ณ เขาไท่ซวน...
ทุกคนร้อนใจถึงการหายตัวไปของมู่หลิน จึงกระจายกำลังกันค้นหาอย่างเร่งรีบ ทว่า...
"อาจารย์ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!"
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้ทุกคนชะงักหันไปมอง
นักพรตอี้เซียนหันขวับ สีหน้าเคร่งเครียดทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
"มู่หลิน! เจ้าไปที่ใดมา?! ทำไม...!"
สีหน้าของนักพรตเปลี่ยนไปทันที ดวงตาเฉียบคมจับจ้องมู่หลินอย่างไม่ละสายตา พลังอันดำมืดบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากตัวศิษย์หญิงของเขา
มู่หลินชะงักไปเล็กน้อย มองอาจารย์ด้วยความสงสัย
"อาจารย์ อะไรกันหรือเจ้าคะ?"
"กลิ่นอายมาร... ทำไมทั่วทั้งตัวเจ้าถึงมีพลังมารที่รุนแรงเช่นนี้?! เจ้าไปที่ใดมา?! ตอบข้าบัดเดี๋ยวนี้!!" นักพรตอี้เซียนเสียงเข้มกว่าปกติ
มู่หลินกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"ข้าถูกจอมมารจับตัวไป... ที่หุบเขาจอมมาร..."
บรรยากาศเงียบงันลงทันที
"เจ้าว่าอะไรนะ?!"
แววตาของนักพรตฉายความตกใจปนระแวดระวัง เขาจ้องมองศิษย์ของตนราวกับกำลังมองหาความผิดปกติบางอย่าง
"นี่เป็นเรื่องใหญ่! ทำไมพวกเขาถึงปล่อยเจ้ากลับมา?!"
มู่หลินเม้มริมฝีปาก นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ "ข้า... ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ"
นักพรตอี้เซียนสูดหายใจลึก สีหน้ายิ่งตึงเครียด "แล้วเจ้าถอดกำไลที่ข้าให้ไปหรือไม่?"
มู่หลินรีบส่ายหน้า
"ไม่เลยเจ้าค่ะ! ข้าใส่มันไว้ตลอด!"
นักพรตอี้เซียนจ้องมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
"ดีมาก... แต่เจ้าจงไปพบข้าที่ห้องหนังสือ ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า"
มู่หลินรู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของอาจารย์ แต่ก็ทำได้เพียงตอบรับ
"เจ้าค่ะ อาจารย์"
นักพรตเดินจากไป ทิ้งบรรยากาศหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง ราวกับรู้ชะตากรรมบางอย่างที่มู่หลินกำลังจะต้องเผชิญในภาคหน้า...
ขณะที่บรรยากาศยังคงตึงเครียด มู่หลินก็หันไปทางสองศิษย์พี่ของนาง พร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
"ศิษย์พี่ทั้งสอง คิดถึงข้าหรือไม่?"
เซียวหานกลอกตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"แน่นอนสิ! ศิษย์พี่หญิงของเจ้า บ่นเรื่องห่วงเจ้าทุกวัน ข้าฟังจนหูจะชาแล้ว!"
ซิวเหยาแยกเขี้ยวใส่เซียวหาน
"ศิษย์น้องหายไปทั้งคน! ใครบ้างจะไม่เป็นห่วง?! ท่านเองก็ห่วงไม่แพ้กันข้า"
มู่หลินหัวเราะเบาๆ แม้ในใจยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังบอกใครไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ไป๋เยี่ยนเดินเข้ามาใกล้ นางมีท่าทีประหม่าเล็กน้อย มู่หลินรีบแนะนำ
"ศิษย์พี่ทั้งสอง นี่ไป๋เยี่ยน นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพไป๋ นางอยากมาฝึกวรยุทธกับพวกเรา เพราะนางโดนคนรังแก นางอยากป้องกันตัวเอง พวกพี่จะช่วยสอนให้นางได้หรือไม่?"
ซิวเหยายิ้มรับทันที
"ได้สิ ข้าสอนเจ้าเอง!"
ไป๋เยี่ยนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น...
ห้องหนังสือ...
อี้เซียนนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ไม้ด้วยท่าทีสงบ แต่เมื่อมู่หลินก้าวเข้ามา เขากลับวางหนังสือไว้ข้างๆ ทันที
“มู่หลิน เจ้าเล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง ว่าเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไร”
มู่หลินไม่ลังเลที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับอาจารย์ รวมถึงเรื่องของไป๋เทียนหลง ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นมารไปตลอดกาล นางเอ่ยถามหาวิธีช่วยเขาให้พ้นจากเส้นทางนั้น
“อาจารย์ ข้าเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังแล้ว ท่านสามารถช่วยเขาได้หรือไม่? เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เพียงแต่โชคชะตาบีบบังคับให้เขาต้องเดินไปสู่เส้นทางของจอมมาร”
อี้เซียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของศิษย์ตน ราวกับกำลังพิจารณาคำพูดเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
“จะว่าช่วยได้ก็ช่วยได้… แต่เจ้าไว้ใจเขามากแค่ไหน?”
มู่หลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าบอกไม่ถูก แต่ทุกครั้งที่ข้าอยู่ใกล้เขา ข้ารู้สึกเหมือนผูกพันกันมานาน”
อี้เซียนถอนหายใจเบาๆ
“นั่นเป็นเพราะเจ้าทั้งสองมีสายสัมพันธ์ต่อกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว”
มู่หลินเบิกตากว้าง
“จริงหรืออาจารย์? มันเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
“ลิขิตสวรรค์ ข้าพูดมากไม่ได้”
เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ หากจ้าวแห่งจอมมารรู้ว่าเจ้ามีมุกพลังจันทรา มันจะต้องส่งคนมาเอาตัวเจ้าไปแน่ เพื่อช่วงชิงพลังจากเจ้า”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ อาจารย์”
“มุกพลังจันทราไม่ใช่สิ่งที่ใครจะช่วงชิงไปจากเจ้าได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่า… เจ้ายอมมอบให้ด้วยความเต็มใจ”
อี้เซียนมองนางด้วยสายตาเคร่งเครียด
“ผู้ที่จะได้รับมุกพลังจันทราคือคนที่เป็นคนรักของเจ้าเท่านั้น หากเจ้ามีคู่เป็นมนุษย์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังนี้ แต่หากเจ้ามีสายสัมพันธ์กับมาร… เจ้าต้องรู้ไว้ว่า หากมารผู้นั้นรักเจ้าจริง เขาจะไม่แตะต้องพลังนี้ แต่หากเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการครอบครองโลก มุกพลังจันทราของเจ้าจะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีวันตาย และสุดท้าย… เจ้าก็ต้องตายไปพร้อมกัน”
อี้เซียนมองใบหน้าของศิษย์ตนที่เคร่งเครียดขึ้น
มู่หลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“หากข้าต้องการเปลี่ยนไป๋เทียนหลงให้เป็นมนุษย์… ทำได้หรือไม่เจ้าคะ อาจารย์?”
“ย่อมทำได้” อี้เซียนตอบพลางพยักหน้า
“แต่เจ้าต้องใช้ ‘หอกสวรรค์จันทรา’ และต้องกำจัดจ้าวแห่งมารเสีย ทุกอย่างจึงจะคืนสู่สภาพเดิม”
มู่หลินขมวดคิ้วแน่น
“หอกสวรรค์จันทรา… ข้าจะหาได้จากที่ใด?”
“หุบเขากระดูกขาว” อี้เซียนตอบเสียงเรียบ
“ที่นั่นเป็นสถานที่อันตราย ผู้ที่เข้าไปยากนักจะมีชีวิตรอดกลับมา… เจ้าแน่ใจหรือว่าจอมมารผู้นั้นสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนี้?”
มู่หลินกำมือแน่น ดวงตาของนางฉายแววมุ่งมั่น
“เขาไม่ควรต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกความแค้นครอบงำ ข้าทนไม่ได้หากเขาต้องกลายเป็นจอมมาร… ตัวตายตัวแทนของจ้าวแห่งจอมมารไปตลอดกาล”
“ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์! ข้าจะไปตามหาหอกสวรรค์จันทรา ไม่ว่าหนทางจะอันตรายเพียงใด ข้าต้องใช้มันกำจัดจ้าวแห่งมารให้ได้! หากข้าทำสำเร็จ
ไป๋เทียนหลงจะไม่ต้องกลายเป็นจอมมารตลอดชีวิต และโลกก็จะไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเหล่ามาร!”
อี้เซียนมองศิษย์หญิงของตนด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ
“หากเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าก็คงห้ามไม่ได้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าขออวยพรให้เจ้าปลอดภัย และหากเจ้าต้องการให้ศิษย์พี่ทั้งสองร่วมเดินทางไปด้วย ข้าก็จะไม่ขัด พวกเขาเลือกได้ตามใจตนเอง”
มู่หลินส่ายหน้า
“ข้าไม่อยากให้ศิษย์พี่ทั้งสองต้องเสี่ยงอันตราย ข้าไปคนเดียวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง เสียงทุ้มของซิวเหยาก็ดังขึ้นทันที
“อย่าได้ห่วงพวกเราเลย ศิษย์น้อง! เจ้าคิดหรือว่าเราจะปล่อยให้เจ้าผจญภัยเพียงลำพัง? เจ้าคือศิษย์น้องของพวกเรา จะให้เจ้าแบกรับภาระนี้ผู้เดียวได้อย่างไร!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างไร?”
ซิวเหยาหันไปมองเซียวหาน
เซียวหานสบตากับชิวเหยา ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ศิษย์น้องจะไปที่ใด พวกข้าก็จะไปกับเจ้า”
ซิวเหยายิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ตามนั้นเลยมู่หลิน” ชิวเยากล่าว
ทันใดนั้น เสียงหวานใสของไป๋เยี่ยนก็ดังขึ้น
“ขอข้าร่วมเดินทางไปด้วยเถิด!”
มู่หลินชะงัก หันไปมองนางด้วยความตกใจ
“ไม่ได้! มันอันตรายเกินไป เจ้าไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ เลย!”
ไป๋เยี่ยนกำหมัดแน่น เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“แต่ข้าอยากช่วยพี่ชายของข้า! ขอร้องล่ะ พี่มู่หลิน ให้ข้าไปเถอะ!”
“แต่ว่า...” มู่หลินยังคงลังเล
อี้เซียนที่เงียบฟังอยู่พลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ให้นางไปเถิด ชะตานางยังไม่ถึงฆาต”
แล้วเขาหยิบผ้ายันต์เซียนออกมาส่งให้ไป๋เยี่ยน
“นี่คือผ้ายันต์เซียน มันจะช่วยปกป้องเจ้า สามารถสร้างม่านพลัง ป้องกันภัยธรรมชาติ และภัยอันตรายต่าง ๆ ได้”
ไป๋เยี่ยนรับผ้ายันต์ด้วยความซาบซึ้ง ก่อนคุกเข่าประสานมือคารวะ
“ขอบคุณท่านนักพรตมากเจ้าค่ะ!”
อี้เซียนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนกวาดสายตามองศิษย์ทั้งสามด้วยแววตาเคร่งขรึม ดวงตาลึกล้ำของเขาฉายแววครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถิด รุ่งสางต้องออกเดินทาง ขอให้โชคดี และจงอย่าประมาท”
ศิษย์ทั้งสามรีบคุกเข่าลง ประสานมือคารวะอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด
“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์! ขอขอบคุณในคำชี้แนะและความเมตตา”
อี้เซียนมองพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนโบกมือเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาตให้ลุกขึ้น
“ไปเถิด”
แม้คำพูดของเขาจะสั้น แต่กลับหนักแน่นและทรงพลัง มู่หลิน เซียวหาน และซิวเหยา ต่างรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย แต่พวกเขาไม่มีวันหวั่นไหว!
ไป๋เทียนหลงพยายามเรียกมู่หลินให้ได้สติ แต่ร่างของนางกลับแน่นิ่ง ดวงตาปิดสนิท ร่างกายเย็นเฉียบ เขาก้มลงมองแผลที่ถูกพิษจากปีศาจงู รอยแผลแดงก่ำและรอบๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ คือการขับพิษออกไปแต่ที่แห่งนี้... กลับเป็นจุดที่เขาไม่สามารถใช้พลังภายในได้ และไม่มีสมุนไพรใดจะช่วยขับพิษได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะเป็นไปได้คืออาศัยพลังหยินหยางเพื่อช่วยนาง"มู่หลิน! เจ้าฟังข้าไหม? ตอบข้าสิ!"ไป๋เทียนหลงเรียกอย่างร้อนรน จนในที่สุดเปลือกตาของนางก็ขยับเล็กน้อย นางฝืนลืมตาขึ้น มองหน้าเขาด้วยสายตาพร่ามัว"ข้ารู้สึกตัว... แต่ข้าเจ็บเหลือเกิน... ทรมานเหลือเกิน..."เสียงของนางแผ่วเบาราวสายลม นางหอบหายใจถี่ร่างกายสั่นสะท้านจากพิษที่กัดกินเข้าไปในกระแสเลือด"อดทนไว้! ข้าจะช่วยเจ้า อย่ากลัว ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย!""ที่นี่ใช้พลังปราณไม่ได้... ไม่มียาถอนพิษ... แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไร?"มู่หลินเอ่ยด้วยความอ่อนแรง แววตาของนางสะท้อนความสิ้นหวัง"ข้าไม่รอดแล้ว ไป๋เทียนหลง... เจ้าทิ้งข้าไว้ที่นี่เถอะ ปล่อยข้าไป""หยุดพูด! ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า!"ไป๋เทียนหลงตวาดเสียงเข้ม ดวงตาของเขาสั
หุบเขาอสรพิษเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งพืชมีพิษและไม่มีพิษ แต่ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือเถาวัลย์กินคน หากมันพันร่างเหยื่อเมื่อใด มันจะค่อยๆ เลื้อยเข้าไปในปาก แล้วดูดกลืนพลังชีวิต สูบฉีดเอาหัวใจของเหยื่อเป็นอาหาร ทว่าโชคดี... คืนนี้พวกเขาทุกคนรอดพ้นมาได้รุ่งอรุณมาเยือน ทุกคนตื่นเตรียมพร้อมออกเดินทาง กว่าพวกเขาจะพ้นจากหุบเขานี้ได้ ต้องใช้เวลาอีกสองวัน เส้นทางข้างหน้าผ่านถ้ำคับแคบ เต็มไปด้วยอันตรายมู่หลินปรายตามองไป๋เทียนหลงก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ท่านเคยคิดไหม ว่าวันหนึ่งจอมมารเช่นท่านจะต้องมาใช้ชีวิตอย่างคนไร้พลังเวทเช่นนี้”ไป๋เทียนหลงหัวเราะเบาๆ ดวงตาคมลึกจับจ้อง มู่หลินอย่างมีนัย“ข้าไม่เคยนึกเลย ว่าวันหนึ่งจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้… แต่ข้ากลับรู้สึกดีที่มีเจ้าร่วมเดินเคียงข้าง”คำพูดนั้นทำเอาหัวใจของมู่หลินสะดุดไปชั่วขณะ นางหลบตาก่อนจะเอ่ยเสียงขุ่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ตีรวนในอก“นี่ท่านกำลังจะเกี้ยวข้าใช่หรือไม่?”ไป๋เทียนหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนริมฝีปาก“ถ้าข้าบอกว่าใช่... เจ้าจะว่ายังไง?”มู่หลินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “รีบเดินเถอะ ศิษ
เหล่าบุรุษขะมักเขม้นกับการนำท่อนไม้มาผูกด้วยเถาวัลย์ เสียงเชือกเสียดสีกันดังเป็นจังหวะเมื่อพวกเขาโยงมันเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแพข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเมื่อข้ามแม่น้ำไปยัง "หุบเขาอสรพิษ" แล้วจะไม่สามารถใช้พลังใด ๆ ได้ การอยู่รอดที่นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถเพียงอย่างเดียว“ข้าคิดว่าแข็งแรงพอแล้ว เชิญทุกคนขึ้นแพได้”เซียวหานเอื้อมมือออกไปให้ทุกคนจับเพื่อขึ้นแพด้วยท่าทีสุภาพและอบอุ่น“ขอบคุณเจ้าค่ะศิษย์พี่” เหล่าสตรีๆ กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มบาง ก่อนก้าวขึ้นไปอย่างระมัดระวังแต่เมื่อเซียวหานลืมตัว ยื่นมือให้ไป๋เทียนหลงตามมารยาท กลับถูกเมินราวกับอากาศ ไป๋เทียนหลงก้าวขึ้นแพโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเขา สายตาของทั้งสองเย็นชาต่อกันเหล่าสตรี ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่“พร้อมเดินทาง ทุกคนระวังตัวด้วย”เซียวหานกล่าวเตือนก่อนโอบไหล่ซิวเหยาเบาๆ ราวกับให้กำลังใจทั้งสองสบตากันเพียงชั่วขณะ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา แต่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามีใจให้กัน เพียงแค่ยังไม่มีใครกล้าสารภาพ“พี่ใหญ่ ข้างหน้าเราจะเจออะไรบ้าง ข้าไม่เคยออกเดินทางแบบนี้”ไป๋เยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนหว
ท่ามกลางป่าใหญ่ในหุบเขาหมอกมายา หลังจากที่ทุกคนเพิ่งเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาแล้ว บัดนี้ทุกอย่างสงบลง แต่ละคนต่างเลือกที่พักเพื่อเตรียมออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น"เมื่อครู่เจ้ากลัวหรือไม่...มู่หลิน?"ไป๋เทียนหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความห่วงใย สายตาคมลึกมองนางอย่างต้องการคำตอบจากใจจริง"ข้าไม่กลัวหรอก ข้ารู้ว่าท่านจัดการได้"นางตอบกลับอย่างมั่นใจ ดวงตาเปล่งประกายศรัทธาในตัวเขาไป๋เทียนหลงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย"ทำไมเจ้าถึงอยากช่วยข้า?""ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งที่ถูกจ้าวแห่งมารหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อเป็นตัวแทนขึ้นครองบัลลังก์มาร "ไป๋เทียนหลงหัวเราะเบา ๆ แววตาฉายความซับซ้อนบางอย่าง"ข้าอาจจะอยากเป็นจอมมาร มีพลังอำนาจเหนือสิ่งใดก็ได้""ข้าว่าท่านคงไม่ทำเช่นนั้นหรอก ข้ารู้ดี"นางยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขาไป๋เทียนหลงพยักหน้าเบา ๆ แต่ในแววตาคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย เขาเหลือบไปเห็นบางสิ่งที่อยู่ข้างหลังนาง"เจ้าอย่าขยับ!" เขาสั่งเสียงเข้ม ก่อนพุ่งเข้ามาบังนางจากบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล
การเดินทางสู่หุบเขากระดูกขาวเริ่มต้นขึ้น ทันทีที่ทั้งสี่คนลงมาถึงตีนเขา มู่หลินมองไปยังเส้นทางข้างหน้าก่อนเอ่ยเตือนทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย เราจะต้องผ่านด่านมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ด่านหุบหมอกมายา ด่านหุบเขาอสรพิษ ด่านหุบเขาเทพ และผ่านอีกหลายด่านกว่าจะถึง หุบเขากระดูกขาว ทุกเส้นทางล้วนท้าทายมีบททนสอบและเสี่ยงตาย ขอให้ทุกคนระวังตัวให้ดี”“เข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัว”เสียงตอบรับดังขึ้นอย่างมั่นใจ แต่นั่นกลับเป็นเสียงของบุรุษที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพวกเขามู่หลินเบิกตากว้าง หันขวับไปมองต้นเสียง เช่นเดียวกับเซียวหานและซิวเหยาที่เตรียมชักกระบี่ออกมา“ไป๋เทียนหลง!?”ดวงตาของมู่หลินฉายแววประหลาดใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างเห็นได้ชัด“ท่านมาได้อย่างไร?”นางทักทายเขาพร้อมกับแนะนำเขาให้ศิษย์พี่ของนางได้รู้จัก“ศิษย์พี่ทั้งสอง นี่คือไป๋เทียนหลงที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง”เซียวหานยังคงจ้องเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ส่วนซิวเหยานั้นแทบจะพุ่งเข้าหาด้วยความเข้าใจผิด หากมู่หลินไม่เอ่ยเตือนเสียก่อนไป๋เทียนหลงพยักหน้าทักทายพวกเขา ก่อนเอ่ยแนะนำชายร่างสูงในอาภรณ์สีดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง“
ณ เขาไท่ซวน...ทุกคนร้อนใจถึงการหายตัวไปของมู่หลิน จึงกระจายกำลังกันค้นหาอย่างเร่งรีบ ทว่า..."อาจารย์ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้ทุกคนชะงักหันไปมองนักพรตอี้เซียนหันขวับ สีหน้าเคร่งเครียดทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง"มู่หลิน! เจ้าไปที่ใดมา?! ทำไม...!"สีหน้าของนักพรตเปลี่ยนไปทันที ดวงตาเฉียบคมจับจ้องมู่หลินอย่างไม่ละสายตา พลังอันดำมืดบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากตัวศิษย์หญิงของเขามู่หลินชะงักไปเล็กน้อย มองอาจารย์ด้วยความสงสัย"อาจารย์ อะไรกันหรือเจ้าคะ?""กลิ่นอายมาร... ทำไมทั่วทั้งตัวเจ้าถึงมีพลังมารที่รุนแรงเช่นนี้?! เจ้าไปที่ใดมา?! ตอบข้าบัดเดี๋ยวนี้!!" นักพรตอี้เซียนเสียงเข้มกว่าปกติมู่หลินกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบ"ข้าถูกจอมมารจับตัวไป... ที่หุบเขาจอมมาร..."บรรยากาศเงียบงันลงทันที"เจ้าว่าอะไรนะ?!"แววตาของนักพรตฉายความตกใจปนระแวดระวัง เขาจ้องมองศิษย์ของตนราวกับกำลังมองหาความผิดปกติบางอย่าง"นี่เป็นเรื่องใหญ่! ทำไมพวกเขาถึงปล่อยเจ้ากลับมา?!"มู่หลินเม้มริมฝีปาก นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ "ข้า... ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ"นักพรตอี้เซียนสูดหายใจลึก สี
หุบเขาจอมมาร…“พี่มู่หลิน!” เสียงใสของไป๋เยี่ยนดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มดีใจ เมื่อเห็นสหายที่คุ้นเคย“ไป๋เยี่ยน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มาที่นี่นานแล้วหรือยัง?”มู่หลินถามพลางจับไหล่นางเบาๆไป๋เยี่ยนถอนหายใจแล้วเล่าเสียงแผ่ว“ข้ากำลังจะไปแจ้งข่าวกับอาจารย์ของท่าน แต่ระหว่างทางเจอโจรป่า ดีที่องครักษ์ของพี่ใหญ่ช่วยไว้ แต่ว่า...พวกเขากลับจับข้ามาที่นี่แทน”มู่หลินขมวดคิ้วแน่น ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้น“ป่านนี้อาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลายต้องเป็นห่วงข้าแล้ว”สายตาของนางตวัดไปมองไป๋เทียนหลงที่ยืนสงบนิ่งอยู่มุมห้อง ราวกับไร้ความรู้สึก“ท่านจอมมาร! ท่านจับน้องสาวตนเองมาทำไม? นี่หรือคือหัวใจของพี่ชาย ช่างอำมหิตนัก!”น้ำเสียงของนางแข็งกร้าว ขณะที่ไป๋เยี่ยนรีบสะกิดแขนมู่หลินเป็นเชิงปรามไป๋เทียนหลงมองนางนิ่ง ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ“ที่ข้าพาเจ้ามารักษาที่นี่ เจ้ากลับว่าข้าอำมหิตหรือ?”“ใช่! ต่อให้ท่านช่วย แต่ไม่ยอมให้คนติดต่ออาจารย์ข้า ป่านนี้อาจารย์ของข้าต้องตามหาข้าทั่วแล้ว”มู่หลินกล่าวไป๋เทียนหลงแค่นเสียงเย็นชา“ไม่ต้องห่วง ข้าให้คนไปส่งพวกเจ้าพรุ่งนี้”ไป๋เยี่ยนลังเลก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา“พี่ใหญ่... ท่านพ่
หุบเขาจอมมาร…“นี่ท่านจับข้ามาขังไว้ที่นี่เป็นเวลาสามวันแล้วนะ! ถ้าพี่ใหญ่ข้ารู้เรื่องนี้ ท่านจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่!” ไป๋เยี่ยนจ้องเขม็งไปยังบุรุษชุดดำตรงหน้าเฮยเฟิง องครักษ์ผู้ภักดีแห่งจอมมาร กลับยิ้มมุมปากอย่างใจเย็น เขาชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าที่โกรธจนแก้มแดงเรื่อ ทว่ายิ่งเธอขัดขืน ความน่าเอ็นดูก็ยิ่งเพิ่มขึ้น“นี่เจ้ายังไม่รู้หรือ ว่าข้าได้แจ้งเรื่องนี้กับท่านจอมมารแล้ว และท่านจอมมารเองก็สั่งให้ข้าจัดการกับเจ้าเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“อย่าให้ข้าออกไปได้เชียว! ข้าจะไปฟ้องพี่มู่หลินให้มาจัดการเจ้า!” ไป๋เยี่ยนกัดฟันกล่าวอย่างขุ่นเคือง ดวงตาเป็นประกายโกรธจัดเฮยเฟิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเธอ“พี่มู่หลินของเจ้า ป่านนี้... ท่านจอมมารของข้าคงกำลังทำให้เขามีความสุขไปแล้ว....คงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้แล้ว”ไป๋เยี่ยนชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?! ข้าจะไปหาพี่มู่หลิน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ องครักษ์บ้า!”เฮยเฟิงยืนกอดอก มองหญิงสาวที่ดิ้นรนอย่างขบขัน“ท่านจอมมารมอบหมายให้ข้าดูแลเจ้า หากขัดใจข้า ข้าสามารถ 'จัดการ' ได้ทันที” เขาเน้นคำสุดท้ายชัดถ้อย
หุบเขาจอมมาร…ม่านหมอกจางลอยเหนือหุบเขาจอมมาร ฟ้าถูกบดบังด้วยเงาเมฆครึ้ม แสงจันทร์ส่องประกายลงมายังกลางหุบเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงสตรีร่างบางระหงนอนอยู่บนแท่นบรรทมของจอมมาร แก้มขาวซีดของนางดูอ่อนแรง แต่ยังคงความมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างประหลาดไป๋เทียนหลงนั่งมองนางนิ่งนาน แววตาคมกริบของเขาฉายแววสับสน เหตุใดกัน…เหตุใดเขาจึงรู้สึกผูกพันกับนางลึกล้ำถึงเพียงนี้ เขาไม่อยากเห็นนางเจ็บปวดทันใดนั้น มู่หลินกระอักเลือดออกมา สีแดงเข้มไหลเปรอะริมฝีปาก“มู่หลิน เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง เจ็บตรงไหน บอกข้า” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“เจ้าช่วยข้าไว้ทำไม…” นางเอ่ยเสียงแผ่ว“…ใยไม่ฆ่าข้าให้ตายเสียตั้งแต่ที่จวนนั้นเลย พาข้ามาที่นี่ทำไม”ไป๋เทียนหลงนิ่ง ดวงตาฉายแววสำนึกผิด เขาเอื้อมมือไปหมายจะเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนาง แต่มู่หลินเบือนหน้าหนี“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเจ้า ข้าขอโทษ”“จอมมารเช่นเจ้ามีคำขอโทษด้วยรึ ข้าขันนัก”นางแค่นหัวเราะแม้ร่างกายจะอ่อนแรงเขาถอนหายใจแผ่วเบา“ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า หายดีเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน เจ้ากินยาก่อน”ไป๋เทียนหลงยื่นยาถ้วยหนึ่งให้นาง แต่มู่หลินสะบั