Beranda / อื่น ๆ / เงาจันทราเหนือเหมันต์ / บทที่ 4 บทเพลงที่ไม่เคยมีในบันทึก

Share

บทที่ 4 บทเพลงที่ไม่เคยมีในบันทึก

Penulis: Bosskerr
last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-08 00:38:03

ราตรีนั้น แสงจันทร์สาดลงบนวังเฉินหยวนอีกครั้ง ท้องฟ้าสีเงินหม่นพราวไปด้วยกลุ่มดาวซีฮั่งและหนี่ว์หลาง เสียงลมเหมันต์โหมพัดผ่านหลังคากระเบื้องหยกโบราณ เงาไม้ทาบยาวไปทั่วระเบียงตำหนักว่างเปล่า

ภายในเรือนพักของเซิ่งอี้เหวิน ตะเกียงน้ำมันยังคงลุกไสว ทว่าดวงตาของเขากลับไม่อาจปิดลงแม้เพียงครู่เดียว เสียงพิณนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจเขาไม่หยุด

เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินมาหยุดอยู่หน้ากล่องไม้ที่ยังไม่ปิดฝา ภายในมีทั้งจดหมายของเซี่ยอวี่และตราราชวงศ์ เขาหยิบมันขึ้นอีกครั้ง ปลายนิ้วลูบผ่านคำว่า “ข้ารักเจ้าเสมอ”

ครืน...

เสียงสายลมแทรกผ่านหน้าต่างที่ปิดสนิทบานหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันสั่นไหว เปลวไฟลู่ไปทางเดียวกับเงาจันทร์ และแล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น

เสียงพิณ...

มิใช่ในห้วงความคิด มิใช่ในความทรงจำ แต่มาจากเบื้องนอกจริง ๆ

เขารีบคว้าดาบข้างกาย และกระโจนออกไปนอกเรือน เสียงนั้นมาจากทิศเหนือ ไม่ผิดแน่ ตำหนักดนตรีหลวง

ตำหนักดนตรีหลวง เป็นหนึ่งในตำหนักชั้นในที่ปิดไว้ในยามค่ำ ไม่มีผู้ใดอนุญาตให้เข้ามาในยามวิกาล เว้นแต่จะมีพระบัญชาจากรัชทายาท แต่คืนนี้ เสียงพิณที่ไม่มีในบันทึกใด ๆ กำลังถูกบรรเลงขึ้นในที่แห่งนั้น

อี้เหวินเร่งก้าวเท้าลัดลานกว้าง วาดเงาร่างผ่านเงาเสาทองคำ จนในที่สุด เขามาหยุดอยู่หน้าประตูไม้ของตำหนัก เสียงพิณก็หยุดลงราวกับรู้ว่าเขามาถึง

เขาไม่ลังเล เปิดประตูไม้เข้าไปอย่างเงียบงัน สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้า คือความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใด ไม่มีพิณ ไม่มีเงาร่างใด มีเพียงพรมเก่าที่ปลิวกระจัดกระจายกับฝุ่นบาง ๆ ที่ล่องลอยในแสงจันทร์

เขาขมวดคิ้วก้าวเข้าไปในตำหนัก เดินผ่านเสาแกะลายมังกรจนถึงห้องกลาง และที่นั่น เขาเห็นชายผู้หนึ่งนั่งชิดผนัง กุมศีรษะตัวเองไว้แน่น ทั้งร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าเขียวคล้ำเหมือนคนเพิ่งฝันร้าย

“หลี่เจิ้ง”

อี้เหวินจำเขาได้ทันที หลี่เจิ้ง ครูดนตรีหลวงผู้เชี่ยวชาญเสียงพิณอันดับหนึ่งของราชสำนัก อี้เหวินคุกเข่าลงข้างกายเขา

“ท่านได้ยินเสียงนั้นหรือไม่?”

ชายชราเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ริมฝีปากของเขาสั่นจนแทบเปล่งเสียงไม่ออก

“มันไม่ใช่เพลงของมนุษย์ ไม่เคยมีในตำรา ไม่เคยมีในบันทึก มันคือเสียงของคำสาป...”

“ข้าเพียงลองดีดตามทำนองนั้นเพียงครั้งเดียว แล้วข้าก็เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...”

เขาหยุดหายใจชั่วขณะ ราวกับห้วงความทรงจำหวนกลับมารัดลำคอ

“ข้าเห็นตำหนักเหมันต์ลุกไหม้ เห็นรัชทายาทหลงจื้อก้มกราบศพหญิงหนึ่งใต้ต้นเหมย เห็นเขานำพิณของนางวางลงข้างกาย แล้วร้องไห้”

อี้เหวินชะงัก “ท่านไม่เคยเห็นเหตุการณ์นั้นมาก่อน?”

“ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีเรื่องนั้นอยู่จริง...” หลี่เจิ้งกล่าวพลางสะอื้นเบา ๆ

“แต่เมื่อได้ยินเสียงเพลงนั้น ข้ากลับรู้มันทั้งหมด ดั่งเสียงนั้นขุดอดีตให้หวนคืนในหัวข้าอย่างชัดเจน”

เสียงพิณที่ไม่มีในตำรา แต่เมื่อลองบรรเลงกลับเผยความลับที่ไม่มีผู้ใดควรรู้ นี่คือ “เพลงต้องห้าม” เพลงที่ไม่มีชื่อในประวัติศาสตร์ เพลงที่เปิดเงาของอดีต และอาจเปลี่ยนชะตาของปัจจุบัน และมันกำลังกลับมา...

หลังจากนำหลี่เจิ้งกลับไปพักในห้องของแพทย์หลวง เซิ่งอี้เหวินก็ยังไม่อาจสงบใจได้ แม้ใบหน้าของครูดนตรีชราจะซูบซีดคล้ายผู้ถูกวิญญาณกระชากลมหายใจ ทว่าในนัยน์ตาคู่นั้นกลับสว่างวาบยามเอ่ยถึง “อดีต” ที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน

เพลงต้องห้ามนี้ ไม่เพียงดึงความทรงจำเก่าออกมา หากยังเปิดประตูสู่ความลับที่ถูกกลบฝังโดยราชสำนักมานานเกินครึ่งชีวิตคน

“แต่ใครกันที่บรรเลงเพลงนั้น ในค่ำคืนนี้?”

คำถามนั้นดังก้องในใจเขา เสียงพิณไม่ได้มาจากกล่องไม้ที่เขาเก็บไว้ ไม่ใช่เสียงจากเซี่ยอวี่ หากแต่มีใครบางคนที่สามารถบรรเลงทำนองนั้นได้อีก

ใครกัน?

เช้าวันถัดมา เขามายืนอยู่ที่ห้องเก็บสำเนาบันทึกครูดนตรีของวังหลวง ภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงของแปรงพู่กันแตะกระดาษจากขุนนางบันทึกสองคนที่นั่งอยู่หน้าชั้นลายมังกร

“ข้าต้องการดูบันทึกของผู้สอบผ่านตำแหน่งครูดนตรีในช่วงห้าปีย้อนหลัง”

อี้เหวินกล่าวพร้อมยื่นตราราชองครักษ์ หนึ่งในขุนนางลุกขึ้นทันที พยักหน้าอย่างเคารพก่อนหายเข้าไปในห้องชั้นใน ไม่นานก็กลับมาพร้อมม้วนบันทึกสามม้วน

เขานั่งลงเปิดม้วนแรก พลิกดูรายชื่อและคำอธิบายของแต่ละคนอย่างตั้งใจ มือหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่ง

“หลี่ซู”

เด็กสาววัยสิบหก เชี่ยวชาญพิณสายเดียว สอบผ่านด้วยการดีดเพลงที่ไม่มีชื่อ ท่วงทำนองไม่ตรงกับตำราหลวงแต่คณะกรรมการทั้งหมดกลับยกย่องว่า “สะเทือนใจจนมิอาจลืม”

สิบหกปี ตรงกับปีเดียวกับวันที่ “หอพิณจันทร์” เปิดทำการชั่วคราวเพื่อสอบคัดพิเศษ หลังจากนั้น บันทึกของนางก็หายไป ไม่มีการเลื่อนตำแหน่ง ไม่มีการบันทึกว่าได้รับงานราชการ ไม่มีแม้แต่รายชื่อในทะเบียนครูดนตรีหลวง

“หลี่ซู...”

เขาพึมพำชื่อเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามขุนนางบันทึก

“หลังจากปีนี้ มีใครได้ยินชื่อนางอีกหรือไม่?”

ขุนนางผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เด็กผู้นั้นสอบได้ แต่ไม่เคยมารายงานตัวในวันเริ่มงาน หลังจากนั้นก็มีข่าวลือว่านางถูกนำตัวไปฝึกในเขตพิเศษของวังใน หากจะสอบถามต่ออาจต้องไปที่เรือนปิดเสียง”

อี้เหวินขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น เรือนปิดเสียง คือเรือนลับซึ่งใช้ฝึกนักร้องและนักดนตรีหญิงผู้มีพรสวรรค์สูง อยู่ภายใต้การดูแลของขุนนางฝ่ายในระดับสูงสุด ไม่มีใครเข้าได้ง่าย แม้แต่องครักษ์อย่างเขา

ตกค่ำ อี้เหวินยืนอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ด้านข้างตำหนักฉืออวี้สถานที่ที่ว่ากันว่าเรือนปิดเสียงตั้งอยู่ด้านหลังสุด เขาไม่ได้มาโดยเปิดเผย ชุดที่เขาสวมคืนนี้เป็นชุดสามัญของขันทีหนุ่ม หมวกผ้าปิดผมแนบศีรษะ ท่วงท่าเงียบเชียบราวเงาใต้จันทร์

เขาแฝงกายผ่านกำแพงเตี้ย ลัดเข้าทางเดินไม้เก่า จนมาหยุดหน้าตำหนักชั้นใน เสียงดนตรีเบา ๆ ก็ลอยมา

นั่นไม่ใช่พิณ หากเป็นระฆังแก้วกระทบกันจาง ๆ อี้เหวินแฝงกายใต้เงาระเบียง จนกระทั่งได้เห็นหญิงสาวในชุดสีครามหม่นผมถักขึ้นสูงตามแบบนางขับร้องชั้นใน แต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ คือแววตาคู่นั้น แม้เพียงเห็นแค่ครึ่งหน้าผ่านม่านบาง แต่แววนัยน์ตาเศร้าลึกนั้น เหมือนกันกับนางไม่มีผิด

เซี่ยอวี่...

เขารีบขยับตัวเข้าใกล้ หากแต่จังหวะนั้นเอง เสียงพิณสายแรกก็ดังขึ้น ดังจากมือของนาง และในทันที ภาพรอบตัวเขาก็เริ่มสั่นไหว ต้นไม้ค่อย ๆ หายไป กำแพงละลาย ลานหินเปลี่ยนเป็นหิมะโรย ระเบียงวังกลายเป็นตำหนักเก่าแก่ที่เขาเคยเห็นในความฝัน

เสียงพิณเพียงสายเดียวเปลี่ยนโลกตรงหน้า อี้เหวินก้าวออกจากเงาไม้ พึมพำอย่างแทบไม่เชื่อหูตาตนเอง

“เจ้าคือเงาของนาง หรือเจ้าคือผู้สืบเสียงของนาง?”

เสียงพิณยังคงสะท้อนในอากาศ ราวกับแต่ละสายถูกขึงด้วยลมหายใจของอดีตกาล โลกตรงหน้าเซิ่งอี้เหวินบิดเบี้ยวเป็นเงาซ้อน

ตำหนักเรือนปิดเสียงที่เขายืนอยู่เมื่อครู่พลันกลายเป็นตำหนักเหมันต์ในอดีต ดอกเหมยบานกลางหิมะ และกลิ่นธูปจาง ๆ ลอยเคล้าท่ามกลางสายลม

เขาก้าวเท้าเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรง ทุกสายพิณสะกิดความทรงจำที่ฝังลึกในจิตวิญญาณ เหตุการณ์ที่เขาไม่เคยเห็น แต่รู้สึกว่าตนเคยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นมาก่อน

เสียงพิณหยุดลงฉับพลัน ราวกับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น หญิงสาวในชุดครามลุกขึ้นช้า ๆ เงาหลังนางหันให้เขา ผมดำขลับถักเป็นเปียยาวประณีต เงาเงียบงันของนางทอดยาวบนพื้นหินเย็นยะเยือก

“เจ้าคือใครกันแน่” อี้เหวินเอ่ยถาม น้ำเสียงแผ่วต่ำ

หญิงสาวหันกลับมาช้า ๆ เรือนหน้านั้นอ่อนวัยกว่าเซี่ยอวี่เล็กน้อย ดวงตากลมโต มีไฝเล็กใต้หางตาซ้าย ทว่านัยน์ตาคู่นั้น เศร้าเกินวัย ราวกับผ่านความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ข้าชื่อหลี่ซู” นางเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าบรรเลงเพลงต้องห้ามนั้นได้อย่างไร?”

หลี่ซูมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เพราะเสียงนั้น ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นด้วยมือคน แต่มันอยู่ในหัวใจข้ามาแต่เกิด”

อี้เหวินขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าจำมันได้?”

“มิใช่เพียงจำได้ แต่ข้าฝันถึงมันทุกคืน”

เสียงของนางแผ่วลง แฝงประกายเจ็บลึก

“ในฝัน ข้ายืนอยู่ใต้ต้นเหมย ร้องเพลงให้ชายผู้หนึ่งฟัง และในคืนที่หิมะตกหนักที่สุด เขาเดินเข้ามาหาข้า พร้อมกระบี่ในมือ”

อี้เหวินสะดุ้งเรื่องราวเดียวกันกับภาพในความฝันของเขาหลี่ซูปรายตามองพิณตรงหน้า

“คราแรกที่ข้าดีดพิณสายนี้ ข้าไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร แต่คราใดที่ข้าดีด เสียงนั้นจะเผยภาพความหลังที่ข้าไม่เคยมี หรืออาจจะเคย”

“เจ้าคือ...ชาติก่อนของเซี่ยอวี่?”

หลี่ซูส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่ใช่นาง แต่ข้าอาจเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนาง”

“เมื่อใดที่เขาจำนางได้ไม่ครบถ้วน นางจะกระจายตัวเป็นเงา เป็นเสียง เป็นบทเพลง เป็นกลีบเหมย ข้าก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น”

อี้เหวินนิ่งงันไป

“ข้าคือเศษหนึ่งของเงาเจ้า ส่วนเจ้าคือเงาอีกครึ่งของข้า”

นางเอ่ยเสียงเบา ก่อนยื่นมือมาวางทับบนพิณ ปลายนิ้วของนางแตะสายที่ห้า เสียงสะท้อนหนึ่งดังขึ้น แผ่ว ลึก และอบอุ่นอย่างไม่อาจอธิบาย

“ข้าตามหาเขามาหลายชาติ บางคราวก็จำได้เพียงเสียง บางคราวจำได้เพียงกลิ่นดอกเหมย แต่ในชาตินี้ ข้าอยากให้เขาจำข้าได้ทั้งชื่อ เสียง และหัวใจ”

ดวงตาของอี้เหวินสั่นไหว “แล้วข้าล่ะ ข้าคือเขาคนนั้นใช่หรือไม่”

หลี่ซูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ อย่างแผ่วช้า

“ไม่ใช่เพียงเจ้า แต่มีมากกว่าหนึ่งคน ที่จดจำได้น้อยกว่านาง เงาของอดีตมีมากกว่าหนึ่งร่าง หากเจ้าจะคืนความทรงจำให้นางได้ครบเจ้าต้องตามหาเงาอีกสามเงาที่กระจายอยู่ในวังหลวง”

“มีผู้ใดบ้าง?”

หลี่ซูเอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับกระซิบกับเงาจันทร์

“เงาแรก...คือ ความลืม”

“เงาที่สอง...คือ ความกลัว”

“และเงาสุดท้าย...คือ ความรักที่ไม่เคยกล้าเอ่ย”

“เมื่อทั้งสามเงารวมคืน เซี่ยอวี่จะกลับมาเป็นนางอีกครั้ง”

เสียงพิณเงียบงัน ดอกเหมยปลิวมาแต่ไม่มีต้น และเรือนปิดเสียงตรงหน้าก็ค่อย ๆ กลับคืนจากภาพลวง เหลือเพียงแสงจันทร์และชายผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งกลางความว่างเปล่า กำลังเริ่มตามหาชิ้นส่วนของวิญญาณหนึ่ง ผู้เฝ้ารอให้ตนจำได้ครบทั้งเสียง ชื่อ และหัวใจ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 5 (ส่งท้าย) หนึ่งเงา สองหัวใจ

    กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 4 เงาที่หายไปจากบันทึก

    “เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 3 แสงจันทร์ในภพหน้า

    ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 2 คำสารภาพใต้ต้นเหมย

    “ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 1 เสียงพิณในชาติภพแรก

    ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   บทที่ 19 เงาสุดท้ายใต้แสงจันทร์

    หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status