หลินซือหยูก้าวตามจ้าวหย่งเฉินด้วยขาที่สั่นเทา ป่ามืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินชื้นและคาวเลือดจากร่างโจรสามคนที่ล้มกองอยู่ด้านหลังยังคงติดอยู่ในจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าม้าของเขาดังก้องในความเงียบ เธอมองไปที่แผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีดำของเขา เกราะที่เปื้อนเลือดแห้งกรังสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายจาง ๆ เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เมื่อครู่
ตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบว่าเจ้าเป็นใคร
มันไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอกำจี้หยกในมือแน่นขึ้น มันร้อนผ่าวแต่เธอไม่กล้าปล่อยมันทิ้ง เพราะมันทำให้เธอยังพอที่จะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
“เร็วเข้า ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตถึงรุ่งเช้า” หย่งเฉินพูดโดยไม่หันมามอง น้ำเสียงทุ้มของเขายังคงแฝงด้วยความอบอุ่นที่ขัดแย้งกับความน่าเกรงขาม
ซือหยูรีบเร่งฝีเท้า แม้ว่าชุดผ้าไหมที่ขาดวิ่นของเธอจะพันขาให้รำคาญ เธอสะดุดรากไม้เล็ก ๆ จนเผลอส่งเสียงร้องออกมา แต่หย่งเฉินก็ไม่แม้แต่จะหยุดรอหรือหันมามอง เขาควบม้าต่อไปราวกับไม่สนใจว่าเธอจะตามทันหรือไม่
เขาไม่มีความเมตตาบ้างเลยเหรอเนี่ย...
เธอคิดในขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจที่หอบเหนื่อย
หลังจากเดินไปได้ราวครึ่งชั่วโมง เส้นทางในป่าเริ่มเปิดกว้าง เต็นท์ผ้าสีเทาหลายหลังปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงไฟจากคบเพลิง ค่ายทหารชั่วคราวนี้เต็มไปด้วยทหารในชุดเกราะที่เดินไปมา บางคนกำลังลับดาบ บางคนนั่งล้อมกองไฟพร้อมพูดคุยกันเบา ๆ กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูกของเธอ
หย่งเฉินกระโดดลงจากม้า มอบบังเหียนให้ทหารคนหนึ่งก่อนจะหันมามองเธอ“ตามข้ามา” เขาพูดสั้น ๆ แล้วเดินนำไปยังเต็นท์ใหญ่ตรงกลางค่าย
ซือหยูลังเลอยู่ชั่วขณะ เธอมองไปรอบ ๆ ลานกว้าง ทหารหลายคนจ้องเธอด้วยสายตาสงสัย บางคนก็แอบกระซิบกันเบา ๆ แต่เพราะความเงียบจึงทำให้เธอได้ยินหัวข้อที่พวกเขาสนทนากันได้อย่างชัดเจน
นั่นลูกสาวตระกูลหลินไม่ใช่หรือ
เธอรีบก้มหน้าลงเพื่อหลบคำถามและสายตาสงสัยที่เหล่าทหารมองมา เธอไม่อยากสบตาใครทั้งนั้นในเวลานี้ แม้ว่าอันที่จริงเธอจะไม่ใช่ลูกสาวตระกูลหลินจริง ๆ ก็ตาม แต่ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เธอเร่งฝีเท้าเดินตามหย่งเฉินเข้าไปในเต็นท์ทันที ภายในเต็นท์มีโต๊ะไม้หยาบ ๆ ขนาด
ปานกลางวางแผนที่เก่า ๆ และอาวุธรวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นวางอยู่โดยรอบหย่งเฉินนั่งลงบนที่นั่งตัวหนึ่ง ชี้ไปที่อีกตัวที่ยังว่างอยู่ แล้วเอ่ยปากสั่ง “นั่งสิ”
“...” ซือหยูไม่พูดอะไร ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่หัวใจยังเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
เขามองเธอนิ่ง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ดวงตาของเขาที่เย็นเยือกและเฉียบคมราวกับเหยี่ยวจับจ้องที่ใบหน้าของเธออย่างไม่ลดละ
“เจ้าเรียกตัวเองว่า หลินซือหยู แต่โจรพวกนั้นเรียกเจ้าว่าหลินซือเยว่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูดความจริงครั้งสุดท้าย เจ้ามาจากไหน และเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิน” เขาวางดาบยาวลงบนโต๊ะข้างตัว ปลายดาบที่ยังมีคราบเลือดแห้งกรังส่งกลิ่นคาวจาง ๆ มาถึงเธอ
ซือหยูกลืนน้ำลายลงคอ เธอรู้ว่าเธอต้องระวังคำพูด “ฉัน... ฉันชื่อหลิน
ซือหยูจริง ๆ ค่ะ ฉันหลงทางมา” เธอพูดเท่าที่จะเลี่ยงได้หย่งเฉินขมวดคิ้ว “หลงทางงั้นหรือ จากที่ใด สำเนียงการพูดของเจ้าเหมือนคนที่ไม่ใช่ชาวถัง คำว่า ‘ไวไฟ’ ที่เจ้าเอ่ยในป่าคืออะไร” เขายันตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ
“มัน... มันเป็นภาษาท้องถิ่นของฉันค่ะ” เธอโกหกมั่ว ๆ “หมายถึง... เอ่อ เครื่องมือจากบ้านเกิดฉันค่ะ” เธอรู้ว่าคำตอบนี้ฟังดูงี่เง่า แต่เธอก็ไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่านี้ “ใช้ช่วยส่งสัญญาณ”
หย่งเฉินพิงพนักเก้าอี้ มองเธอด้วยแววตาที่ระแวงยิ่งขึ้น “ภาษาท้องถิ่นหรือ ข้าเดินทางทั่วแผ่นดินของราชสำนักถังมาเกือบสิบปี ไม่เคยได้ยินคำเช่นนั้น” เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ ข้าคือจ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพแห่งกองทัพเหนือ รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้สืบหาความจริงเกี่ยวกับขบวนการกบฏในเมืองหลวง และตระกูลหลินก็ตกเป็นเป้าสงสัย”
ซือหยูรู้สึกถึงความหนักอึ้งของคำว่า กบฏ เธอจำได้จากตำราประวัติศาสตร์ว่าราชวงศ์ถังมีกบฏสำคัญหลายครั้ง
“แล้วตระกูลหลินเกี่ยวอะไรด้วยเหรอ” เธอถามโดยไม่ทันคิดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหลุดปากในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป “ฉันหมายถึง... ทำไมถึงสงสัยตระกูลนั้น”
หย่งเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่เย็นชา “เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ หลินซือเยว่ ลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลิน ถูกกล่าวหาว่ารู้ความลับของกบฏที่วางแผนโค่นบัลลังก์ และมีรายงานว่านางถูกวางยาพิษเมื่อสามวันก่อน แต่เจ้ากลับยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้”
ซือหยูรู้สึกถึงความเย็นที่วิ่งจากปลายเท้าขึ้นมาถึงท้ายทอย “ฉัน... ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เธอพูด ขณะที่พยายามนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวหลานบอก
หลินซือเยว่ถูกวางยาพิษ และตระกูลของเราอาจมีคนทรยศ
หย่งเฉินลุกขึ้น เดินมาหยุดตรงหน้าเธอ เขาก้มลงมองเธอใกล้ ๆ จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา “ถ้าเจ้าบอกว่าไม่รู้ ข้าก็จะหาความจริงจากเจ้าให้ได้” เขาพูดเบา ๆ แต่ทุกคำเต็มไปด้วยคำขู่
ในขณะนั้นเอง ซือหยูรู้สึกถึงความร้อนจากจี้หยกในมือที่กำแน่น เธอเผลอคลายมือออก หย่งเฉินสังเกตเห็นทันที เขารีบคว้ามือของเธอขึ้นมาดู
“แล้วจี้หยกนี่ล่ะ” เขาถาม พลางมองจี้หยกสีเขียวมรกตที่อยู่ในฝ่ามือของเธอ รอยสลักตัวอักษร 林 (หลิน) ดูชัดเจนขึ้นเมื่อถูกแสงตะเกียงส่องถึง
“เอ่อ... มันคือ...”
เขาขมวดคิ้ว “มันคือสมบัติของตระกูลหลิน แต่มันหายไปนานแล้ว เจ้าได้มันมาจากไหน”
“มัน... มันเป็นของฉันมาตั้งแต่แรก” ซือหยูตอบโดยไม่รู้จะพูดอะไร
หย่งเฉินจ้องเธอนิ่ง ๆ “ของเจ้า หรือของหลินซือเยว่” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยยิ่งขึ้น
ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากคำถามนั้น เธอพยายามดึงมือกลับ แต่หย่งเฉินจับข้อมือเธอไว้แน่น
“ถ้าเจ้าไม่ใช่หลินซือเยว่จริง ๆ เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไร” เขาถาม
“คือฉัน...”
หย่งเฉินยื่นปลายนิ้วของเขาไปสัมผัสกับจี้หยก มันร้อนขึ้นทันที เขาสะดุ้ง รีบถอนมือออกแล้วมองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ของสิ่งนี้มีพลังแปลก ๆ”
“ท่านแม่ทัพ! มีข้อความด่วนจากเมืองหลวง!” ก่อนที่ซือหยูจะตอบ มีเสียงตะโกนดังจากนอกเต็นท์ขัดขึ้น เป็นทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
หย่งเฉินหันไปมองพร้อมเอ่ยปากสั่ง “พูดมา”
“มีรายงานว่าเมืองหลวงถูกโจมตีโดยกองโจรไม่ทราบฝ่าย ขุนนางหลายคนถูกสังหาร และมีข่าวลือว่าตระกูลหลินอาจเกี่ยวข้อง”
“...” หย่งเฉินเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมามองซือหยู “ดูเหมือนโชคชะตาของเจ้าจะซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดนัก”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย!” ซือหยูโต้กลับ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าจงพิสูจน์ตัวเองในค่ายนี้ ข้าจะจับตาดูเจ้า และถ้าข้าพบว่าเจ้าโกหก...” เขาหยุดพูด ชักมีดสั้นจากเอวขึ้นมาแทงลงบนโต๊ะไม้ข้างเธอ
กึก!
ทั้งเสียงและภาพตรงหน้าทำให้เธอสะดุ้งด้วยความตกใจปนหวาดกลัว
“...เจ้าจะได้เห็นว่าข้าจัดการกับศัตรูของราชสำนักอย่างไร” หย่งเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ ทิ้งเธอไว้กับทหารที่ยืนเฝ้ายาม
ซือหยูนั่งนิ่ง มองมีดที่ปักอยู่บนโต๊ะด้วยความกลัว เธอรู้สึกถึงจี้หยกที่ยังร้อนอยู่ในมือก่อนจะก้มลงไปมอง
ในเมื่อมันพาฉันมาที่นี่ มันก็ต้องพาให้ฉันรอดได้เหมือนกันแหละน่า!
เธอคิดก่อนจะหันไปมองตามหลังจนเงาของหย่งเฉินหายไปในแสงไฟนอกเต็นท์ เสียงปักมีดลงบนโต๊ะของเขาดังก้องในใจของเธอราวกับเป็นคำเตือนที่ไม่อาจลบเลือน
แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงบนระเบียงไม้ของบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ราวกับผ้าคลุมสีเงินที่ทอจากแสงนวลตา ลมเย็นยามค่ำพัดพากลิ่นดอกไม้ป่าและใบไม้จากสวนหลังบ้านมากระทบใบหน้าของหลินซือหยู เธอยืนพิงราวระเบียง มือบางของเธอจับขอบไม้แน่น ขณะที่สายตาของเธอจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้าดำสนิท ร่างกายของเธอยังคงอ่อนแอ อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนขาของเธอยังเกิดขึ้นบ้าง แต่การดูแลของหย่งเฉินและสมุนไพรจากหมอหลวงช่วยให้เธอแข็งแรงขึ้นจนแทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ชุดคลุมสีขาวบางของเธอปลิวไสวตามสายลม ผมยาวสีดำของเธอที่ปล่อยสยายลงมาถูกพัดให้ปัดปอยไปตามไหล่ เธอสูดลมหายใจลึก ๆ และรู้สึกถึงความสงบที่แผ่ซ่านในอกของเธออยู่ๆ ซือหยูก็นึกถึงจี้หยกที่เคยห้อยคอไว้ เธอยกมือขึ้นแตะที่คอของเธอตามสัญชาตญาณ จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงสีเขียวเข้มนั้นแตกสลายไปแล้วในวันที่เธอใช้มันดูดพิษจากร่างของหย่งเฉิน แต่ถึงอย่างนั้น บางครั้งในยามที่เงียบสงบเช่นนี้ เธอกลับรู้สึกถึงเงาของมันราวกับมันยังคงส่งพลังบางอย่างมาถึงเธอ ความทรงจำของยุคปัจจุบันผุดขึ้นในหัวของเธอ ทั้งที่มันห่างหายไปนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่จี้หย
แสงแดดยามเย็นระยิบระยับราวทองคำหลอมเหลวสาดส่องลงบนสวนเล็ก ๆ หลังบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ดอกไม้ป่าที่หย่งเฉินปลูกลงดินเมื่อหลายวันก่อนผลิดอกสีเหลืองและสีขาวเล็ก ๆ ลมเย็นยามเย็นพัดผ่านใบหลิวที่ปลูกไว้ริมลำธาร เสียงน้ำไหลดังกรุบกริบกลมกลืนกับเสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้ว หลินซือหยูนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาของต้นหลิว ผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ยังคลุมไหล่ของเธอ ร่างของเธอยังอ่อนอแม้จะผ่านไปหลายวัน อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนและขาของเธอยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางครั้งเมื่อลมเย็นพัดมาแรง ๆ เธอก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อต่อและกล้ามเนื้อจากพิษที่ยังสะสมอยู่ในร่าง แต่ใบหน้าซีดเผือดของเธอกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ขณะที่มองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ยืนรดน้ำต้นไม้ด้วยถังน้ำไม้ที่เขาทำเองจ้าวหย่งเฉินอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย ผมยาวสีดำของเขาถูกรวบไว้หลวม ๆ ใบหน้าคมเข้มของเขามีสีแดงระเรื่อจากแสงแดดยามเย็น บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวด้วยความแข็งแกร่ง เขาหันมามองซือหยูและเห็นรอยยิ้มของเธอ ความอบอุ่นที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอทำให้หัวใจของเขาเต้นแร
หลินซือหยูนั่งอยู่บนเกวียนไม้ที่เคลื่อนไปตามถนนดินสีน้ำตาลเข้มนอกเมืองหลัวหยาง ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านใบหน้าของเธอ พาเอาดอกไม้ป่ามากระทบจมูก เธอยังรู้สึกถึงความอ่อนแอจากพิษงูเขี้ยวแดงที่ยังหลงเหลือในร่าง ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าง่าย เธอต้องคอยระงับอาการหน้ามืดด้วยการหลับตาและสูดลมหายใจลึก ๆ ทั้งแขนและขาของเธอมีรอยชาที่คอยเตือนถึงผลกระทบระยะยาวจากพิษนั้น แต่หมอหลวงบอกว่าเธอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว และหากดูแลตัวเองดี ๆ อาการบางอย่างอาจค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป เธอห่มผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ มีอาการอ่อนล้าจากการเดินทางไกล แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ขับเกวียนอยู่ข้างหน้าใบหน้าคมเข้มของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ผมสีดำของเขาที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงปลายผมเล็กน้อยที่ปลิวไสวตามสายลม ชุดเกราะที่เขาเคยใส่ถูกแทนที่ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาดูแข็งแรงขึ้นมากหลังจากหยุดพักหลายวัน“ใกล้ถึงแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ขณะที่หันมามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน“ค
หลินซือหยูนอนอยู่บนเตียงไม้ในบ้านพักของแม่ทัพจ้าวในเขตขุนนางของเมืองฉางอาน กลิ่นสมุนไพรต้มและกลิ่นไม้ชื้นลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงแดดยามบ่ายสาดผ่านหน้าต่างไม้ที่เปิดไว้บางส่วน กระทบลงบนใบหน้าซีดเผือดของเธอ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากด้านนอกผสมกับเสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมา ร่างของเธอยังอ่อนแอจากพิษที่ไหลผ่านเส้นเลือดในวันนั้นบนสนามรบ แม้จี้หยกจะดูดพิษส่วนใหญ่ออกไป แต่ร่องรอยของพิษจากงูเขี้ยวแดงที่ยังฝังลึกในร่างกายของเธอราวกับเงามืดที่ไม่อาจขจัดออกได้ง่าย ๆเธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านจากปลายนิ้วไปถึงแขนและขา ความชาที่ลามขึ้นจากฝ่าเท้าจนถึงเข่าทำให้เธอแทบไม่อาจขยับตัวได้โดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เหมือนเข็มทิ่มแทง แผลที่แขนซ้ายของเธอที่เกิดจากการไหลของพิษนั้นยังคงแดงและบวม รอยสีดำบาง ๆ คล้ายเส้นใยแมงมุมแผ่ออกมาจากแผลนั้น บางส่วนเริ่มหมองลง แต่ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายที่ยังไม่หมดไป เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่ตื้นเขิน ทุกครั้งที่หายใจเข้า ความร้อนที่แผ่วเบาในอกของเธอเต้นระริกเหมือนไฟที่ยังไม่ดับสนิท และบางช่วงเธอรู้สึกถึงอาการหน้ามืดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผลกระทบระยะยาวจากพ
หลินซือหยูยืนอยู่ในห้องโถงราชสำนักแห่งเมืองฉางอาน แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนพื้นหินอ่อนที่เงางาม กลิ่นกำยานจากกระถางทองแดงลอยคละคลุ้งในอากาศ บรรยากาศเงียบสงัดแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ขุนนางในชุดผ้าไหมสีสันฉูดฉาดยืนเรียงแถวสองฝั่ง ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังแท่นสูงที่จักรพรรดิถังเต๋อจงประทับนั่ง จ้าวหย่งเฉินยืนเคียงข้างเธอ ใบหน้าคมเข้มของเขายังคงมีรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสะอาดใต้ชุดเกราะ เขายืนตัวตรง ดวงตาเย็นชาของเขามองไปยังแท่นสูงด้วยความเคารพ“วันนี้ทุกอย่างจะต้องจบ” เขาหันไปกระซิบกับซือหยูด้วยน้ำเสียงทุ้ม ขณะที่บีบมือของเธอเบา ๆซือหยูพยักหน้าก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอตามความเคยชิน แต่จี้หยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ย้ำเตือนเธอถึงการเสียสละในสนามรบครั้งที่ผ่านมา เธอยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากพิษที่ยังหลงเหลือในร่าง แต่มันจางลงมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกสงบที่เริ่มก่อตัวในอกของเธอ“ใช่ วันนี้เราจะปิดฉากทุกอย่างกัน” เธอมองไปยังหย่งเฉินด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ความรักที่เธอมีให้เขาทำให้เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง แม
หลินซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ซึมผ่านผิวของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ในโรงหมอสนามใกล้ชานเมืองหลวงฉางอาน กลิ่นสมุนไพรฉุนปนกลิ่นยาต้มลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงตะเกียงสลัวส่องผ่านผ้าม่านหยาบ ๆ ที่กั้นเตียงของเธอ เสียงฝนตกลงมาแผ่วเบาดังจากด้านนอก เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านจากแขนและอก ความทรงจำของสนามรบผุดขึ้นในหัว ลูกธนูพิษที่ปักเข้าที่หน้าอกของหย่งเฉิน เธอใช้จี้หยกดูดพิษออกจากร่างของเขา และจี้หยกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆเธอยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอด้วยความหวัง จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงได้หายไปแล้ว เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่คอและหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น “ฉัน... ยังไม่ตาย” เธอพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่น“ซือหยู!” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียง เธอหันไปมองและเห็นจ้าวหย่งเฉินนั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยรอยคล้ำใต้ตาและคราบโคลนที่ยังไม่เช็ดออก บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสีขาวสะอาด เขาดูซีดเผือด แต่ดวงตาของเขาสว่างขึ้นเมื่อเห็นเธอตื่น“เจ้า... เจ้าตื่นแล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านจากความโล่งใจ เขาคว้ามือของเธอแน่นด้วยมือที่หยาบกร้านและเย็