่หมั้นตัวจริงของรองประธานจาติรัช เพราะวันนั้นเธอออกไปทานข้าวพร้อมกับครอบครัวคุณย่า คุณพ่อและคุณอาของชายหนุ่มชายหนุ่มนั่งถอนหายใจอยู่บนห้างส่องสัตว์ในขณะที่น้องชายกำลังนอนอ่านการ์ตูนในแท็ปเล็ตของพี่ชายอย่างสบายใจ“ไหนมึงบอกว่าหยุด 3 วันไงเจ” เสียงทุ้มเอ่ยถามน้องชายที่นอนยกขาขึ้นไขว่ห้างหนุนกระเป๋าของตัวเองอยู่ *แล้วดูแม่งอ่าน นี่มันเป็นหมอหรือเป็นคนไข้กันแน่วะ...* ชายหนุ่มคิดในใจมองน้องชายที่ยังไม่รู้จักโตของตัวเองขำ ๆ“ลาต่อไง ทำงานวันจันทร์” น้องชายตอบแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการมานอนป่าเข้าคืนที่ 3 ของคนทั้งคู่ที่ตรงนี้ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก และจาติรัชก็มาหลายรอบเพราะชอบเป็นการส่วนตัวจนสนิทกับเจ้าหน้าที่อุทยานและพรานนำทางเป็นอย่างดี“กูมีงานต้องทำนะเ
‘ผมหยุด 3 วัน พาผมเข้าป่าหน่อยนะเฮียนะ ให้ไปไหนก็ไปทั้งนั้นแหละยกเว้นค่ายมวยพ่อใหญ่อัฐ ผมไม่อยากเข้าออฟฟิศ’ น้องชายรีบอ้อนทันที เขาเป็นหมอเพิ่งกลับมาจากเรียนต่อปริญญาโทเข้ามาทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือนและนาน ๆ จะมีวันหยุดยาวซักครั้ง แต่คุณพ่ออยากให้เข้าไปเรียนรู้งานในบริษัท เลยเกิดอาการงอแงอยากพัก จึงมาอ้อนให้พี่ชายพาหนีเข้าป่า“อยากเข้าป่า?” พี่ชายถามน้องชายขำ ๆ แล้วหันหลังเดินลงบันไดเพื่อกลับไปที่รถอีกครั้ง‘อือ...บอกทางมาสิครับผมติดไฟแดงอยู่เนี่ยจะให้เลี้ยวซ้ายหรือขวา’“เฮ้อ... กลับบ้านกูเลยเดี๋ยวกูกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน ไปเอารถใหญ่ออก” ว่าจบกดวางสายสวมหมวกกันน็อกอีกรอบเพื่อจะกลับบ้านพลางมองสาวตัวเล็กที่เธอเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดคอกลมตัวใหญ่เดินลงมาจากบนตึก“หมี่!” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกในขณะที่ขายาวก้าวคร่อมมอเตอร์ไซค์สตาร์ทเครื่องเสียงดังกระหึ่ม“คะ?” ขานรับพลางเดินเข้าไปหา *เรียกคล่องจนจะหลอนแล้วนะคะบอส...เอ้อ*“ขึ้นมาสิเดี๋ยวไปส่ง” ชายหนุ่มว่
“อย่าบอกใครว่าผมอยู่ในห้องนี้และอย่าบอกใครว่าผมเป็นใคร”“ทำไม?”“การเป็นผมมันไม่สนุก” ชายหนุ่มว่าพลางถอนหายใจ“ถ้าจะอธิบายยาว ๆ พูดภาษาที่ท่านรองถนัดหมี่ก็พอฟังได้นะคะ แต่ขอแบบช้า ๆ หน่อย” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ ซึ่งจากน้ำเสียงเธอก็พอเข้าใจถึงสิ่งชายหนุ่มบอกและพอจะเดาออกว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขาจากเหตุการณ์วันนี้“คุณย่าผมท่านอยากให้ผมแต่งงานเลยพยายามหาคู่มาให้ ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า คนพวกนั้นเอาลูกหลานมาเสนอท่านเพราะหวังหุ้นของที่นี่และริชชี่ก็ไม่ใช่ว่าที่คู่หมั้นผมหรอกนะ” เมื่อรู้ว่าหญิงสาวฟังออกคำพูดก็ยืดยาวจนแทบฟังไม่ทันขึ้นมาทันที“เข้าใจแล้วค่ะ เรื่องที่ท่านรองอยู่ที่นี่หมี่จะไม่บอกใครค่ะ” ว่าจบทำท่าจะเดินออกจากห้องอีกรอบ“หมี่” “คะ?”“ผมชื่อจากัวร์ คนที่นี่เรียกผมว่าบอส แต่ถ้าเจอข้างนอกเรียกผมว่าจา” คำสั่งของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วคิดตามทันทีแล้วต้องตาโตเมื่อนึกอะไรออกมาได้“จากัวร์? คุณคือคนที่เดิ
“เมื่อไหร่พี่จาจะกลับมา” คำถามเศร้า ๆ ทำเอาหลานชายที่นั่งฟังอยู่ในห้องอยากออกมากอดคุณย่าของเขาใจแทบขาด แต่ก็ต้องทำใจแข็งเพราะถ้าออกมาตอนนี้คนที่นี่ต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไทยและจะวุ่นวายไม่จบสิ้น“คุณแม่ลืมหรือครับว่าจามันมีบริษัทของตัวเองต้องดูแล ตอนนี้โรมก็มาทำงานได้มันก็ต้องไปดูแลบริษัทมันสิครับ มันแค่มาช่วยเราเฉย ๆ นะ” คุณสรัญพูดกับคุณแม่ยิ้ม ๆ พลางยกข้อมือดูนาฬิกา “ตอนนี้ 11 โมงกว่าแล้วเดี๋ยวเราออกไปทานข้าวกันเลยดีกว่า ผมจะพาคุณแม่ไปหาหมอเองนะครับ”“ก็ได้ งั้นหนูริชชี่ไปทานข้าวกับคุณย่านะคะลูก” ตอบรับลูกชายแล้วหันไปมาชวนคนที่อยากได้เป็นหลานสะใภ้ยิ้ม ๆ“แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เที่ยงเลยนะคะคุณย่า ริชว่า...”“ไม่เป็นไรหรอกหนู ยังไงวันนี้หนูก็มาสายอยู่แล้วนี่ ตอนนี้หนูก็ยังไม่เริ่มทำงานเลย ฉันจะถือว่าเธอลางานช่วงเช้าก็แล้วกัน เอาเป็นว่าไปกินข้าวด้วยกันหมดนี่แหละ ไปชาติลุก” ท่านประธานตัดบทเพราะไม่อยากขัดใจคุณแม่ หันไปชวนเลขาหลานชายและเลยไปเรียกสาวสวยตัวเล็กที่นั่งหน้าประตูไปด้วย “หนูก็ด้







![จิรัติพันประดับ [เซตเกี่ยวรัก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)