ณ เขาไท่ซวน...
ทุกคนร้อนใจถึงการหายตัวไปของมู่หลิน จึงกระจายกำลังกันค้นหาอย่างเร่งรีบ ทว่า...
"อาจารย์ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!"
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้ทุกคนชะงักหันไปมอง
นักพรตอี้เซียนหันขวับ สีหน้าเคร่งเครียดทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
"มู่หลิน! เจ้าไปที่ใดมา?! ทำไม...!"
สีหน้าของนักพรตเปลี่ยนไปทันที ดวงตาเฉียบคมจับจ้องมู่หลินอย่างไม่ละสายตา พลังอันดำมืดบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากตัวศิษย์หญิงของเขา
มู่หลินชะงักไปเล็กน้อย มองอาจารย์ด้วยความสงสัย
"อาจารย์ อะไรกันหรือเจ้าคะ?"
"กลิ่นอายมาร... ทำไมทั่วทั้งตัวเจ้าถึงมีพลังมารที่รุนแรงเช่นนี้?! เจ้าไปที่ใดมา?! ตอบข้าบัดเดี๋ยวนี้!!" นักพรตอี้เซียนเสียงเข้มกว่าปกติ
มู่หลินกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"ข้าถูกจอมมารจับตัวไป... ที่หุบเขาจอมมาร..."
บรรยากาศเงียบงันลงทันที
"เจ้าว่าอะไรนะ?!"
แววตาของนักพรตฉายความตกใจปนระแวดระวัง เขาจ้องมองศิษย์ของตนราวกับกำลังมองหาความผิดปกติบางอย่าง
"นี่เป็นเรื่องใหญ่! ทำไมพวกเขาถึงปล่อยเจ้ากลับมา?!"
มู่หลินเม้มริมฝีปาก นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ "ข้า... ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ"
นักพรตอี้เซียนสูดหายใจลึก สีหน้ายิ่งตึงเครียด "แล้วเจ้าถอดกำไลที่ข้าให้ไปหรือไม่?"
มู่หลินรีบส่ายหน้า
"ไม่เลยเจ้าค่ะ! ข้าใส่มันไว้ตลอด!"
นักพรตอี้เซียนจ้องมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
"ดีมาก... แต่เจ้าจงไปพบข้าที่ห้องหนังสือ ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า"
มู่หลินรู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของอาจารย์ แต่ก็ทำได้เพียงตอบรับ
"เจ้าค่ะ อาจารย์"
นักพรตเดินจากไป ทิ้งบรรยากาศหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง ราวกับรู้ชะตากรรมบางอย่างที่มู่หลินกำลังจะต้องเผชิญในภาคหน้า...
ขณะที่บรรยากาศยังคงตึงเครียด มู่หลินก็หันไปทางสองศิษย์พี่ของนาง พร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
"ศิษย์พี่ทั้งสอง คิดถึงข้าหรือไม่?"
เซียวหานกลอกตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"แน่นอนสิ! ศิษย์พี่หญิงของเจ้า บ่นเรื่องห่วงเจ้าทุกวัน ข้าฟังจนหูจะชาแล้ว!"
ซิวเหยาแยกเขี้ยวใส่เซียวหาน
"ศิษย์น้องหายไปทั้งคน! ใครบ้างจะไม่เป็นห่วง?! ท่านเองก็ห่วงไม่แพ้กันข้า"
มู่หลินหัวเราะเบาๆ แม้ในใจยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังบอกใครไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ไป๋เยี่ยนเดินเข้ามาใกล้ นางมีท่าทีประหม่าเล็กน้อย มู่หลินรีบแนะนำ
"ศิษย์พี่ทั้งสอง นี่ไป๋เยี่ยน นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพไป๋ นางอยากมาฝึกวรยุทธกับพวกเรา เพราะนางโดนคนรังแก นางอยากป้องกันตัวเอง พวกพี่จะช่วยสอนให้นางได้หรือไม่?"
ซิวเหยายิ้มรับทันที
"ได้สิ ข้าสอนเจ้าเอง!"
ไป๋เยี่ยนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น...
ห้องหนังสือ...
อี้เซียนนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ไม้ด้วยท่าทีสงบ แต่เมื่อมู่หลินก้าวเข้ามา เขากลับวางหนังสือไว้ข้างๆ ทันที
“มู่หลิน เจ้าเล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง ว่าเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไร”
มู่หลินไม่ลังเลที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับอาจารย์ รวมถึงเรื่องของไป๋เทียนหลง ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นมารไปตลอดกาล นางเอ่ยถามหาวิธีช่วยเขาให้พ้นจากเส้นทางนั้น
“อาจารย์ ข้าเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังแล้ว ท่านสามารถช่วยเขาได้หรือไม่? เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เพียงแต่โชคชะตาบีบบังคับให้เขาต้องเดินไปสู่เส้นทางของจอมมาร”
อี้เซียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของศิษย์ตน ราวกับกำลังพิจารณาคำพูดเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
“จะว่าช่วยได้ก็ช่วยได้… แต่เจ้าไว้ใจเขามากแค่ไหน?”
มู่หลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าบอกไม่ถูก แต่ทุกครั้งที่ข้าอยู่ใกล้เขา ข้ารู้สึกเหมือนผูกพันกันมานาน”
อี้เซียนถอนหายใจเบาๆ
“นั่นเป็นเพราะเจ้าทั้งสองมีสายสัมพันธ์ต่อกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว”
มู่หลินเบิกตากว้าง
“จริงหรืออาจารย์? มันเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
“ลิขิตสวรรค์ ข้าพูดมากไม่ได้”
เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ หากจ้าวแห่งจอมมารรู้ว่าเจ้ามีมุกพลังจันทรา มันจะต้องส่งคนมาเอาตัวเจ้าไปแน่ เพื่อช่วงชิงพลังจากเจ้า”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ อาจารย์”
“มุกพลังจันทราไม่ใช่สิ่งที่ใครจะช่วงชิงไปจากเจ้าได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่า… เจ้ายอมมอบให้ด้วยความเต็มใจ”
อี้เซียนมองนางด้วยสายตาเคร่งเครียด
“ผู้ที่จะได้รับมุกพลังจันทราคือคนที่เป็นคนรักของเจ้าเท่านั้น หากเจ้ามีคู่เป็นมนุษย์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังนี้ แต่หากเจ้ามีสายสัมพันธ์กับมาร… เจ้าต้องรู้ไว้ว่า หากมารผู้นั้นรักเจ้าจริง เขาจะไม่แตะต้องพลังนี้ แต่หากเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการครอบครองโลก มุกพลังจันทราของเจ้าจะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีวันตาย และสุดท้าย… เจ้าก็ต้องตายไปพร้อมกัน”
อี้เซียนมองใบหน้าของศิษย์ตนที่เคร่งเครียดขึ้น
มู่หลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“หากข้าต้องการเปลี่ยนไป๋เทียนหลงให้เป็นมนุษย์… ทำได้หรือไม่เจ้าคะ อาจารย์?”
“ย่อมทำได้” อี้เซียนตอบพลางพยักหน้า
“แต่เจ้าต้องใช้ ‘หอกสวรรค์จันทรา’ และต้องกำจัดจ้าวแห่งมารเสีย ทุกอย่างจึงจะคืนสู่สภาพเดิม”
มู่หลินขมวดคิ้วแน่น
“หอกสวรรค์จันทรา… ข้าจะหาได้จากที่ใด?”
“หุบเขากระดูกขาว” อี้เซียนตอบเสียงเรียบ
“ที่นั่นเป็นสถานที่อันตราย ผู้ที่เข้าไปยากนักจะมีชีวิตรอดกลับมา… เจ้าแน่ใจหรือว่าจอมมารผู้นั้นสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนี้?”
มู่หลินกำมือแน่น ดวงตาของนางฉายแววมุ่งมั่น
“เขาไม่ควรต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกความแค้นครอบงำ ข้าทนไม่ได้หากเขาต้องกลายเป็นจอมมาร… ตัวตายตัวแทนของจ้าวแห่งจอมมารไปตลอดกาล”
“ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์! ข้าจะไปตามหาหอกสวรรค์จันทรา ไม่ว่าหนทางจะอันตรายเพียงใด ข้าต้องใช้มันกำจัดจ้าวแห่งมารให้ได้! หากข้าทำสำเร็จ
ไป๋เทียนหลงจะไม่ต้องกลายเป็นจอมมารตลอดชีวิต และโลกก็จะไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเหล่ามาร!”
อี้เซียนมองศิษย์หญิงของตนด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ
“หากเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าก็คงห้ามไม่ได้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าขออวยพรให้เจ้าปลอดภัย และหากเจ้าต้องการให้ศิษย์พี่ทั้งสองร่วมเดินทางไปด้วย ข้าก็จะไม่ขัด พวกเขาเลือกได้ตามใจตนเอง”
มู่หลินส่ายหน้า
“ข้าไม่อยากให้ศิษย์พี่ทั้งสองต้องเสี่ยงอันตราย ข้าไปคนเดียวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง เสียงทุ้มของซิวเหยาก็ดังขึ้นทันที
“อย่าได้ห่วงพวกเราเลย ศิษย์น้อง! เจ้าคิดหรือว่าเราจะปล่อยให้เจ้าผจญภัยเพียงลำพัง? เจ้าคือศิษย์น้องของพวกเรา จะให้เจ้าแบกรับภาระนี้ผู้เดียวได้อย่างไร!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างไร?”
ซิวเหยาหันไปมองเซียวหาน
เซียวหานสบตากับชิวเหยา ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ศิษย์น้องจะไปที่ใด พวกข้าก็จะไปกับเจ้า”
ซิวเหยายิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ตามนั้นเลยมู่หลิน” ชิวเยากล่าว
ทันใดนั้น เสียงหวานใสของไป๋เยี่ยนก็ดังขึ้น
“ขอข้าร่วมเดินทางไปด้วยเถิด!”
มู่หลินชะงัก หันไปมองนางด้วยความตกใจ
“ไม่ได้! มันอันตรายเกินไป เจ้าไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ เลย!”
ไป๋เยี่ยนกำหมัดแน่น เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“แต่ข้าอยากช่วยพี่ชายของข้า! ขอร้องล่ะ พี่มู่หลิน ให้ข้าไปเถอะ!”
“แต่ว่า...” มู่หลินยังคงลังเล
อี้เซียนที่เงียบฟังอยู่พลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ให้นางไปเถิด ชะตานางยังไม่ถึงฆาต”
แล้วเขาหยิบผ้ายันต์เซียนออกมาส่งให้ไป๋เยี่ยน
“นี่คือผ้ายันต์เซียน มันจะช่วยปกป้องเจ้า สามารถสร้างม่านพลัง ป้องกันภัยธรรมชาติ และภัยอันตรายต่าง ๆ ได้”
ไป๋เยี่ยนรับผ้ายันต์ด้วยความซาบซึ้ง ก่อนคุกเข่าประสานมือคารวะ
“ขอบคุณท่านนักพรตมากเจ้าค่ะ!”
อี้เซียนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนกวาดสายตามองศิษย์ทั้งสามด้วยแววตาเคร่งขรึม ดวงตาลึกล้ำของเขาฉายแววครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถิด รุ่งสางต้องออกเดินทาง ขอให้โชคดี และจงอย่าประมาท”
ศิษย์ทั้งสามรีบคุกเข่าลง ประสานมือคารวะอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด
“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์! ขอขอบคุณในคำชี้แนะและความเมตตา”
อี้เซียนมองพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนโบกมือเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาตให้ลุกขึ้น
“ไปเถิด”
แม้คำพูดของเขาจะสั้น แต่กลับหนักแน่นและทรงพลัง มู่หลิน เซียวหาน และซิวเหยา ต่างรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย แต่พวกเขาไม่มีวันหวั่นไหว!
แสงแดดอ่อนของยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยอุ่นสบาย ทว่าหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อดวงตาคู่งามเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆจางเจียว ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอยในวินาทีแรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเธอหันไปทางเตียงข้าง ๆ ...เธอเห็นเขา - กู้เหยี่ยนนอนอยู่ที่ ใบหน้าซีดจางแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยน และที่สำคัญ... ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขารักเธอเขายิ้ม...เธอไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป“ขอบคุณ...”เสียงของเธอสั่นเครือเมื่อพูดออกมา“ขอบคุณที่คุณยังรักษาสัญญา…”“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันกับลูกไป… กู้เหยี่ยน คนบ้า…”น้ำตาของเธอไหลลงช้า ๆ ขณะที่รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเธอไม่สนว่าตัวเองยังเพิ่งฟื้น ไม่สนแม้ร่างกายยังอ่อนแรง เธอรีบลุกจากเตียง เดินตรงเข้าไปหาชายคนที่เธอเกือบเสียไปตลอดกาลกู้เหยี่ยนยื่นมือออกมา...และเธอก็ทิ้งตัวลงกอดเขาแน่นทั้งน้ำตา“คุณรู้ไหม... ใจฉันแทบสลายตอนรู้ว่าคุณไม่หายใจ... ฉันกลัว... กลัวจนแทบจะตายตามคุณไป…”มือของเขาลูบผมเธอเบา ๆ จ้องมองเธอไม่ละสายตา“ผมต้องพยายามกลับมาให้ได้... เพราะผมสั
ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกหนัก พายุคำรามราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ประธานกู้ขับรถออกจากบ้านด้วยหัวใจอัดแน่นด้วยความกังวลเร่งรีบรถแน่นออกไปได้ไม่เกินสอบนาที เสียงล้อบดถนนดังกึกก้อง กระจกรถข้างหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง เสียงเหล็กบิดเบี้ยวดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนรถทั้งคันตีลังกาคว่ำสองตลบใครที่ผ่านไปพบเห็น ต่างพากันคิดว่าคนในรถคงไม่มีทางรอด...ในเวลาเดียวกันนั้นจางเจียว ยังนั่งรอฟังข่าวของลูกชายของ ดร.จอห์น ด้วยใจสั่นระรัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝันร้ายที่เธอไม่เคยคาดคิด“คุณนายค่ะ... ประธานกู้รถคว่ำค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน!”มือของจางเจียวสั่นระริก ใบหน้าเธอซีดเผือดก่อนเสียงสะอื้นแรกจะหลุดลอดริมฝีปากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ไม่นะ... ไม่นะ... ฮือ ฮือ ฮือ... คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปนะ... ได้โปรดกลับมาหาพวกเรานะคะ... ที่รัก...”โรงพยาบาลบรรยากาศในโรงพยาบาลเงียบงันแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนแห่งความวิตก ทุกคนต่างมารวมตัวกันเฝ้ารอฟังผลจากห้องฉุกเฉิน ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวังผสมความสิ้นหวังจางเจียว นั่งนิ่งอยู่
หลังจบทริปบริษัท บรรดาพนักงานต่างเดินทางกลับด้วยรถบัส ขณะที่ประธานกู้และประธานสื่อต่างให้คนขับรถส่วนตัวมารับกลับอย่างเงียบๆกู้เหยี่ยนเลือกพาจางเจียว ไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเล ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกกุหลาบสีขาวที่เบ่งบานงดงามทั่วบริเวณทันทีที่จางเจียวก้าวลงจากรถหรู สายตาเธอก็ทอดมองไปทั่วสวนอย่างประทับใจ“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ...”เสียงเธอเบาแต่นุ่มนวลเขายิ้มบาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ผมสั่งให้เขาจัดสวนนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว...ผมทำเพื่อคุณนะ”เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน“ขอบคุณที่ใส่ใจฉันนะคะ...มันสวยจริงๆ”“ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ เดือนหน้าเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...ผมเฝ้ารอวันนั้นทุกลมหายใจเลย”“แต่ถ้าเราแต่งเร็ว คุณอาจไม่มีอิสระอีกนะ...”เธอพูดด้วยความลังเล“ผมไม่ต้องการอิสระอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”เธอยิ้มละมุน หัวใจพลันอ่อนลงกับคำพูดอ่อนโยนนั้น“ปากหวานจริงนะคะ...”“เข้าบ้านกันเถอะครับ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้จางเจียวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันถึงขั้นบันได เธอกลับเซไปเหมือนจะวูบกู้เหยี่ยนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าประคองแล
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของพนักงานที่ทำผลงานยอดเยี่ยมตลอดไตรมาส บริษัทกู้กรุ๊ปจึงจัดทริป “สานสัมพันธ์” ที่รีสอร์ตริมทะเล 3 วัน 2 คืน โดยมีพนักงานจากทุกแผนกเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือ…ประธานใหญ่ กู้เหยี่ยน ตอบตกลงเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง!พร้อมกับพา จางเจียว เลขาสาวคนสนิท ที่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เลขา แต่เป็นว่าที่คุณนายกู้นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษจากบริษัทพันธมิตร ประธานสือและแฟนสาว หลินหลินที่เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ก็ขอตามมาร่วมแจมด้วยเช่นกันเช้าวันเดินทาง รถบัสสองคันจอดรออยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ พนักงานต่างถ่ายรูป เช็กอิน และโพสต์ภาพกันอย่างคึกคักประธานกู้เดินลงจากรถหรู พร้อมลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังรถบัสในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา แตกต่างจากภาพลักษณ์ประธานเย็นชาที่เห็นในห้องประชุมโดยสิ้นเชิงข้างกายคือจางเจียว ในเดรสยาวสีขาว สายเดี่ยวมัดโบว์ เผยให้เห็นความสดใสน่ารักอย่างล้นเหลือ“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?”เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเสียงเฮดังลั่นทันที พร้อมเสียงแซวเบา ๆ“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าประธานจะไปแล้วค่า~”ไม่นาน รถยนต์หรูอีกคันก็จอด
“ไหนใครบ่นคิดถึงผม?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาหลินหลินสะดุ้งเธอหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของ ประธานสือ ยืนไขว้ขาพิงกรอบประตู ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นไร้ขอบที่มองมาไม่วางตาสูทสีดำหรู เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนเพียงเม็ดเดียว เผยช่วงอกแน่นล่ำพอให้ใจเต้น เส้นผมเซตอย่างลวก ๆ แต่กลับดูดี“ประธานสือ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”เธอรีบวางแก้วกาแฟ ตาโตด้วยความตกใจ เขิน และ...หงุดหงิดเขาเดินเข้ามาใกล้ หยุดตรงหน้าเธอโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เปิดดูแชทหลายรอบแล้วใช่ไหม? ผมเห็นตั้งแต่คุณถอนหายใจรอบแรก”“คุณ...แอบดูฉันเหรอ?!”“ก็คุณชอบทำตัวให้น่าจับตามอง”หลินหลินอ้าปาก แต่พูดไม่ออก ความเขินตีขึ้นหน้าแดงจัด ขณะมือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ“ก็คุณไม่โทร ไม่ตอบแชท ฉันก็นึกว่าคุณไม่สนใจ...”“แบตหมดตอนประชุมครับ”เขาตอบ พร้อมยื่นมือถือให้ดูเธอชะงักไปชั่วครู่... แต่ก็ไม่ยอมให้เขาชนะง่าย ๆ“ก็ได้ งั้นฉันไม่โกรธก็ได้”เขายิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหู“ต่อให้คุณโกรธ ผมก็ตามง้ออยู่ดี”น้ำเสียงของเขานุ่มลึก แฝงแรงปรารถนาบางอย่างก่อนกระซิบข้าง ๆ ใบหูของเธอ“คืนนี้...ไปกินข้าวที
บริษัทตระกูลกู้ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของอาคารจางเจียวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางไล่ดูเอกสารอย่างตั้งใจ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านโปร่งบางสร้างบรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบเหงาเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก๊อก... ก๊อก..“ขออนุญาตค่ะคุณจาง ประธานกู้สั่งให้เอานี่มาให้ค่ะ”เลขาซูเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม ในถาดมีเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่มกับชาผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเมนูโปรดของจางเจียวทั้งคู่ เธอวางถาดลงตรงหน้าจางเจียวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู”“ยินดีค่ะ ตั้งแต่คุณจางเข้ามาทำงานที่นี่…ประธานของเราก็อารมณ์ดีขึ้นมากเลยค่ะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเลย”เลขาซูพูดยิ้ม ๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ“แน่นอนอยู่แล้วครับเลขาซู...”เสียงทุ้มอบอุ่นของกู้เหยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง“…ก็ผมได้อยู่ใกล้ว่าที่ภรรยา จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ”“อุ๊ย! ท่านประธาน...”เลขาซูยกมือปิดปาก ยิ้มเขินแต่ไม่ลืมโค้งให้เบา ๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องอย่างรู้จังหวะ“เลขาซู เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ห้ามมีใครรบกวนผมนะครับ”“รับทราบค่ะท่านประธาน”จางเจียวยิ้มเขิน แก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น เธอแสร้งก้มหน้