แสงจันทร์เต็มดวงยังคงทอประกายบนฟากฟ้ายามค่ำคืนเป็นคืนที่สามติดต่อกันที่หิมะยังคงโรยลงอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดบนกิ่งเหมยในสวนอวิ๋น ดอกไม้ที่ควรจะผลิบานเบ่งรับน้ำค้างของเหมันต์ กลับร่วงโรยทีละกลีบ...โดยไม่มีดอกใหม่ใด ๆ ปรากฏแทนที่
เซิ่งอี้เหวินยืนอยู่ใต้ต้นเหมยต้นเดิม เป็นต้นไม้ที่เขาเคยพบเซี่ยอวี่ครั้งแรก แต่คืนนี้ ไม่มีเงาของนาง ไม่มีเสียงพิณ มีเพียงกิ่งก้านแห้งที่ชูยอดสู่ท้องฟ้า เงียบงันและเหงาเศร้า เขาก้มลง เก็บกลีบดอกที่เพิ่งร่วงหนึ่งกลีบขึ้นมา มันยังอุ่นราวกับเพิ่งร่วงลงเมื่อครู่เดียวและกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ติดอยู่บนปลายนิ้วยังเหมือนเดิม
“ข้ามาแล้ว แต่เจ้ากลับหายไป” เขาพึมพำกับกลีบเหมยในมือ
เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง เป็นเสียงเบา เรียบ เนิบ ผู้ที่ปรากฏคือ หลินเซียน ในชุดขุนนางผ้าสีเทาอ่อน ผืนผ้าโบราณทาบไหล่อย่างงดงามราวนักปราชญ์ผู้เดินออกจากตำราประวัติศาสตร์
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาที่นี่” เขาเอ่ยโดยไม่ต้องทักทาย
อี้เหวินไม่หันกลับ “เพราะข้ามาที่นี่ทุกคืน”
หลินเซียนยืนเคียงข้าง มองต้นเหมยไร้ดอกก่อนเอ่ยเบา ๆ
“ต้นไม้นี้เคยออกดอกแม้ในยามพายุหิมะกระหน่ำ แต่ตั้งแต่เจ้าพบเซี่ยอวี่ครั้งแรก มันก็ไม่เคยผลิบานอีกเลย”
อี้เหวินเงียบ
“เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
“เพราะเวลาหยุดเดิน” เสียงของเขาตอบช้า ๆ
“เพราะนางคือคำสาป เพราะนางไม่ควรยังอยู่ในโลกใบนี้”
หลินเซียนพยักหน้า “ในเมื่อไม่มีอนาคตสำหรับนาง ดอกไม้ที่ควรผลิบานในวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีวันเบ่งบาน”
อี้เหวินหันมามองเขาช้า ๆ “ข้ารู้แล้วว่าข้าต้องคืนอนาคตให้นาง และข้าจะเริ่มจากสิ่งแรกคือความลืม“เงาแรกของนางที่ข้าต้องตามหา”
ในบันทึกของหลี่ซู ‘ความลืม’ ไม่ใช่เพียงคน แต่เป็นความทรงจำที่ถูกสลักออกจากประวัติศาสตร์ เป็นการกระทำของคนที่ตั้งใจลบชื่อใครบางคนออกจากโลก และผู้เดียวที่มีอำนาจสั่งลบชื่อนั้นได้อย่างสมบูรณ์ก็คือ ผู้รักษาหอจารึกแห่งราชวงศ์
หอจารึก เป็นสถานที่สูงสุดในการบันทึกประวัติศาสตร์ของราชสำนัก ทุกเหตุการณ์สำคัญจะถูกเขียนลงด้วยหมึกดำบนกระดาษหลวง และทุก ‘การลบ’ จะต้องใช้ตราพระราชโองการและ ‘หมึกแดงแห่งการลืม’
คืนวันถัดมา อี้เหวินปลอมตัวอีกครั้ง แฝงกายเข้าไปยังหอจารึก ชั้นในสุดของอาคารหินถูกล็อกไว้แน่นหนา แต่เขามีวิชากายเบาจากการฝึกในสำนักเงาเมื่อยังเป็นทหารชายแดน การผ่านประตูลงกลอนจึงมิใช่เรื่องยาก
ภายในห้อง เขาพบชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางตะเกียง ใบหน้าผู้นั้นผอมแห้ง แววตาสลบเซื่อง เขาคือ หย่งซาน ผู้ดูแลหอจารึกคนปัจจุบัน
อี้เหวินเดินตรงเข้าไปวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ เปิดฝาเผยให้เห็น จดหมายของเซี่ยอวี่ หย่งซานมองมัน แล้วเงยหน้าช้า ๆ
“ข้าเคยลบชื่อนางด้วยมือตนเอง ในวันนั้น มีพระราชโองการด่วน ข้าได้รับกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนเพียงนามว่า ‘เซี่ยอวี่’ และคำว่า ‘ลืม’ ข้าต้องใช้หมึกแดงลบออกจากทุกสำเนาในราชสำนัก จากตำรา เพลง โคลง กวี เรื่องเล่า ชื่อสำนัก นามตระกูล แม้กระทั่งคำกลอนที่นางเคยแต่ง”
“แล้วท่านเคยถามตนเองหรือไม่ ว่าทำไมต้องลบแม้แต่นาม?” อี้เหวินถามนิ่ง ๆ
หย่งซานยิ้มจาง “เพราะสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการจำ คือการที่ นางถูกจำผิด หากวันหนึ่ง ผู้คนจำนางว่าเป็นมารทั้งที่นางคือผู้เสียสละที่สุด ข้าจึงเลือกจะลบแทนปล่อยให้ถูกจดจำผิด”
อี้เหวินยืนนิ่ง มือเขาสั่น “เช่นนั้น ท่านคือเงาแรกของนาง ความลืม”
“ใช่ และข้าพร้อมคืนมันให้เจ้า หากเจ้าแน่ใจว่าจะไม่ให้ความรักของนางถูกจำผิดอีก”
“ข้าสาบาน ด้วยชีวิตของข้า”
หย่งซานยิ้มเงียบ ๆ แล้วเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะ หยิบห่อผ้าเก่าขึ้นมาหนึ่งผืน เมื่อเปิดออก ภายในคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ยังคงชื่อเดิมของเซี่ยอวี่ไว้
“นี่คือสำเนาที่ข้าเก็บไว้ในความผิด จงนำมันไปให้ชื่อของนางมีที่ยืนในโลกอีกครั้ง”
อี้เหวินรับไว้ด้วยสองมือ
เงาแรก...ได้คืนแล้ว เหลืออีกสองเงา ‘ความกลัว’ และ ‘ความรักที่ไม่เคยเอ่ย’ และเขาจะตามหามันมาให้ครบ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม...
กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า
“เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า
ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ
“ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า
ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข
หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห