มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ฟัง
วันที่ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนี้เพียงลำพัง ในเวลาที่ผมเบื่อเกินกว่าจะทำอะไร ผมพาตัวเองมาหากิจวัตรเดิมๆที่ต้องใช้ในเวลาที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ
ผมไม่ได้จินตนาการถึงคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านด้วยชุดทำงานทะมัดทะแมงคนนั้น เขามีส่วนให้ผมคิดถึงบ้างก็จริง แต่เหตุผลหลักเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ผมนอนไถหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ในห้องส่วนตัวปิดมิดชิดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เอนหลังพิงหัวเตียง แผ่นหลังและต้นคอของผมโค้งงอในท่าที่นักกายภาพบำบัดจะต้องโกรธ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมสนแต่การเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น
มันไม่ใช่ความปรารถนาที่หาทางออกไม่ได้ มันไม่ใช่อะไรที่เข้มข้นปานนั้น เป็นเพียงความเคยชินที่วูบผ่านมาผ่านไปในชีวิตของผมโดยทิ้งร่องรอยเพียงเบาบางเอาไว้ ผมเลื่อนนิ้วกดดูคลิปที่ตนสนใจ ปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์ของตัวเองด้วยความเต็มใจ เม็ดเลือดเดินทางเร็วรี่อยู่ในร่างกาย มันรวมกันก่อการประท้วง ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วล้วงมือเข้าไปในกางเกง ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ในขวดแก้วใบเล็ก ทิ้งน้ำหนักและกดนวดในจุดที่ปรารถนา ไม่นานขวดแก้วใบนั้นก็แตกกระจาย นำความสุขสมมาแก่ร่างกายอ่อนเปลี้ยของผม
ผมเข้าใจว่านั่นคือความเคยชินของร่างกาย และการช่วยตัวเองก็เพียงพอ
กระทั่งความใกล้ชิดในเนื้อหนังมังสาร้อนๆ ของคนคนนั้นสร้างความปั่นป่วนให้ผมมากเข้า ผมก็โลภขึ้น สิ่งที่เคยเพียงพอจึงกลายเป็นไม่พอขึ้นมา
ฝ่ามืออุ่นหนาของพี่วศินลูบไล้แผ่นหลังของผมยามที่เขาแนบริมฝีปากลงมา รสชาติของไวน์ยังแนบสนิทอยู่ในโพรงปากของเรา รสจูบชวนให้มึนเมายิ่งกว่ายามที่ผมดื่มกินมันเข้าไปโดยตรง ร่างกายใหญ่โตของเขาทาบทับ สองมือหนาประคองใบหน้าของผมเอาไว้อย่างมั่นคงเสียจนผมขยับไปไหนไม่ได้นอกจากเขาจะต้องการ นิ้วมือร้อนเหล่านั้นทาบลงบนใบหน้าและศีรษะของผม มันใหญ่จนแทบจะปิดหน้าผมได้หมด แล้วมันก็ร้อนเหมือนเรียวลิ้นที่รุกเข้ามาพัวพันอยู่ในปากผม ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกินมากกว่ากำลังจะมีเซ็กส์
น่าตลกที่ความรู้สึกนั้นทำให้ผมตื่นตัวยิ่งกว่าปกติ ผมอยากโดนเขากินให้หมดจด จนแม้แต่เสี้ยวเดียวก็ไม่หลงเหลือไว้บนโลกใบนี้
ผมกดนิ้วมือลงบนหน้าอกของเขา บีบคลึงมันผ่านเนื้อผ้า มวลกล้ามเนื้อที่ผมสัมผัสได้หนั่นแน่นเต็มมือ ผมวนนิ้วหาจุดปลายยอดของมันด้วยแรงขับเคลื่อนที่ไม่ได้มาจากสมอง ริมฝีปากที่บดเบียดจึงได้ผละออกจากกันยามที่ผมหาปลายตุ่มแข็งนั้นเจอ
ใบหน้าของพี่วศินไม่ใช่อะไรที่ผมเคยจินตนาการถึง เขาคาดโทษ “หมิงอย่าซนสิ”
เขาว่าผมแบบนั้น แต่ฝ่ามือของเขาบีบก้นผมเสียแรงเลยทีเดียว ผมไม่หยุดการกระทำของตัวเองแล้วยังต่อปากต่อคำ “ไม่ให้ซนตอนนี้แล้วจะให้ซนตอนไหนล่ะครับ”
“ทำไมหมาตัวนี้มันดื้อจัง” เขาดุ มือของพี่วศินยังบีบนวดไม่หยุด
“เจ้าของไม่พาไปเดินเล่นมันก็เลยจะดื้อบ้างแหละ” ผมเย้าแหย่ งับริมฝีปากล่างของเขาจนมันยื่นออกมา เขาจับผมจูบต่อเหมือนขี้เกียจจะเถียงไร้สาระ
โซฟาเบดตัวนี้ไม่ได้ใหญ่พอให้ผู้ชายตัวสูงสองคนกลิ้งไปมา พี่วศินจึงลุกขึ้นนั่งแล้วจับผมให้ลุกขึ้นตาม เขาดึงตัวผมไปไว้บนตัก ร่างกายเราแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของอีกฝ่ายแม้จะมีกางเกงผ้าของเรากั้นกลาง บั้นท้ายของผมทิ้งน้ำหนักลงบดเบียดความร้อนเบื้องล่างของเขาราวกับการเสียดสีจะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ ผมหวามไหวอยู่ในท้องเมื่อโดนขบกัดบริเวณต้นคอ ฝ่ามือเขาซุกเข้าใต้เสื้อยืด สำรวจร่างกายใต้ร่มผ้าของผม
ผมอยากจะทำอะไรบ้าง แต่เพราะนั่งหันหลังให้เขาผมจึงทำอะไรไม่ได้ดั่งใจนัก ได้แต่ปล่อยให้มือปลาหมึกคู่นั้นลากเลื้อยไปตามอำเภอใจ ฝ่ามือคู่นั้นหมกมุ่นอยู่กับยอดอกของผมเหมือนจะเอาคืน มันโดนบีบทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเสียววาบจนต้องจิกลงบนต้นขาพี่วศิน
กายผมสั่นระริกเหมือนจะทนไม่ไหว แต่คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังกลับเอาแต่ปรนเปรอผมอย่างไม่รู้จบ พี่วศินเลียติ่งหูด้านขวาของผมจนเผลอสะดุ้ง ยามที่ตื่นใจกับสัมผัสอันไม่คุ้นเคย มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้กลางกายของผมผ่านเนื้อผ้าอย่างหยาบโลน มันดุนดันผ่านกางเกงผ้าบางๆ มานานแล้ว ไม่รอให้ผมจัดการตัวเองเขาก็ยื่นมือเข้ามาเสียก่อน
สัมผัสที่ด้านหน้าทำให้ผมว้าวุ่น แต่ความร้อนที่ดุนดันบั้นท้ายผมอยู่กลับทำให้รุ่มร้อนยิ่งกว่า ผมพยายามเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องแกร่งของพี่วศินที่ด้านหลัง แต่เมื่อขยับลุกขึ้นเปลี่ยนท่าผมก็โดนวงแขนแข็งแรงข้างนั้นคว้าตัวกลับไปนั่งแหมะที่เดิม
“หมาดื้อ พี่ยังไม่ได้อนุญาตให้ขยับเลย” เขาหัวเราะร้ายกาจอยู่ข้างหู ทั้งที่ไม่อนุญาตแต่มือทั้งสองข้างของพี่วศินกลับไม่ได้ช่วยให้ผมอยู่เฉยๆได้อย่างที่เขาสั่ง ผมบิดกายตามแรงกระตุ้นจากฝ่ามือของเขาอย่างเหนือการควบคุม กางเกงผมถูกร่นลงไปใต้สะโพกตอนที่พยายามลุกขึ้นตอนนั้นเอง
ผมตัดใจเรื่องที่คิดจะสัมผัสเขา แล้วปล่อยให้เจ้านายสัมผัสตนเองอย่างที่เขาต้องการ ผมเอนกายพิงร่างหนาด้านหลัง เอี้ยวคอไปรับจูบที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่รู้เบื่อ ในขณะที่พี่วศินทำความรู้จักผมแทบทุกซอกทุกมุม กางเกงผ้าบางกับกางเกงในของผมก็ไหลไปกองอยู่ที่ข้อเท้าข้างหนึ่ง มือใหญ่แสนอุ่นข้างนั้นรับเอาตัวตนของผมไปกำไว้เต็มมือ เรานั่งอยู่กลางบ้านในท่วงท่าน่าอาย ตัวผมแทบจะเปล่าเปลือย เสื้อยืดถูกดึงขึ้นไปเหนือแผ่นอก แต่กระนั้นผมก็ไม่มีเวลาให้นึกละอายนัก เพราะเมื่อมือข้างนั้นขยับ ความรู้สึกทั้งมวลของผมก็ถูกเหวี่ยงไปราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ
พี่วศินทั้งขบกัดและเลียท้ายทอยผมจนเปียกชื้น มือข้างหนึ่งยังคงขยุ้มหน้าอกแบนของผมอย่างขยันขันแข็ง เสียงทุ้มต่ำกว่าปกติกระซิบข้างหูผมโดยเจ้าตัวไม่ได้หยุดมือ “หมิงหมิงหมาดื้อ จงใจมายั่วพี่ใช่มั้ย”
“อือ… เปล่าซะหน่อย” ผมเผลอแอ่นกายตามแรงอารมณ์
ฝ่ามือของพี่วศินลื่นและเปียกชื้น “หมานิสัยไม่ดี” เขาต่อว่าผมอีก เหมือนครั้งก่อนที่ความเผลอไผลพาเราไปไกลเกินเส้นกั้น
“ไม่ ฮือ ผมเป็นเด็กดี” ผมแย้ง หันไปจูบเขาอีกครั้งทั้งรอยยิ้มยั่วยุ “ผมแค่อยากให้เจ้านายมีความสุข”
ฝ่ามือข้างนั้นบีบแน่นเหมือนจะแกล้งกัน ผมรู้สึกจุกขึ้นมาจึงต้องประท้วง “เจ้านาย มันเจ็บ”
เขาคลายมือลง แต่ไม่ผ่อนความเร็ว เสียงเขาสั่นพร่า “ก็หมิงดื้อ”
ผมส่ายสะโพกตามความเร็วที่นำไป เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง “เจ้านายจะโทษผมคนเดียวไม่ได้นะ”
เขาไม่ยอมรับ เพียงหันมากดจูบผมจนปากบวมเจ่อ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาบีบหน้าอกผมอย่างแรงทิ้งรอยมือเอาไว้บนผิวขาว มืออีกข้างขยับแก่นกายจนมันสั่นกระตุก ปลายนิ้วของเขาขยี้ลงบนส่วนปลายเหมือนจงใจรังแก ผมงอตัวหนีเพราะความเสียวซ่านเกินจะรับ เหมือนอยู่บนรถไฟเหาะที่กำลังทิ้งตัวดิ่งลงจากที่สูง เมื่อตกลงมาก็สัมผัสได้ถึงของแข็งและร้อนที่บั้นท้าย บังเกิดความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง ผมตื่นใจกับขนาดของมันที่ใหญ่โตเหมือนกับร่างกายเจ้าตัว ไม่เพียงเท่านั้น เจ้านายผมยังขยับสะโพกตนเอง เบียดเจ้าสิ่งนั้นผ่านเนื้อผ้ากับก้นเปล่าเปลือยที่สั่นระริกของผมอีกต่างหาก ความรู้สึกยุบยิบเกิดขึ้นที่ช่องทางด้านหลัง ผมครั่นเนื้อครั่นตัว ใกล้จะเสร็จเต็มทีทั้งที่อีกฝ่ายยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยไม่ถอดเลยสักชิ้น
ผมรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่ร่างกายถูกล็อกเอาไว้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับตามใจ ความรู้สึกกระสันแล่นริ้วเข้าสู่แกนกลาง ผมไม่อยากให้มันเลอะเทอะบริเวณนี้เอาเสียเลย แต่เจ้าของบ้านไม่ได้กังวลเรื่องนั้น
ฝ่ามือร้อนแรงข้างนั้นขยับรัวเร็ว รูดรั้งกระทั่งผมเสร็จสม ผมสั่นกระตุก ของเหลวสีขาวพุ่งเข้าเต็มมือหนาที่รองรับมันเอาไว้ มันไหลย้อยออกมาจนเลอะไปถึงหน้าขา
ผมหอบหายใจ ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวพี่วศิน สิ่งที่ร้อนและแข็งยังคงกวนใจผมอยู่จากทางด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ชุ่มชื้นไปด้วยของเหลวจากร่างกายผมยังขยับบีบองคชาตที่อ่อนตัวลงไปเหมือนแกล้งกัน ผมดิ้นขลุกขลักพยายามหนีให้พ้นเจ้าของใจร้าย แต่แขนแกร่งข้างนั้นล็อกตัวผมเอาไว้แน่นเหลือเกิน
ผมตีมือเขาให้เขาหยุดแกล้งผมเสียที เอี้ยวตัวไปหาเขาที่นั่งอึดอัดอยู่ด้านหลัง “ให้ผมช่วยพี่บ้างสิ”
ผมแสดงความรับผิดชอบทั้งที่ยังเหนื่อย หันไปคร่อมลงบนคนตัวใหญ่แล้วโน้มตัวลงจูบ มือของผมยุกยิกพยายามรูปซิปกางเกงสแลคขายาว หน้าท้องสีแทนเผยสู่สายตา ผมดึงขอบกางเกงในสีเทาลงจนเห็นไรขนอ่อน พี่วศินหยุดจูบของผมด้วยจุ๊บเบาๆ ใช้มือข้างที่ไม่เลอะมาหยุดมือผมเอาไว้
“พี่ไม่มีถุงยาง” เขาพูดทั้งรอยยิ้มเรียบเฉย ดึงกางเกงในกลับที่เดิม ภายในนั้นดูอึดอัดใกล้ระเบิดเต็มที
“ใช้มือได้นะ” ผมชูมือ
“ไม่เอาดีกว่า” เขางับแก้มผม “มันจะไม่พอน่ะสิ”
“หรือปากก็ได้นะ” ผมชี้ปากตัวเอง
“ก็ไม่พอ” พี่วศินตีมือผมที่ชี้ปากตัวเองเบาๆ “เลิกยั่วเลยไอ้หมาดื้อ เดี๋ยวมาร้องโอดโอยทีหลังพี่จะซ้ำให้”
ผมหูตก อยากจะท้าว่ามันจะสักแค่ไหนกันเชียวแต่ดวงตาสีดำคู่นั้นบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ว่าแล้วเขาก็ยกผมวางข้างๆด้วยแขนข้างเดียว ก้มลงจูบปากผมอีกทีแล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ผมยักไหล่ สำรวจความเลอะเทอะบริเวณหน้าโซฟาแล้วไม่พบอะไรเสียหายจึงตัดสินใจพาร่างตัวเองไปทำความสะอาดในห้องน้ำชั้นล่างที่ใกล้กว่า ขอบคุณความใส่ใจของพี่เขาที่รู้ว่าคนตัวเลอะอย่างผมไม่ควรเดินโทงๆไปเข้าห้องน้ำไกลถึงชั้นบน
ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำผมก็สำรวจโซฟาอีกรอบ ไม่เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์อะไรแต่ผมก็เช็ดมันอยู่ดีเพื่อความสบายใจ แอลกอฮอล์ในเลือดของผมสิ้นฤทธิ์ไปนานแล้วจึงนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดได้อย่างชัดเจน ครั้งนี้ผมตัดสินใจเองจึงไม่มีอะไรให้ต้องอับอายหรือเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับรู้สึกขาดทุนสุดๆ ทั้งที่สุขสมสบายตัวอยู่คนเดียว ผมโดนเขาจับแก้ผ้าอล่างฉ่างในขณะที่เขายังแต่งตัวมิดชิด ยิ่งคิดยิ่งเสียดาย แล้วในตอนที่คิดไม่ออกว่าจะแยกย้ายเข้าห้องไปเลยหรือรอพี่วศินดี คนที่ผมคิดถึงก็เดินมาสวมกอดจากด้านหลังพอดี เป็นอ้อมกอดที่ทำให้ผมหนาวสะท้านอยู่ลึกๆ
ในอ้อมกอดเขาผมภาวนาอยู่ในใจ ขอให้เขาเห็นผมเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่ใช้แก้เหงาได้ เพราะผมก็ใช้เขาเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้น
“สบายตัวหรือยังล่ะ” ผมแซวเขา พยายามโฟกัสบทสนทนาให้อยู่ที่เรื่องกายภาพ
“ไม่ค่อยนะ” เขาบอกแล้วดึงผมนั่งลงข้างๆ พี่วศินโอบผมไว้หลวมๆ “ไว้พี่ต้องซื้อถุงยางมาติดไว้ซะแล้วสิ”
“ทะลึ่งอ้ะ” ผมหัวเราะ
“ก็ดันมีหมาติดสัด” เขาหรี่ตา พลางลูบแขนผมไปด้วย “เป็นเจ้าของต้องช่วยหมาเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
“พอดีหมาที่พี่เลี้ยงมันไม่ค่อยธรรมดาน่ะ” แววตาผมพราวระยับ
ผมอดไม่ได้ที่จะพูดจาอวดดี คิดไปเองว่าเขาคงจะโต้ตอบอะไรกลับมาบ้างหรือแสดงท่าทีเขินอาย ผิดคาด สิ่งที่ผมได้รับกลับมามีแต่สายตาว่างเปล่า
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจ “หมิงไม่อาย แต่บางทีพี่ก็อายนะ”
พี่พูดขนาดนี้ด่าผมตรงๆเลยก็ได้ครับ
“ตัวเองก็อยากเถอะทำมาพูด” ผมปั้นปึ่ง
“พี่อุตส่าห์อดทนเป็นเจ้านายที่ดีแท้ๆนะหมิง”
“เรื่องนี้ไม่ต้องทนก็ได้ครับ วินวิน” ผมชูสองนิ้ว ส่งรอยยิ้มไม่จริงจังให้เขาทีหนึ่ง
ดวงตาสีดำไหววูบไปนิดหนึ่ง เพียงชั่วแวบเดียวเขาจึงฉีกยิ้มมาให้ “ดูพูดเข้า โดนทำโทษแน่”
เราพูดคุย(และตบตี)สัพเพเหระกันไปเรื่อยโดยไม่มีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้งมาเกี่ยวข้องอย่างที่ผมหวัง ผมจึงบอกลาเขาแล้วกลับไปนอนห้องตัวเองอย่างสบายใจ
.
สองปีก่อน ตอนที่เพิ่งรู้จักกับพี่วศินไม่นาน ผมเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาสองต่อสองครั้งหนึ่ง วันนั้นพี่เจฟและพี่มะลิไม่ว่าง แล้วผมก็เพิ่งเลิกกับแฟนเก่าได้ไม่นาน คนน่าสงสารจึงเป็นพี่วศินที่ต้องมานั่งฟังผมระบายประวัติชีวิตรักตัวเอง
ตอนนั้นผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราน่าจะเป็นเพื่อนดื่มฉาบฉวยที่ไม่นานก็ห่างหายกันไป ผมจึงพูดอะไรไปเยอะแยะมากมายเหมือนคุยกับคนแปลกหน้าที่จะลืมเรื่องราวในสามวัน
ผมมีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง เธอเป็นเพื่อนสนิทที่ทำให้ผมใจเต้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ ผมห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ไหว สุดท้ายจึงข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปสำเร็จ เราคบกันอย่างเรียบง่ายอยู่เกือบปี แล้วก็เลิกกันเพราะผมเป็นเพื่อนที่ดีแต่ไม่ใช่แฟนอย่างที่เธอต้องการ เลิกกันไม่ถึงเดือนเธอก็เปิดตัวหนุ่มคนใหม่ ผมไม่โทษเธอ แต่ความไว้ใจในตัวมนุษย์ของผมถูกทำลายไปสองส่วนโดยไม่สามารถกู้คืนได้ ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าผมยังโอเคอยู่
แฟนคนที่สองของผมเป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ผมคิดว่าเราเป็นแฟนกัน แต่เขาคิดว่าผมเป็นแค่คู่นอน จริงๆแล้วผมไม่อยากนับไอ้หมอนี่ในรายชื่อแฟนเก่าสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง มันหล่อและผมก็ชอบมันมากๆตอนนั้น เรียกว่าหลงเลยก็ได้ ดีที่ตอนเลิกกันไอ้หมอนี่ทำผมไว้เจ็บแสบ ผมจึงพาตัวเองออกมาจากนรกแห่งการนอกใจแห่งนั้นได้
“เอ๊ะ หมิงเป็น..?” พี่วศินขัดขึ้นมาระหว่างผมระบายความในใจ เขาคงไม่ตั้งใจเลยเผลอยกมือปิดปากแบบนั้น
“เป็นไบครับ” ผมชูสองนิ้ว เศร้าเกินกว่าจะปิดบังเรื่องเพศ “ทำไม ขยะแขยงกลัวผมจะชอบพี่หรือไง”
“คิดไปเอง” พี่วศินแกล้งดีดหน้าผากแต่ผมหลบทัน “โดนคนทำไม่ดีใส่บ่อยเหรอ”
“ถ้าอายุประมาณพี่ก็บ่อยนะ” ผมหัวเราะ ตอนใครๆรู้ว่าผมเคยมีแฟนผู้ชายก็มักจะโดนทำหน้าแปลกๆใส่ ปกติผมก็เลยไม่ค่อยจะเล่าให้ใครฟังนัก ถ้าไม่ใช่สถานที่พิเศษอย่างร้านเก้าหนึ่งและฤทธิ์แอลกอฮอล์ผมก็คงไม่พูดมันออกมา
“แรงว่ะ อย่าเหมารวมได้มั้ย” เขาเอนหลังพิงพนัก ท่าทางไม่ได้ตื่นตกใจอะไรเป็นพิเศษ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นสามส่วน “ไม่ใช่ทุกคนจะมีอคติแบบนั้นหรอกนะ”
“ถ้าทุกคนเป็นได้อย่างพี่คงดี”
“พี่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก” เขายักไหล่
“ดูไม่ออกเลยอ้ะ” ผมหัวเราะเบาๆ “ดูผ่านๆยังไงก็คุณพ่อลูกสามรักครอบครัว”
“วอนเหลือเกินไอ้หมิง” เขาทำท่าทุบผมที่แซวเรื่องอายุอีกแล้ว
ผมรู้ว่าปัจจุบันเขาโสด เลยอยากละลาบละล้วงอดีตของอีกฝ่ายบ้าง “แล้วแฟนคนก่อนๆของพี่วศินเป็นไงบ้างอ้ะ”
“แฟนนี่ไม่มีนะ” เขาตอบไม่ยี่หระ
“จริงดิ” ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า คนแบบนี้ไม่เคยมีแฟนได้ไง
“เคยมีแต่แบบที่ไม่ใช่แฟนน่ะสิ” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ร่องรอยความร้ายกาจปรากฏออกมา
ผมเอนหลังกับพนักพิงบ้าง หัวเราะให้กับเสน่ห์เหลือร้ายของเขา “เหลือจะเชื่อ”
.
ผมไม่รู้ว่าไม่อคติของพี่วศินหมายถึงเขาก็มีรสนิยมทางเพศที่เปิดกว้างด้วยหรือไม่ แต่ตั้งแต่บทสนทนาครั้งนั้น ระหว่างผมกับพี่วศินก็มีบรรยากาศคลุมเครือปกคลุมมาตลอด เรารักที่จะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน ไม่สานสัมพันธ์อะไรที่ชวนให้ต้องแตกหัก แต่เราต่างไม่ได้ปิดประตูความเป็นไปได้ให้สนิท แอบเหลือพื้นที่น้อยๆเอาไว้ให้ความปรารถนาของตัวเองอยู่เสมอ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันศุกร์จึงไม่ใช่สิ่งที่ชวนให้ตื่นตกใจจนเกินไป
หรอกมั้ง
วันนี้เป็นวันหยุด พี่วศินหยุดอยู่ที่บ้านแต่ก็ยังเปิดคอมคอยสแตนบาย รับทุกสายที่ออฟฟิศโทรมา ส่วนผมตัดสินใจก้าวเท้าออกจากบ้านไปเจอแสงแดดบ้าง พอแต่งตัวเรียบร้อยผมก็บอกลาเจ้านายแล้วออกมาผจญภัย
(ผมไม่ได้หลบหน้าแต่อย่างใด)
คนกรุงเทพจะมีที่ไหนให้ไปมากนักนอกเสียจากห้างสรรพสินค้า ผมนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีห้าแยกลาดพร้าวเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุดในกรุงเทพ บริเวณชั้นใต้ดินมีคนคลาคล่ำ เพื่อนผมนัดไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในชั้นใต้ดินนี้เอง
เมจิเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยที่ผมทำงานโรงแรม เราสนิทกันเพราะมีรสนิยมคล้ายกันหลายอย่างทั้งดนตรีและการ์ตูน และเนื่องในโอกาสที่อนิเมะเรื่องโปรดเข้าโรงภาพยนตร์ประเทศไทย ผมและเมจิเลยนัดกันมาดูหนังที่นี่
เมจิอายุเท่ากันกับผม เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กพกพาง่าย หญิงสาวมาในชุดเสื้อวอร์มแขนยาวกับกางเกงยีนขาสั้นง่ายๆ หน้าผมก็แทบไม่แต่ง ผิดจากในเวลางานที่ต้องใส่ยูนิฟอร์มแต่งตัวเต็มรูปแบบ แต่เพราะแบบนั้นเมจิจึงยังดูเด็กกว่าวัยมาก ต้องขอบคุณพันธุกรรมที่มอบผิวสุดแข็งแรงให้เธอ ผมแทบไม่เคยเห็นเมจิมีปัญหาผิวเลย
“โรงแรมเป็นไงบ้าง” ผมถามระหว่างที่เรารออาหารมาเสิร์ฟ เราเลือกร้านที่คนไม่เยอะนัก
เมจิผู้ที่ออกจากงานพร้อมกันกับผมแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมโรงแรมอีกครั้งภายหลังตอบ “ก็โอเคนะ มันกลับมาอู้ฟู่เหมือนเดิมแล้ว ไม่สนใจกลับมาเหรอจ๊ะ”
ผมคิดตาม นึกถึงความสนุกสนานในตอนนั้น “ก็อยากแหละ แต่ร่างกายไม่น่าสู้กะดึกไหวแล้ว”
“พวกพี่แอสซิสแทนท์เขาสี่สิบกันแล้วยังอยู่ได้เลย” เมจิแย้ง
“มันไม่เหมือนกันน่า” ผมรับน้ำเปล่าที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟ “แกกลับไปเป็นซีเนียร์นี่ ฉันกลับไปตอนนี้ก็มีแต่ตำแหน่งจูเนียร์ว่าง ไม่เอาหรอก”
“ก็เข้าใจได้น่ะนะ” เมจิรับแก้วน้ำจากผม “แล้วช่วงนี้ยังทำงานเดิมอยู่ป้ะ กราฟฟิค?”
“ลาออกมาแล้ว” ผมตอบตามตรง “ว่างงานอยู่”
“แบบนี้ยิ่งต้องรีบกลับโรงแรมไม่ใช่เหรอ ที่แผนกขาดคนอยู่พอดีเลยนะ” เมจิยังไม่ท้อถอยกับการรีครูทผม
“ขอพักสักหน่อยเถอะ ตอนนี้ยังไม่อยากทำงานอะไรทั้งนั้นอ้ะ”
ผมไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติม ในเวลานั้นพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมกับเมจิยังไม่ทันตักคำแรกเข้าปากก็ได้ยินเสียงเด็กร้องจากด้านหลัง ตอนแรกผมคิดว่าแค่เสียงเด็กร้องจึงไม่ได้สนใจอะไร ทว่าเสียงถัดไปกลับคุ้นหูจนต้องหันไปมอง ปรากฏเป็นชายหญิงทะเลาะกัน ฝ่ายชายเสียงดังส่วนฝ่ายหญิงดูข่มอารมณ์เต็มที
“ลูกก็ต้องมีพ่อมั้ย!”
“อย่ามายัดเยียดตัวเอง”
“ยัดเยียดอะไรก็นี่ลูกผม!”
“ไม่เคยเลี้ยงแล้วยังจะมาพูดมากอะไรอีก”
โต๊ะต้นเสียงอยู่ทางด้านหลังผมถัดไปสองโต๊ะ เพราะเสียงดังทำให้คนทั้งร้านหันไปมอง เสียงที่คุ้นหูนั้นเป็นเสียงทางฝ่ายหญิง เธอกอดลูกสาวไว้แนบอกทั้งยังปิดหูเด็กน้อยเอาไว้ เด็กหญิงเขม้นมองชายหนุ่มที่ยืนโหวกเหวกโวยวายตรงนั้นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
เป็นพี่มะลิที่กักเก็บความโกรธจวนเจียนระเบิดอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มที่ผมไม่รู้จักคว้ามือพี่มะลิ ปากพูดแต่คำพูดประเภทเห็นแก่ลูกอะไรประมาณนั้นแต่พี่มะลิดูจะไม่อยากฟัง เธอสะบัดมือทิ้ง แล้วตัดสินใจจูงลูกเดินออกจากร้าน แต่ก็ไม่วาย ชายหนุ่มคนนั้นยังคอยตามตอแยไม่เลิก กระทั่งทั้งสามเดินออกจากร้าน ผมก็ยังไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี คิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นรุนแรงมากขึ้นค่อยเข้าไปช่วย
เด็กน้อยในอ้อมกอดพี่มะลิหันซ้ายหันขวา ฝั่งหนึ่งเป็นคุณแม่ที่ยืนทะเลาะกับชายที่น่าจะเป็นพ่ออย่างอดทน อีกฝั่งเป็นชายหนุ่มใส่แว่นยืนต่อแถวซื้อไอศกรีมอยู่ เห็นดังนั้นเด็กหญิงก็วิ่งปร๋อออกจากมือแม่ไปหาชายคนนั้นทันที
เด็กน้อยกระตุกชายเสื้อให้ชายหนุ่มใส่แว่น หรือก็คือ พี่เจฟ หันมามอง
เด็กหญิงพูดทั้งน้ำตาคลอ
“ป่าป๊า”
ผมหัวเราะพรืด
Deep Diveดวงไฟรอบสระกลายเป็นสปอตไลท์ พื้นที่ตั้งแต่ชานเรือนจนถึงสระว่ายน้ำกลายเป็นเวที เสียงลมเสียงคลื่นคือดนตรีประกอบ ผมและพี่วศินคือนักแสดงเจ้าบทบาทผู้ครอบครองเวทีอันแสนกว้างขวางนี้โดยมีมวลเมฆและดวงดาราเป็นผู้ชมเปรียบดังเราเป็นนักแสดงผู้เต้นรำอยู่บนปลายเท้า แสงไฟสีนวลฉายฉานทว่าอาภรณ์ฉูดฉาดระยิบระยับกลับไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการแสดงนี้ ด้วยกายกึ่งเปลือย ปลายนิ้วผมสัมผัสกับปลายนิ้วเขา เราจับจูงก้าวกระโดดและหมุนคว้าง ปลายเท้าผมเหยียบอยู่บนเท้าของเขา ระบำและดำผุดดำว่ายไล่จับกันราวกับพระ-นางในโรงละครผมแนบกายเบียดชิดกับกล้ามอกแน่นตึงสีน้ำผึ้งที่ผมหลงใหล แลกปลายลิ้นแหลมของตนกับปลายลิ้นป้านหนาของเขา มันยื่นออกมาจากปากแตะต้องเกี่ยวกระหวัดกันอย่างคุ้นเคยยินดี น้ำอุ่นในสระประคองกายสองเราเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผิดกับพี่วศินที่ลากผมไปมาจนทั่วสระแล้วจึงกักขักผมไว้ในสองแขนของเขา กดร่างผมจนติดขอบสระไม่อาจขยับเขยื้อนหลบเขาไปทางไหนได้อีกผมบีบนวดแผ่นอกหนาของเขาอย่างมัวเม
ใต้สมุทรความรู้สึกตอนหย่อนตัวลงมาในน้ำเย็นๆน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มร่างกายผมเอาไว้อย่างเป็นมิตร แต่ความรู้สึกเคว้งคว้างเท้าไม่ติดพื้นกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจนัก ผมสาวเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้กับเรือเคลื่อนไปด้านหน้า ยื่นมือให้พี่วศินที่รอรับอยู่บริเวณปลายเชือก เมื่อฝ่ามืออุ่นข้างนั้นกุมมือผมไว้ผมจึงรู้สึกสงบใจลงได้นิดหนึ่งผมกระชับสน็อกเกิล อมท่อช่วยหายใจไว้ในปากแล้วจุ่มหน้าตัวเองลงไปในน้ำทะเล โลกใต้น้ำที่เราตั้งใจมาดูจึงเผยตัวต่อหน้าผมในทันใด เสียงที่เคยอึกทึกภายนอกพลันเงียบสงัดกลายเป็นเสียงอื้ออึงอล สีฟ้าปกคลุมไปทั้งผืนน้ำ ใต้เท้าของผมเคว้างคว้างพื้นทะเลอยู่ต่ำลงไปกว่าห้าเมตร ปะการังและฝูงปลาใช้ชีวิตของมันอย่างไม่แยแสผู้คนอยู่ตรงนั้นพี่วศินก้มหน้าลงมาเช่นเดียวกัน เราพากันว่ายไปตามแนวปะการัง ผมขนานกายตัวเองไปกับผิวน้ำ สะบัดปลายเท้าโจนจ้วงแขนยาวไปเบื้องหน้า เพ่งมองโลกสีน้ำเงินแปลกตาผ่านแว่นใส เบื้องล่างนั้นคือชุมชนสัตว์น้อยใหญ่ ฝูงปลาเดินทางซ้ายขวาอย่างพร้อมเพร
ไอทะเลกลับมาจากจันทบุรีคราวนั้น เราตกลงกันไว้ว่าจะต้องจัดทริปไปเที่ยวกันแบบจริงจังอีกครั้งให้ได้ ผมและพี่วศินช่วยกันออกความเห็น ด้วยงบประมาณอันล้นเหลือ(ของพี่วศิน) ทำให้เรามีตัวเลือกมากมายจนเอามาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ“ให้ผมช่วยออกด้วยไม่ดีกว่าเหรอ” คนที่ชินกับการหารเท่าอย่างผมรู้สึกแปลกๆ เพิ่งได้ใช้เงินตัวเองบ้างไม่กี่เดือนพี่วศินก็จะเลี้ยงอีกแล้ว ถึงแต่แรกจะเป็นผมที่มาอ้อนขอให้เขาเลี้ยงก็เถอะ จิตสำนึกของผมมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้จริงๆนี่นาแต่ถ้าเขาเต็มใจ ผมก็ไม่ขัดนะ(ฮา)“หมิงบอกพี่ว่าอยากมีเงินเก็บนี่นา” พี่วศินพูดเรียบเรื่อยระหว่างพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือข้อศอก อวดท่อนแขนสีน้ำผึ้งที่มีแนวมัดกล้ามสวยงาม ระหว่างสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก ดวงตาสีดำก็สะท้อนแสงเช้าเป็นประกาย พี่วศินพูดยิ้มๆเผยลักยิ้มที่แก้มขวา “ส่วนพี่มีเงินเก็บแล้ว พี่อยากใช้ครับ”ผมนั่งเท้าคางมองคนวัยสามสิ
บทส่งท้ายเสียงกระดิ่งลมดังไพเราะเมื่อประตูกระจกของร้านถูกผลักเข้ามา หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเดรสสีแดงเลือดนกเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงสด พี่มะลิหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสามนั่งรอมาเกือบชั่วโมงผมกับพี่วศินมาถึงเป็นกลุ่มแรก เราดื่มเบียร์แก้วแรกหมดไปแล้วจึงกำลังสั่งแก้วที่สอง ช่วงปลายหน้าฝนมรสุมพัดเข้าประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศด้านนอกร้านจึงมืดครึ้มเปียกชื้น โชคดีที่พี่มะลิมาถึงตอนที่ฝนซาแล้วจึงไม่ลำบากมากนัก ผิดกับพี่เจฟที่มาถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน จังหวะนั้นตรงกับช่วงที่ฝนกำลังสาดพอดี เสื้อผ้าของพี่เจฟจึงมีรอยน้ำประพรมไปทั่ว ร่มพับคันน้อยที่เจ้าตัวมีอยู่ดูท่าจะช่วยไม่ได้มากนัก“มึงเป็นคนนัดแท้ๆนะ” พี่เจฟค่อนขอดเป็นคนแรก ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นเหล่มองเพื่อนสาวที่ยังสวยเช้งด้วยความไม่พอใจนัก คงจะน้อยใจในโชคชะตาที่ตัวเองเปียกอยู่คนเดียวพี่มะลิแยกเขี้ยวใส่ทันควัน หญิงสาววางถุงกระดาษและถุงพลาสติก
เคียงข้างผมปรายสายตามามองเล็บมือตัวเอง “ตอนย้ายมากรุงเทพพี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”“ไม่เลย” พี่วศินกะพริบตาช้าๆ“ทั้งๆที่พี่ดูสนิทกับเพื่อนขนาดนั้นเลยนะ” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก หากเป็นผมในวัยเดียวกัน สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดแทบจะเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ “ขนาดพี่ไม่ติดต่อกับเขาเป็นสิบๆปี เพื่อนพี่ยังดูสนิทกับพี่อยู่เลย”“ตอนนั้นพี่ภาพลักษณ์ดีละมั้ง แต่เพราะแบบนั้นพี่ก็ยิ่งไม่อยากบอก ไม่อยากจะอธิบายอะไร” นิ้วยาวของพี่วศินลูบศีรษะผมไปด้วยระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก“แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมกัดริมฝีปาก สำลักความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “่ตอนที่เพื่อนเรียกชื่อเล่นพี่… พี่ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”พี่วศินเลิกคิ้ว เขาเบนสายตาขึ้นด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด “จริงๆ ก็ไม่นะ กับพวกนั้นมันชินแล้วน่ะ อีกอย่างมันก็ผ่านมานานมากแล้วด้วย”“งั้นเหรอ” ผมเบาเสียง น้ำย่อยและความกังวลตีรวนกันอยู่ในท้อง ยิ่งคิดว่าอยา
เอาแต่ใจพวกเราใช้เวลาที่คาเฟ่นานกว่าที่คาดเพราะคุยกับพี่เบนเสียยืดยาว พี่วศินกับพี่เบนต่างฝ่ายต่างทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากันแต่สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากร้านก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพ พี่เบนยังขอคอนแท็คพี่วศินเอาไว้ด้วย แม้จะทำหน้าบึ้งก็เถอะ“มีเฟสหรือไอจีป้ะ”“หา” พี่วศินเลิกคิ้ว ทำหน้ายุ่ง “ก็มีแหละ แต่ไม่ได้เล่นหรอกนะ”“เออเอามาเหอะ” พี่เบนยื่นมือถือมาให้พี่วศินพิมพ์ชื่อเฟสตัวเองส่งๆ แล้วจึงยื่นมือตัวเองมาจับมือผมอีกที หวา มือนุ่มจัง “ไม่ใช่ว่าพี่จะอะไรนะน้องหมิง แต่ไอ้นี่มันหายไปเหมือนตายอ้ะ อย่างน้อยก็อยากอัพเดทกับเพื่อนบ้างว่าเมยมันยังมีชีวิตอยู่”“เข้าใจครับ” ผมยิ้มตาหยี“อย่ามาแตะดิ๊” และเป็นอีกครั้งที่พี่วศินปัดมือพี่เบนทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วยัดมือถือคืนอีกฝ่ายไป“หวงเป็นหมาเลยไอ้