Beranda / มาเฟีย / เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู / ตอนที่ 3 แม่ทัพผู้เย็นชา

Share

ตอนที่ 3 แม่ทัพผู้เย็นชา

last update Terakhir Diperbarui: 2025-04-13 11:48:54

หลินซือหยูรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวในลำคอขณะที่เธอถูกเสี่ยวหลานดันหลังให้ไปซ่อนตัวหลังม่านผ้าสีครามหนาที่ยื่นลงจากเพดาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันหนักแน่นราวกับจังหวะกลองศึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

“อย่าส่งเสียงนะเจ้าคะ!” เสี่ยวหลานยกมือขึ้นปิดปากเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซือหยูสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาในทันที ถ้าหากบุคคลนี้เป็นคนที่หมายจะเอาชีวิตหลินซือเยว่ ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหาคำตอบว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

“ฉันต้องหนี!” ซือหยูพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางสะบัดมือเสี่ยวหลานออก คว้าจี้หยกจากโต๊ะข้างเตียงที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้หลังจากกำไว้ในมือมาตลอดแล้วมองไปที่ประตูหลัง

ก๊อก ๆ ๆ

ซือหยูและเสี่ยวหลานหน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

ไม่ทันแล้ว...

ซือหยูนึกในใจ สลับมองที่ประตูด้านหลังกับประตูด้านหน้าด้วยความตระหนก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธอ ในวินาทีนั้นก่อนจะสายเกินไปเสี่ยวหลานจึงรีบผลักให้เจ้านายของตนเข้าไปหลบอยู่หลังผ้าม่านสีทึบแทน

ตึง!!!!

“ว้าย!!” เสี่ยวหลานกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อประตูหน้าเรือนถูกถีบออกอย่างแรงจนมันพังลงมากองอยู่ที่พื้น

เสียงบานประตูไม้ถูกกระแทกดังขึ้นทำให้ซือหยูสะดุ้ง เธอพยายามยืนนิ่งซ่อนตัวหลังม่านให้แนบสนิทยิ่งขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงจนเธอได้ยินมันก้องอยู่ในหู เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นก้าวเข้ามาภายในห้อง เงาของแขกผู้มาเยือนทอดยาวบนพื้นไม้จากแสงตะเกียงที่สั่นไหว

“ท่านแม่ทัพ!” เสี่ยวหลานร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แล้วรีบก้มหัวลงทำความเคารพทันที

“หลินซือเยว่ล่ะ” เสียงที่เอ่ยถามเป็นโทนเสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคุ้นหู

ซือหยูที่ซ่อนอยู่หลังม่านรู้สึกถึงพลังในน้ำเสียงนั้นทันที แม้มันจะมีความอบอุ่นและนุ่มนวลที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่ทว่าน่าเกรงขามราวกับเป็นคำสั่งจากฟ้าที่ไม่อาจขัดขืน เธอขนลุกโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นทำให้เธออยากแอบมองออกไปดูว่าเจ้าของเสียงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ความกลัวก็ตรึงเธอไว้กับที่ เธอได้แต่คิดว่าหากเธอขยับเพียงนิด หรือหายใจแรงกว่าที่เป็นอยู่ วิญญาณของเธออาจถูกชายผู้นั้นกระชากออกจากร่างก็เป็นได้

“ข้าต้องการคำตอบจากนางเดี๋ยวนี้!” ท่านแม่ทัพพูดต่อ น้ำหนักของคำพูดนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ  

“ท่านแม่ทัพจ้าว คุณหนู... คุณหนูยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ! ท่านหมอบอกว่านางยังอ่อนแอจากพิษ ข้าขอร้อง อย่าเพิ่งรบกวนนางเลยนะเจ้าคะ” เสียงของเสี่ยวหลานสั่นระหว่างที่บอกปัด แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกลัวก็ตาม แต่เธอก็ยังพยายามรักษาความนอบน้อมเอาไว้

ซือหยูที่ฟังอยู่รู้สึกถึงความพยายามของเสี่ยวหลานที่ช่วยปกป้องเธอ เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา

“ยังไม่ฟื้นงั้นหรือ น่าแปลก...” ชายที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพจ้าวพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง

“ข้าไม่บังอาจพูดเท็จกับท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานย้ำคำ

“ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่านางอาจรู้ข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการกบฏในเมืองหลวง ข้าจะไม่รอให้เรื่องนี้ลุกลามหรอกนะ”

ซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลลงตามเส้นกระดูกสันหลังเมื่อได้ยินคำว่า “กบฏ” เธอจำได้จากตำราประวัติศาสตร์ว่าในช่วงเวลาของราชวงศ์ถังเต็มไปด้วยการเมืองและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันวุ่นวาย

เขามาที่นี่เพื่อสืบเรื่องนี้เหรอ?

เธอคิดในขณะที่จับจี้หยกแน่นขึ้น มันเริ่มร้อนเล็กน้อยในมือของเธอ

“ข้าขอสาบาน คุณหนูไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ! ท่านโปรดเห็นใจ นางเพิ่งรอดจากความตายมา” เสี่ยวหลานร้องขอพร้อมนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างอ้อนวอน

ซือหยูได้ยินเสียงเข่ากระทบพื้นไม้ เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เสี่ยวหลานเผชิญหน้ากับชายคนนี้แทนเธอ แต่เธอไม่ก็กล้าขยับตัวไปไหน การได้มาอยู่ที่นี่แบบที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้เธอหวาดกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ

เสียงของแม่ทัพเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดอีกครั้ง “ถ้านางยังไม่ฟื้น ข้าจะกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าปกป้องนางโดยรู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับกบฏ เจ้าจะไม่รอดเช่นกัน” น้ำเสียงของเขายังคงอบอุ่น แต่แฝงด้วยคำขู่ที่ทำให้

ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของอำนาจที่เขามี

“เจ้าค่ะ”

“ข้าจะรอคำตอบจากนางภายในสามวัน” เขาพูดประโยคสุดท้าย ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะห่างออกไป เสี่ยวหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ซือหยูรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้แน่ เพราะนี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น

สามวัน?

ฉันจะหาคำตอบอะไรให้เขาได้ล่ะ...

ซือหยูรอจนแน่ใจว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากไปแล้ว เธอจึงผลักผ้าม่านแล้วเดินออกมา “เสี่ยวหลาน เขาคือใคร”

เสี่ยวหลานหันมามองเธอด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่านแม่ทัพ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและความซื่อสัตย์ต่อราชสำนักเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้จักเขาจริง ๆ หรือ”

“ฉัน... จำไม่ได้”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูไปพักผ่อนต่อเถอะนะเจ้าคะ”

“ไม่ล่ะ” ซือหยูส่ายหน้า “ฉันต้องออกไปจากที่นี่”

เสี่ยวหลานคว้ามือเธอไว้ “ไม่ได้เจ้าค่ะ! ถ้าท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านหนีไป...”

“ถ้าฉันอยู่ที่นี่ เขาจะฆ่าฉันแน่ ถ้าฉันตอบอะไรเขาไม่ได้!” ซือหยูตัดบท “ที่นี่มันไม่ปลอดภัยสำหรับฉัน”

เธอสะบัดมือออกจากเสี่ยวหลานแล้วเดินไปผลักประตูหลังออก ด้วยความเร่งรีบทำให้เธอสะดุดล้มลงบนพื้นดินชื้นจากฝนที่เพิ่งหยุดตก ชุดผ้าไหมสีครามเปื้อนโคลนเต็มไปหมด แต่เธอไม่สนใจ ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าสู่ป่ามืดที่ทอดยาวนอกเรือน

“คุณหนู!!”

เสียงของเสี่ยวหลานที่ตะโกนเรียกตามหลังกลายเป็นเพียงเสียงที่เลือนหายไปในสายลม

ซือหยูออกวิ่งโดยไม่หันหลังมองกลับไป แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเป็นกังวลนัก เพราะในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่เธอคิดคือหนีไปให้ไกลจากเรือนที่อยู่ อย่าให้ชายผู้นั้นตามหาเธอเจอ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้าอีกที

เธอวิ่งเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงตระหง่านที่ปิดกั้นแสงจันทร์ ทำให้สายตาของเธอมองเห็นอะไรได้ชัดเจนยากขึ้น มีเพียงเงาดำที่สั่นไหวไปตามลม เธอเริ่มแยกไม่ออกว่านั่นคือเงาไม้ สัตว์ป่า หรือมนุษย์กันแน่ เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินต่อไป แต่ชุดที่เธอกำลังสวมใส่ก็ทำให้เธอสะดุดรากไม้หลายครั้ง ชายผ้าพันขาจนเธอต้องฉีกมันทิ้ง

“ชุดอะไรกันเนี่ย วิ่งยังไงก็ล้ม!” เธอบ่น ขณะที่พยายามรักษาสมดุลให้กับร่างกายของตัวเองขณะวิ่ง

กรอบ...

แกรบ...

กรอบ...

แกรบ...

เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนซากใบไม้จากด้านหลังดังชัดขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอหันไปมองด้วยความหวาดระแวง สายตาของเธอเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก

มันตามมาแล้ว!

หัวใจของซือหยูเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกจากอก เธอรีบวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ทิศทาง จี้หยกในมือเริ่มร้อนขึ้น เธอยกขึ้นมามองเล็กน้อยจึงเห็นว่ามันส่องแสงสีเขียวสว่างออกมาเล็กน้อย แวบหนึ่งเธอรู้สึกได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาในหัวของเธอว่าให้ ระวังข้างหลัง เธอหันไปมองด้วยความระแวง

ฉึก!!!

เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ ลูกธนูพุ่งมาปักที่ต้นไม้ข้างตัวเธอ ห่างจากศีรษะเพียงนิ้วเดียว ซือหยูกรีดร้องลั่น หยุดชะงักด้วยความตกใจ สามเงาดำโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นชายสามคนในชุดผ้าดำหยาบ ถือดาบสั้นและธนู ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น

“หลินซือเยว่ เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว!” ชายคนแรกตะโกน น้ำเสียงหยาบกระด้างของเขาทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา

“ฉันไม่ใช่หลินซือเยว่!” เธอตะโกนกลับโดยสัญชาตญาณ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ชายทั้งสามหัวเราะเยาะ

“เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ขอแค่ตายก็พอ!” ชายคนที่สองพูด ขณะยกดาบขึ้นแล้วฟันลงมา

ฉันจะตายที่นี่จริง ๆ เหรอ

ซือหยูยกแขนป้องหน้าโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับหลับตาแน่น รอรับความเจ็บปวดที่กำลังมาถึง

ฮี้~!!!

แต่ก่อนที่ดาบจะถึงตัวเธอ เสียงม้ากรีดร้องก็ดังสนั่นป่า เสียงฝีเท้าม้าที่หนักแน่นพุ่งฝ่าพุ่มไม้มาด้วยความเร็วราวกับพายุ ชายทั้งสามหันไปมองด้วยความตกใจ และในพริบตานั้น เงาดำของชายในชุดเกราะสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นบนหลังม้า

จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มที่ตาแดงก่ำราวกับเพลิง เขาสูงสง่าในชุดเกราะที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าคมเข้มราวกับถูกสลักจากหิน ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือกและเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบหลวม ๆ ใต้หมวกเกราะ ปลายผมสยายตามลมขณะที่เขาควบม้ามาด้วยความเร็ว เขาดึงบังเหียนให้ม้าชะงักอย่างฉับพลัน ดึงดาบยาวจากฝักที่เอวด้วยมือขวา โลหะเย็นฉ่ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย เขามองโจรทั้งสามด้วยสายตาที่ไร้ความปราณี

“กล้าดีอย่างไรถึงบุกรุกเขตของข้า!” เสียงทุ้มของเขาดังก้องราวฟ้าคำราม

ไม่รอคำตอบ หย่งเฉินกระโดดลงจากม้าด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ดาบในมือของเขาฟันลงในเสี้ยววินาที ชายคนแรกที่ยกดาบใส่ซือหยูถึงกับกรีดร้องเมื่อแขนขวาของเขาขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายกระจายไปทั่วพื้นป่า เขาล้มลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด หย่งเฉินไม่หยุด เขาหมุนตัวด้วยความเร็วที่ตาแทบตามไม่ทัน ดาบในมือฟันเฉียงขึ้นตัดคอชายคนที่สอง เลือดแดงฉานสาดใส่ใบหน้าของเขา แต่หย่งเฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา รอยเลือดที่เปื้อนแก้มซ้ายของเขาทำให้ใบหน้าเย็นชาดูราวกับว่าเขาเป็นเทพสงครามที่มาจากนรก

“เจ้า... เจ้าคือใคร?!” ชายคนสุดท้ายตะโกนอย่างตื่นตระหนก ถอยหลังพร้อมยกธนูขึ้นเล็งด้วยมือที่สั่นเทา แต่หย่งเฉินไม่ตอบ เขาขว้างมีดสั้นจากเอวด้วยความแม่นยำราวกับสายฟ้า มีดพุ่งปักเข้าที่หน้าผากของโจรคนนั้นก่อนที่เขาจะปล่อยลูกธนูที่ดึงค้างไว้หลุดจากคันธนู มันพุ่งเฉไปปักที่พื้นห่างจากซือหยูเพียงคืบ เสียงร้องโหยหวนสุดท้ายของโจรดังขึ้นก่อนที่เขาจะล้มลงนิ่งบนพื้นป่า เลือดไหลนองเป็นวงกว้าง

ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ ซือหยูยืนตัวแข็งทื่อ มองร่างของโจรทั้งสามที่ล้มกองอยู่ด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บ เธอหายใจหอบ ขณะที่หย่งเฉินหันมามองเธอ เขาเช็ดเลือดจากใบหน้าด้วยหลังมืออย่างใจเย็น โลหะของเกราะที่เปื้อนเลือดสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายสีแดง

จาง ๆ เขาเก็บดาบเข้ากระบอกที่เอวด้วยท่าทางสงบราวกับเพิ่งตัดหญ้าเสร็จ ดวงตาที่เย็นเยือกจ้องมองเธอราวกับพยายามเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่... เสี่ยวหลานบอกข้าว่าเจ้ายังไม่ฟื้น” เขาถาม น้ำเสียงทุ้มของเขามีน้ำหนักราวกับคำสั่ง

ซือหยูกลืนน้ำลายลงคอ เธอรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ สายตาของเขาที่จ้องมองมาช่างเย็นชายิ่งนัก

“ฉัน... ฉันแค่ออกมาเดนิเล่น แล้วก็หลงทางมา” เธอตอบไปมั่ว ๆ เพราะสมองของเธอยังสั่นคลอนจากฉากเมื่อครู่

เขาขมวดคิ้ว เดินเข้ามาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นโลหะจากเกราะและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ จากร่างกายของเขา ใบหน้าของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มุมปากและคิ้วซ้าย บ่งบอกถึงชีวิตที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน

“หลงทางงั้นรึ” เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ในป่านอกเมือง ด้วยชุดขาดวิ่นแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกเด็ก ๆ แบบนั้นหรือ”

เขายกดาบขึ้นจ่อที่คอของเธออีกครั้ง ปลายดาบที่ยังเปื้อนเลือดสัมผัสกับผิวของเธอ เธอสะดุ้งถอยหลังจนหลังชนต้นไม้ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด

“ฉันพูดจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” เธอตะโกน น้ำตาคลอตาด้วยความกลัว

เขามองเธอนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาเย็นชาแต่แฝงด้วยความสงสัย “โจรพวกนั้นเรียกเจ้าว่าหลินซือเยว่ แล้วข้าก็มั่นใจแม้ยามมืดมิดเพียงนี้ว่าเจ้าคือบุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลินเป็นแน่”

“แต่ฉันไม่ใช่หลินซือเย่ว!”

“หากเจ้าไม่ใช่หลินซือเยว่ อย่างนั้นข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าคือผู้ใด และทำไมมันถึงตามล่าเจ้า”

ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของคำถามนั้น มันฟังดูจริงจังเกินกว่าที่เธอจะกล้าโกหก แต่เธอก็ไม่รู้จะตอบยังไงให้รอดพ้นคมดาบที่กำลังจ่ออยู่ที่คอของเธอไปได้ ไม่รู้ว่าการที่เธอเลือกพูดความจริงออกไป คนตรงหน้าจะยอมเชื่อเธอหรือไม่

“ฉัน... ฉันชื่อหลินซือหยู” เธอตัดสินใจพูดชื่อจริงของตัวเองออกไป

หย่งเฉินขมวดคิ้วลึก “หลินซือหยู? ชื่อแปลกประหลาด ไม่เคยได้ยินในเมืองหลวง”

เขาก้าวถอยหลัง มองเธอจากหัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ประเมิน “แต่ชุดของเจ้ามาจากตระกูลหลิน และโจรพวกนั้นต้องการชีวิตเจ้า ข้ากำลังสงสัยว่าเจ้ามีความลับอะไรที่อาจเกี่ยวข้องกับกบฏในเมืองหลวงหรือไม่”

“ฉันไม่มีอะไรความลับอะไรทั้งนั้น” ซือหยูโต้กลับ

“หึ!”

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ” เธอพยายามตั้งสติก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เสียดายที่นี่ไม่มีไวไฟ ไม่งั้นฉันคงจะหาทางกลับบ้านได้ง่ายหน่อย...”

หย่งเฉินมองเธอด้วยความงุนงง “ไวไฟ... คืออะไร เจ้าพูดภาษาอะไรกันแน่ หรือจริง ๆ แล้วเจ้าเป็นสายลับ” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสงสัยเป็นระแวง “ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะมัดเจ้าแล้วส่งไปให้ขุนนางในเมืองหลวงตัดสินชีวิตเจ้า”

ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากน้ำเสียงของเขา เธอมองดาบที่เพิ่งฆ่าคนสามคนในพริบตา และตระหนักว่าเธอไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ เธอไม่มีทางเลือกเลยต่างหาก

“ฉันไม่ใช่สายลับ! ฉันบอกคุณไปแล้วไง ฉันแค่... หลงทางมา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้ากระบอก “ดี! ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่ใช่ศัตรู ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า... หมายถึง... ยังไม่ฆ่า” เขาหันไปที่ม้าของเขา “แต่เจ้าจะต้องตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบให้รู้ว่าเจ้าเป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิน เพราะจี้หยกในมือของเจ้านั้นมันเป็นของตระกูลหลิน” เขาขึ้นม้าด้วยท่าทางสง่างาม หันมามองเธอ “ตามมา ถ้าเจ้าไม่ตามมา ข้าจะลากเจ้าไปเอง”  

ซือหยูหันมองไปรอบป่ามืด ๆ และร่างโจรที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดิน เธอตัดสินใจก้าวตามเขาด้วยขาที่สั่นเทา เธอคิดเพียงแค่ว่าตามไปก็ยังดีกว่าโดนฆ่าตายอยู่ในป่านี่ก่อนจะบ่นพึมพำ “เขาเป็นใครกันแน่...”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 30 เงาจันทร์นิรันดร์ (END)

    แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงบนระเบียงไม้ของบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ราวกับผ้าคลุมสีเงินที่ทอจากแสงนวลตา ลมเย็นยามค่ำพัดพากลิ่นดอกไม้ป่าและใบไม้จากสวนหลังบ้านมากระทบใบหน้าของหลินซือหยู เธอยืนพิงราวระเบียง มือบางของเธอจับขอบไม้แน่น ขณะที่สายตาของเธอจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้าดำสนิท ร่างกายของเธอยังคงอ่อนแอ อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนขาของเธอยังเกิดขึ้นบ้าง แต่การดูแลของหย่งเฉินและสมุนไพรจากหมอหลวงช่วยให้เธอแข็งแรงขึ้นจนแทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ชุดคลุมสีขาวบางของเธอปลิวไสวตามสายลม ผมยาวสีดำของเธอที่ปล่อยสยายลงมาถูกพัดให้ปัดปอยไปตามไหล่ เธอสูดลมหายใจลึก ๆ และรู้สึกถึงความสงบที่แผ่ซ่านในอกของเธออยู่ๆ ซือหยูก็นึกถึงจี้หยกที่เคยห้อยคอไว้ เธอยกมือขึ้นแตะที่คอของเธอตามสัญชาตญาณ จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงสีเขียวเข้มนั้นแตกสลายไปแล้วในวันที่เธอใช้มันดูดพิษจากร่างของหย่งเฉิน แต่ถึงอย่างนั้น บางครั้งในยามที่เงียบสงบเช่นนี้ เธอกลับรู้สึกถึงเงาของมันราวกับมันยังคงส่งพลังบางอย่างมาถึงเธอ ความทรงจำของยุคปัจจุบันผุดขึ้นในหัวของเธอ ทั้งที่มันห่างหายไปนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่จี้หย

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 29 คำสัญญา

    แสงแดดยามเย็นระยิบระยับราวทองคำหลอมเหลวสาดส่องลงบนสวนเล็ก ๆ หลังบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ดอกไม้ป่าที่หย่งเฉินปลูกลงดินเมื่อหลายวันก่อนผลิดอกสีเหลืองและสีขาวเล็ก ๆ ลมเย็นยามเย็นพัดผ่านใบหลิวที่ปลูกไว้ริมลำธาร เสียงน้ำไหลดังกรุบกริบกลมกลืนกับเสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้ว หลินซือหยูนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาของต้นหลิว ผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ยังคลุมไหล่ของเธอ ร่างของเธอยังอ่อนอแม้จะผ่านไปหลายวัน อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนและขาของเธอยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางครั้งเมื่อลมเย็นพัดมาแรง ๆ เธอก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อต่อและกล้ามเนื้อจากพิษที่ยังสะสมอยู่ในร่าง แต่ใบหน้าซีดเผือดของเธอกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ขณะที่มองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ยืนรดน้ำต้นไม้ด้วยถังน้ำไม้ที่เขาทำเองจ้าวหย่งเฉินอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย ผมยาวสีดำของเขาถูกรวบไว้หลวม ๆ ใบหน้าคมเข้มของเขามีสีแดงระเรื่อจากแสงแดดยามเย็น บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวด้วยความแข็งแกร่ง เขาหันมามองซือหยูและเห็นรอยยิ้มของเธอ ความอบอุ่นที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอทำให้หัวใจของเขาเต้นแร

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 28 บ้านหลังใหม่

    หลินซือหยูนั่งอยู่บนเกวียนไม้ที่เคลื่อนไปตามถนนดินสีน้ำตาลเข้มนอกเมืองหลัวหยาง ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านใบหน้าของเธอ พาเอาดอกไม้ป่ามากระทบจมูก เธอยังรู้สึกถึงความอ่อนแอจากพิษงูเขี้ยวแดงที่ยังหลงเหลือในร่าง ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าง่าย เธอต้องคอยระงับอาการหน้ามืดด้วยการหลับตาและสูดลมหายใจลึก ๆ ทั้งแขนและขาของเธอมีรอยชาที่คอยเตือนถึงผลกระทบระยะยาวจากพิษนั้น แต่หมอหลวงบอกว่าเธอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว และหากดูแลตัวเองดี ๆ อาการบางอย่างอาจค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป เธอห่มผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ มีอาการอ่อนล้าจากการเดินทางไกล แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ขับเกวียนอยู่ข้างหน้าใบหน้าคมเข้มของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ผมสีดำของเขาที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงปลายผมเล็กน้อยที่ปลิวไสวตามสายลม ชุดเกราะที่เขาเคยใส่ถูกแทนที่ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาดูแข็งแรงขึ้นมากหลังจากหยุดพักหลายวัน“ใกล้ถึงแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ขณะที่หันมามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน“ค

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 27 บาดแผลและความหวัง

    หลินซือหยูนอนอยู่บนเตียงไม้ในบ้านพักของแม่ทัพจ้าวในเขตขุนนางของเมืองฉางอาน กลิ่นสมุนไพรต้มและกลิ่นไม้ชื้นลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงแดดยามบ่ายสาดผ่านหน้าต่างไม้ที่เปิดไว้บางส่วน กระทบลงบนใบหน้าซีดเผือดของเธอ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากด้านนอกผสมกับเสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมา ร่างของเธอยังอ่อนแอจากพิษที่ไหลผ่านเส้นเลือดในวันนั้นบนสนามรบ แม้จี้หยกจะดูดพิษส่วนใหญ่ออกไป แต่ร่องรอยของพิษจากงูเขี้ยวแดงที่ยังฝังลึกในร่างกายของเธอราวกับเงามืดที่ไม่อาจขจัดออกได้ง่าย ๆเธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านจากปลายนิ้วไปถึงแขนและขา ความชาที่ลามขึ้นจากฝ่าเท้าจนถึงเข่าทำให้เธอแทบไม่อาจขยับตัวได้โดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เหมือนเข็มทิ่มแทง แผลที่แขนซ้ายของเธอที่เกิดจากการไหลของพิษนั้นยังคงแดงและบวม รอยสีดำบาง ๆ คล้ายเส้นใยแมงมุมแผ่ออกมาจากแผลนั้น บางส่วนเริ่มหมองลง แต่ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายที่ยังไม่หมดไป เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่ตื้นเขิน ทุกครั้งที่หายใจเข้า ความร้อนที่แผ่วเบาในอกของเธอเต้นระริกเหมือนไฟที่ยังไม่ดับสนิท และบางช่วงเธอรู้สึกถึงอาการหน้ามืดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผลกระทบระยะยาวจากพ

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 26 ชัยชนะของราชสำนัก

    หลินซือหยูยืนอยู่ในห้องโถงราชสำนักแห่งเมืองฉางอาน แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนพื้นหินอ่อนที่เงางาม กลิ่นกำยานจากกระถางทองแดงลอยคละคลุ้งในอากาศ บรรยากาศเงียบสงัดแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ขุนนางในชุดผ้าไหมสีสันฉูดฉาดยืนเรียงแถวสองฝั่ง ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังแท่นสูงที่จักรพรรดิถังเต๋อจงประทับนั่ง จ้าวหย่งเฉินยืนเคียงข้างเธอ ใบหน้าคมเข้มของเขายังคงมีรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสะอาดใต้ชุดเกราะ เขายืนตัวตรง ดวงตาเย็นชาของเขามองไปยังแท่นสูงด้วยความเคารพ“วันนี้ทุกอย่างจะต้องจบ” เขาหันไปกระซิบกับซือหยูด้วยน้ำเสียงทุ้ม ขณะที่บีบมือของเธอเบา ๆซือหยูพยักหน้าก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอตามความเคยชิน แต่จี้หยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ย้ำเตือนเธอถึงการเสียสละในสนามรบครั้งที่ผ่านมา เธอยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากพิษที่ยังหลงเหลือในร่าง แต่มันจางลงมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกสงบที่เริ่มก่อตัวในอกของเธอ“ใช่ วันนี้เราจะปิดฉากทุกอย่างกัน” เธอมองไปยังหย่งเฉินด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ความรักที่เธอมีให้เขาทำให้เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง แม

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 25 ทางเลือกสุดท้าย

    หลินซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ซึมผ่านผิวของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ในโรงหมอสนามใกล้ชานเมืองหลวงฉางอาน กลิ่นสมุนไพรฉุนปนกลิ่นยาต้มลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงตะเกียงสลัวส่องผ่านผ้าม่านหยาบ ๆ ที่กั้นเตียงของเธอ เสียงฝนตกลงมาแผ่วเบาดังจากด้านนอก เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านจากแขนและอก ความทรงจำของสนามรบผุดขึ้นในหัว ลูกธนูพิษที่ปักเข้าที่หน้าอกของหย่งเฉิน เธอใช้จี้หยกดูดพิษออกจากร่างของเขา และจี้หยกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆเธอยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอด้วยความหวัง จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงได้หายไปแล้ว เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่คอและหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น “ฉัน... ยังไม่ตาย” เธอพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่น“ซือหยู!” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียง เธอหันไปมองและเห็นจ้าวหย่งเฉินนั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยรอยคล้ำใต้ตาและคราบโคลนที่ยังไม่เช็ดออก บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสีขาวสะอาด เขาดูซีดเผือด แต่ดวงตาของเขาสว่างขึ้นเมื่อเห็นเธอตื่น“เจ้า... เจ้าตื่นแล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านจากความโล่งใจ เขาคว้ามือของเธอแน่นด้วยมือที่หยาบกร้านและเย็

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status