หุบเขาจอมมาร…
“พี่มู่หลิน!” เสียงใสของไป๋เยี่ยนดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มดีใจ เมื่อเห็นสหายที่คุ้นเคย
“ไป๋เยี่ยน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มาที่นี่นานแล้วหรือยัง?”
มู่หลินถามพลางจับไหล่นางเบาๆ
ไป๋เยี่ยนถอนหายใจแล้วเล่าเสียงแผ่ว
“ข้ากำลังจะไปแจ้งข่าวกับอาจารย์ของท่าน แต่ระหว่างทางเจอโจรป่า ดีที่องครักษ์ของพี่ใหญ่ช่วยไว้ แต่ว่า...พวกเขากลับจับข้ามาที่นี่แทน”
มู่หลินขมวดคิ้วแน่น ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้น
“ป่านนี้อาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลายต้องเป็นห่วงข้าแล้ว”
สายตาของนางตวัดไปมองไป๋เทียนหลงที่ยืนสงบนิ่งอยู่มุมห้อง ราวกับไร้ความรู้สึก
“ท่านจอมมาร! ท่านจับน้องสาวตนเองมาทำไม? นี่หรือคือหัวใจของพี่ชาย ช่างอำมหิตนัก!”
น้ำเสียงของนางแข็งกร้าว ขณะที่ไป๋เยี่ยนรีบสะกิดแขนมู่หลินเป็นเชิงปราม
ไป๋เทียนหลงมองนางนิ่ง ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ
“ที่ข้าพาเจ้ามารักษาที่นี่ เจ้ากลับว่าข้าอำมหิตหรือ?”
“ใช่! ต่อให้ท่านช่วย แต่ไม่ยอมให้คนติดต่ออาจารย์ข้า ป่านนี้อาจารย์ของข้าต้องตามหาข้าทั่วแล้ว”
มู่หลินกล่าว
ไป๋เทียนหลงแค่นเสียงเย็นชา
“ไม่ต้องห่วง ข้าให้คนไปส่งพวกเจ้าพรุ่งนี้”
ไป๋เยี่ยนลังเลก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“พี่ใหญ่... ท่านพ่อสำนึกผิดแล้ว ท่านให้อภัยท่านพ่อได้หรือไม่?”
ไป๋เทียนหลงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไป๋เยี่ยนด้วยสายตาเยือกเย็น มู่หลินสังเกตเห็นว่าภายใต้แววตานั้นแฝงไว้ด้วยความปวดร้าว
“เจ้าไม่เป็นข้า เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจ” เสียงของเขาเย็นเฉียบ ราวกับมีดที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจไป๋เยี่ยน
“และต่อไป อย่าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อีก ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋อีกแล้ว”
ไป๋เยี่ยนตัวสั่น น้ำตาเอ่อคลอ นางพยายามฝืนใจไม่ให้เสียงสั่นไหว
“ไม่เกี่ยวข้อง? แต่ท่านยังใช้ชื่อไป๋เทียนหลง! นี่เรียกว่าตัดขาดแล้วจริงหรือ?”
ไป๋เทียนหลงหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนเปิดออกอีกครั้งราวกับตัดสินใจแน่วแน่
“ไป๋เทียนหลง... เป็นชื่อที่ท่านแม่ตั้งให้ เป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะรักษาไว้”
“พี่ใหญ่...”
ไป๋เยี่ยนเอื้อมมือไปหาเขา แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงแผ่นหลังที่หันเดินจากไปอย่างเย็นชา
มู่หลินเห็นไป๋เยี่ยนยืนกำมือแน่น น้ำตาร่วงเงียบๆ นางจึงก้าวเข้ามาลูบไหล่ปลอบเบาๆ
“ไป๋เยี่ยน... พอเถอะ ไว้ค่อยเป็นค่อยไป”
ไป๋เทียนหลงไม่หันกลับมาอีกเลย ร่างสูงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงความเย็นเยียบของความสัมพันธ์ที่แตกสลาย...
“ไว้เราออกจากที่นี่ได้เมื่อไร เราค่อยมาหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไปด้วยกันนะ”
มู่หลินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ไป๋เยี่ยนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“พี่มู่หลิน… ข้ากลัวเหลือเกิน กลัวว่าพี่ชายข้าจะกลายเป็นจอมมารอย่างเต็มตัว…จนไม่เหลือความเป็นคน”
มู่หลินยกมือแตะไหล่ของไป๋เยี่ยนเบาๆ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อฉุดรั้งพี่ชายของเจ้าไว้ ข้าจะไม่ยอมให้เขาตกสู่ความมืดมิดโดยเด็ดขาด”
ไป๋เยี่ยนเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านกับพี่ชายข้า…รู้จักกันมานานแล้วหรือ”
มู่หลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มจางๆ ดวงตาของนางฉายแววคิดถึง
“เราเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง… แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนผูกพันกับเขาอย่างประหลาดมากเสียจนบางครั้งข้าคิดว่า…เขาอาจเป็นคนรักของข้าในชาติก่อน”
ไป๋เยี่ยนเบิกตากว้าง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ข้าว่า…บางที่นี่อาจเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่ทำให้พี่ทั้งสองได้มาพบกัน…และครองรักกัน”
“ข้าหวังว่าจะช่วยไม่ให้เขาเป็นจอมมารได้สำเร็จ เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นโลกนี้ต้องเดือดร้อนเป็นแน่”
เมื่อรุ่งสาง..
"ท่านจอมมารให้ข้ามาพาพวกเจ้าออกจากที่นี่" เฮยเฟิงกล่าวตามคำสั่ง
มู่หลินขมวดคิ้ว นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ
"แล้วทำไมเขาไม่มาบอกข้าด้วยตนเอง?"
"ท่านจอมมารติดภารกิจ ไม่สามารถมาได้" เ
ฮยเฟิงตอบเรียบๆ ก่อนผายมือเชื้อเชิญ
"พวกเจ้าตามข้ามาเถิด"
มู่หลินเม้มริมฝีปาก ก่อนพึมพำเบาๆ
"ขี้ขลาด... แค่จะมาส่งยังไม่กล้าเลย"
แม้นางจะบ่น แต่นางก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี
ที่มุมหนึ่งของหุบเขา ไป๋เทียนหลงยืนมองเงาร่างของมู่หลินที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ลึกลงไปในใจ เขารู้สึกใจหาย แต่นั่นจะสำคัญอันใด?
ระหว่างเขากับนาง… คงเป็นเพียงผลประโยชน์ คนเช่นเขาจะใครจะรักได้อีกเล่า? นอกจากมารดาของเขาที่ไม่อยู่บนโลกใบนี้ สุดท้าย… ปล่อยให้ชะตากำหนดทุกสิ่งก็พอแล้ว
วังจ้าวแห่งจอมมาร...
“จอมมาร ที่พ่อเรียกเจ้ามาเพื่อจะคุยเรื่องนางผู้นั้น ข้าสัมผัสได้ถึงมุกพลังจันทราของนาง”
จ้าวแห่งจอมมารตรัสอย่างสนใจ
“จากที่ข้าสัมผัสได้ นางน่าจะมี มุกพลังจันทรา จริง แต่การจะช่วงชิงมา เกรงว่าจะไม่ง่าย”
จ้าวแห่งจอมมารแสยะยิ้ม นัยน์ตาสีโลหิตเปล่งประกายเย็นเยียบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงเล่ห์กล
“มุกพลังจันทราไม่ใช่สิ่งที่ใครจะแย่งชิงได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่า... เจ้าของจะเต็มใจมอบให้ด้วยความยินดี”
เขาหยุดสายตาไว้ที่ไป๋เทียนหลง มองลึกลงไปในดวงตาของบุตรบุญธรรมราวกับจะมองทะลุถึงหัวใจ
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?” ไป๋เทียนหลงขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความสงสัย
จ้าวแห่งจอมมารหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงอำนาจ
“ตัวเจ้าก็มีเสน่ห์ไม่น้อย หากเจ้าทำให้นาง รัก เจ้าแล้วมอบมุกพลังจันทราด้วยความเต็มใจ ก็มิต้องเสียแรงแย่งชิง... เจ้าพร้อมจะร่วมมือกับข้าหรือไม่?”
ไป๋เทียนหลงเม้มปากแน่น ลังเลเพียงครู่เดียว ก่อนจะเอ่ยเสียงหนัก
“ท่านพ่อ... ข้า...”
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องสมรสกับธิดามาร ข้าสามารถเลื่อนออกไปได้”
จ้าวแห่งจอมมารกล่าวเสียงเย็น
“แต่มีเงื่อนไขสำคัญ เจ้าต้องห้ามหลงรักแม่นางผู้นั้นเป็นอันขาด!”
ไป๋เทียนหลงกำหมัดแน่น ดวงตาแข็งกร้าว
“ไม่มีทางที่ข้าจะมีใจให้ผู้ใด ในชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีรัก!”
“ดีมาก”
จ้าวแห่งจอมมารพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่อย่างไรเสีย เจ้าก็ต้องแต่งงานกับธิดามาร เพื่อให้กำเนิดทายาทแห่งมาร เวลาของข้าเหลือไม่มาก... ข้าต้องมั่นใจว่ามารรุ่นต่อไปจะแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ใด”
ไป๋เทียนหลงก้มศีรษะต่ำ
“ข้าจะพยายาม ท่านพ่อ”
จ้าวแห่งจอมมารยิ้มมุมปาก ก่อนทอดเสียงเรียบ
“นอกจาก มุกพลังจันทรา ที่สามารถทำให้มารเป็นอมตะ ยังมี หอกสวรรค์จันทรา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ ที่จะทำให้ไม่มีเทพหรือมนุษย์หน้าไหนสังหารเจ้าได้”
ไป๋เทียนหลงเงยหน้าขึ้นทันที
“แล้วมันอยู่ที่ใด ท่านพ่อ?”
“หุบเขากระดูกขาว” จ้าวแห่งจอมมารตอบ
“แต่เจ้าต้องพาแม่นางผู้นั้นไปด้วย นางจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดผนึกหอกสวรรค์จันทรา”
ไป๋เทียนหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงของจ้าวแห่งจอมมารจะกดต่ำลง
“...แต่หากเจ้าขัดคำสั่งข้า เจ้ารู้ดีว่าข้าจะทำเยี่ยงไรกับคนทรยศ”
ร่างสูงชะงักงัน ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น
“ข้าไม่มีวันทรยศท่าน! ท่านเป็นผู้ให้ชีวิตแก่ข้า!”
รอยยิ้มพึงพอใจแต้มบนใบหน้าของจ้าวแห่งจอมมาร เขากวักมือเรียก
“มาใกล้พ่อสิ... จอมมารของพ่อ”
ไป๋เทียนหลงก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล จ้าวแห่งจอมมารเสก ยาโอสถสีชาดขึ้นมา ก่อนยื่นให้
“ยาบำรุงพลัง จงกินเสีย”
ไป๋เทียนหลงรับมาอย่างเชื่อฟัง ดื่มลงไปในคราเดียว
เขาไม่เคยสงสัยในตัวจ้าวแห่งจอมมาร เพราะนอกจากแม่ของเขาแล้ว ก็มีเพียงบุรุษตรงหน้าเท่านั้นที่รักและเลี้ยงดูเขามาแต่เด็ก
...แต่หารู้ไม่ว่า ยาที่เขากลืนลงไปนั้นคือ พิษกลืนวิญญาณ
พิษร้ายที่มัดขังดวงจิตของผู้ที่กินเข้าไป หากฝืนคำสั่ง เจ้าของพิษสามารถกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะสับสน หลงลืมตัวตน... และสุดท้าย กลายเป็นเพียง หุ่นเชิด ที่ไร้จิตวิญญาณ!
แสงแดดอ่อนของยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยอุ่นสบาย ทว่าหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อดวงตาคู่งามเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆจางเจียว ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอยในวินาทีแรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเธอหันไปทางเตียงข้าง ๆ ...เธอเห็นเขา - กู้เหยี่ยนนอนอยู่ที่ ใบหน้าซีดจางแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยน และที่สำคัญ... ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขารักเธอเขายิ้ม...เธอไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป“ขอบคุณ...”เสียงของเธอสั่นเครือเมื่อพูดออกมา“ขอบคุณที่คุณยังรักษาสัญญา…”“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันกับลูกไป… กู้เหยี่ยน คนบ้า…”น้ำตาของเธอไหลลงช้า ๆ ขณะที่รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเธอไม่สนว่าตัวเองยังเพิ่งฟื้น ไม่สนแม้ร่างกายยังอ่อนแรง เธอรีบลุกจากเตียง เดินตรงเข้าไปหาชายคนที่เธอเกือบเสียไปตลอดกาลกู้เหยี่ยนยื่นมือออกมา...และเธอก็ทิ้งตัวลงกอดเขาแน่นทั้งน้ำตา“คุณรู้ไหม... ใจฉันแทบสลายตอนรู้ว่าคุณไม่หายใจ... ฉันกลัว... กลัวจนแทบจะตายตามคุณไป…”มือของเขาลูบผมเธอเบา ๆ จ้องมองเธอไม่ละสายตา“ผมต้องพยายามกลับมาให้ได้... เพราะผมสั
ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกหนัก พายุคำรามราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ประธานกู้ขับรถออกจากบ้านด้วยหัวใจอัดแน่นด้วยความกังวลเร่งรีบรถแน่นออกไปได้ไม่เกินสอบนาที เสียงล้อบดถนนดังกึกก้อง กระจกรถข้างหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง เสียงเหล็กบิดเบี้ยวดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนรถทั้งคันตีลังกาคว่ำสองตลบใครที่ผ่านไปพบเห็น ต่างพากันคิดว่าคนในรถคงไม่มีทางรอด...ในเวลาเดียวกันนั้นจางเจียว ยังนั่งรอฟังข่าวของลูกชายของ ดร.จอห์น ด้วยใจสั่นระรัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝันร้ายที่เธอไม่เคยคาดคิด“คุณนายค่ะ... ประธานกู้รถคว่ำค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน!”มือของจางเจียวสั่นระริก ใบหน้าเธอซีดเผือดก่อนเสียงสะอื้นแรกจะหลุดลอดริมฝีปากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ไม่นะ... ไม่นะ... ฮือ ฮือ ฮือ... คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปนะ... ได้โปรดกลับมาหาพวกเรานะคะ... ที่รัก...”โรงพยาบาลบรรยากาศในโรงพยาบาลเงียบงันแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนแห่งความวิตก ทุกคนต่างมารวมตัวกันเฝ้ารอฟังผลจากห้องฉุกเฉิน ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวังผสมความสิ้นหวังจางเจียว นั่งนิ่งอยู่
หลังจบทริปบริษัท บรรดาพนักงานต่างเดินทางกลับด้วยรถบัส ขณะที่ประธานกู้และประธานสื่อต่างให้คนขับรถส่วนตัวมารับกลับอย่างเงียบๆกู้เหยี่ยนเลือกพาจางเจียว ไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเล ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกกุหลาบสีขาวที่เบ่งบานงดงามทั่วบริเวณทันทีที่จางเจียวก้าวลงจากรถหรู สายตาเธอก็ทอดมองไปทั่วสวนอย่างประทับใจ“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ...”เสียงเธอเบาแต่นุ่มนวลเขายิ้มบาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ผมสั่งให้เขาจัดสวนนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว...ผมทำเพื่อคุณนะ”เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน“ขอบคุณที่ใส่ใจฉันนะคะ...มันสวยจริงๆ”“ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ เดือนหน้าเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...ผมเฝ้ารอวันนั้นทุกลมหายใจเลย”“แต่ถ้าเราแต่งเร็ว คุณอาจไม่มีอิสระอีกนะ...”เธอพูดด้วยความลังเล“ผมไม่ต้องการอิสระอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”เธอยิ้มละมุน หัวใจพลันอ่อนลงกับคำพูดอ่อนโยนนั้น“ปากหวานจริงนะคะ...”“เข้าบ้านกันเถอะครับ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้จางเจียวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันถึงขั้นบันได เธอกลับเซไปเหมือนจะวูบกู้เหยี่ยนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าประคองแล
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของพนักงานที่ทำผลงานยอดเยี่ยมตลอดไตรมาส บริษัทกู้กรุ๊ปจึงจัดทริป “สานสัมพันธ์” ที่รีสอร์ตริมทะเล 3 วัน 2 คืน โดยมีพนักงานจากทุกแผนกเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือ…ประธานใหญ่ กู้เหยี่ยน ตอบตกลงเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง!พร้อมกับพา จางเจียว เลขาสาวคนสนิท ที่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เลขา แต่เป็นว่าที่คุณนายกู้นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษจากบริษัทพันธมิตร ประธานสือและแฟนสาว หลินหลินที่เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ก็ขอตามมาร่วมแจมด้วยเช่นกันเช้าวันเดินทาง รถบัสสองคันจอดรออยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ พนักงานต่างถ่ายรูป เช็กอิน และโพสต์ภาพกันอย่างคึกคักประธานกู้เดินลงจากรถหรู พร้อมลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังรถบัสในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา แตกต่างจากภาพลักษณ์ประธานเย็นชาที่เห็นในห้องประชุมโดยสิ้นเชิงข้างกายคือจางเจียว ในเดรสยาวสีขาว สายเดี่ยวมัดโบว์ เผยให้เห็นความสดใสน่ารักอย่างล้นเหลือ“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?”เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเสียงเฮดังลั่นทันที พร้อมเสียงแซวเบา ๆ“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าประธานจะไปแล้วค่า~”ไม่นาน รถยนต์หรูอีกคันก็จอด
“ไหนใครบ่นคิดถึงผม?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาหลินหลินสะดุ้งเธอหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของ ประธานสือ ยืนไขว้ขาพิงกรอบประตู ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นไร้ขอบที่มองมาไม่วางตาสูทสีดำหรู เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนเพียงเม็ดเดียว เผยช่วงอกแน่นล่ำพอให้ใจเต้น เส้นผมเซตอย่างลวก ๆ แต่กลับดูดี“ประธานสือ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”เธอรีบวางแก้วกาแฟ ตาโตด้วยความตกใจ เขิน และ...หงุดหงิดเขาเดินเข้ามาใกล้ หยุดตรงหน้าเธอโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เปิดดูแชทหลายรอบแล้วใช่ไหม? ผมเห็นตั้งแต่คุณถอนหายใจรอบแรก”“คุณ...แอบดูฉันเหรอ?!”“ก็คุณชอบทำตัวให้น่าจับตามอง”หลินหลินอ้าปาก แต่พูดไม่ออก ความเขินตีขึ้นหน้าแดงจัด ขณะมือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ“ก็คุณไม่โทร ไม่ตอบแชท ฉันก็นึกว่าคุณไม่สนใจ...”“แบตหมดตอนประชุมครับ”เขาตอบ พร้อมยื่นมือถือให้ดูเธอชะงักไปชั่วครู่... แต่ก็ไม่ยอมให้เขาชนะง่าย ๆ“ก็ได้ งั้นฉันไม่โกรธก็ได้”เขายิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหู“ต่อให้คุณโกรธ ผมก็ตามง้ออยู่ดี”น้ำเสียงของเขานุ่มลึก แฝงแรงปรารถนาบางอย่างก่อนกระซิบข้าง ๆ ใบหูของเธอ“คืนนี้...ไปกินข้าวที
บริษัทตระกูลกู้ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของอาคารจางเจียวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางไล่ดูเอกสารอย่างตั้งใจ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านโปร่งบางสร้างบรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบเหงาเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก๊อก... ก๊อก..“ขออนุญาตค่ะคุณจาง ประธานกู้สั่งให้เอานี่มาให้ค่ะ”เลขาซูเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม ในถาดมีเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่มกับชาผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเมนูโปรดของจางเจียวทั้งคู่ เธอวางถาดลงตรงหน้าจางเจียวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู”“ยินดีค่ะ ตั้งแต่คุณจางเข้ามาทำงานที่นี่…ประธานของเราก็อารมณ์ดีขึ้นมากเลยค่ะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเลย”เลขาซูพูดยิ้ม ๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ“แน่นอนอยู่แล้วครับเลขาซู...”เสียงทุ้มอบอุ่นของกู้เหยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง“…ก็ผมได้อยู่ใกล้ว่าที่ภรรยา จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ”“อุ๊ย! ท่านประธาน...”เลขาซูยกมือปิดปาก ยิ้มเขินแต่ไม่ลืมโค้งให้เบา ๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องอย่างรู้จังหวะ“เลขาซู เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ห้ามมีใครรบกวนผมนะครับ”“รับทราบค่ะท่านประธาน”จางเจียวยิ้มเขิน แก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น เธอแสร้งก้มหน้