LOGINชีวิตของกชนิภาเหมือนอยู่ในกรงทอง เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกวังอันโอ่อ่าและหรูหราของอัสวาน เธอถูกจำกัดบริเวณอยู่ภายในอาณาเขตวัง กชนิภาจึงไม่รู้จักคนหรือสถานที่นอกกำแพงวังที่สูงราวสามเมตร ได้แต่ยืนมองกำแพงนั้นด้วยความหวังรุนแรงในใจว่า ตนจะมีโอกาสได้รับอิสระจากชีคแสนร้ายกาจ สิ่งแรกที่เธอคิดทำคือ กลับบ้านที่เมืองไทย
กิจวัตรประจำวันของกชนิภามีไม่กี่อย่าง ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมากินมื้อเช้ากับอัสวาน หลังจากที่เจ้าของบ้านออกไปทำงาน เธอก็จะออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้โดยฮาน่า สาวรับใช้ชาวไทยที่มาทำงานในวังแห่งนี้นานถึงเจ็ดปีเดินไปเป็นเพื่อน สำหรับฮาน่า กชนิภาไม่คิดว่าเป็นสาวใช้ เธอคิดว่าฮาน่าคือเพื่อนและพี่สาว ที่คอยคุยให้คลายเหงา เป็นคนเดียวที่เธอปรับทุกข์ อีกทั้งยังสอนภาษาจามาลให้กชนิภาอีกด้วย
กชนิภาไม่ได้เดินเล่นในสวนเพียงอย่างเดียว ความเหงาและเบื่อหน่ายทำให้เธอลงมือปลูกต้นไม้และดอกไม้หลายชนิด ระยะเวลาสองปีทุกต้นทุกดอกที่เธอปลูกเจริญงอกงาม ออกดอกบานสะพรั่ง สิ่งที่เห็นเหมือนน้ำทิพย์หยดเล็กๆ ชโลมหัวใจบอบช้ำได้เป็นอย่างดี ส่วนเวลาที่เหลือในแต่ละวันหมดไปกับการนอนพักผ่อน ดูทีวี ฟังเพลง หรือไม่ก็อ่านหนังสือ โดยเขาจะเป็นคนจัดหนังสือตามที่กชนิภาต้องการ
ตามข้อตกลงที่ว่า กชนิภาจะโทรศัพท์กลับไปหาอังคณาพี่สาวได้เดือนละหนึ่งครั้ง และแต่ละครั้งจะพูดคุยกันเพียงสองนาทีเท่านั้น ฉะนั้นสองนาทีที่ว่าจึงมีค่าสำหรับกชนิภามาก เธอถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัวเสียส่วนใหญ่ ก่อนที่อังคณาจะถามกลับมาว่า สบายดีไหม คำตอบที่กชนิภาตอบพี่สาวได้ประโยคเดียวคือ สบายดี ไม่เช่นนั้นคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ จะโกรธกริ้วเอาได้ และไม่ให้ตนติดต่อกับอังคณาอีก และมีอีกหนึ่งเรื่องคือ กชนิภาห้ามใช้อินเตอร์เน็ตในทุกกรณี ซึ่งเธอก็ทำตามข้อตกลงนี้เรื่อยมา
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่กชนิภาเดินเล่นในสวนดอกไม้ เธอใช้เวลาในสวนราวสองชั่วโมงจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่ใครต่อใครเรียกว่า วังท่านชีค แต่สำหรับกชนิภา มันเหมือนคุกขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกกี่เดือนกี่ปี
“คุณนิสรีนคะ คุณฮูดาจากร้านเสื้อมารอคุณนิสรีนในห้องนั่งเล่นค่ะ” นาดาสาวใช้อีกคนในวังบอกผู้หญิงของเจ้านายที่ได้รับสิทธิพิเศษอยู่ร่วมวังเดียวกับชีคหนุ่ม ไม่ใช่แค่หลับนอนครั้งคราวแล้วแยกทาง นั่นหมายความว่า กชนิภามีความสำคัญต่อเจ้าของวังไม่น้อย
“ขอบใจจ้ะ” กชนิภาเดินไปยังห้องนั่งเล่น โดยมีฮาน่าเดินตามไปด้วย
“สวัสดีค่ะคุณนิสรีน” คนพูดคือฮูดา พนักงานห้องเสื้อชื่อดังในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในซัสเซียร์ “วันนี้ฉันเอาแบบเสื้อคอลเลคชั่นใหม่มาให้เลือกค่ะ ท่านชีคบอกว่าให้คุณนิสรีนเลือกสามสิบชุดค่ะ”
เรื่องเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับ อัสวานดูแลอย่างดี ทุกสิ้นเดือนจะมีห้องเสื้อชื่อดังนำเสื้อผ้ามาให้กชนิภาเลือก นอกจากเสื้อผ้ายังมีรองเท้า เครื่องประดับและข้าวของที่สตรีต้องใช้มาให้กชนิภาเลือกแบบไม่อั้น อยากได้กี่ชุดแค่จิ้มๆ ภายในวันนั้นมันก็จะมาอยู่ตรงหน้า
“สามสิบชุด” กชนิภาตกใจกับจำนวนเสื้อผ้าที่อัสวานให้เลือก “ของเก่าฉันยังใส่ไม่หมดเลย นี่ต้องเลือกของใหม่อีกแล้วเหรอ”
กชนิภาไม่ค่อยอยากได้สักเท่าไหร่ เธอไม่ใช่คนแต่งตัวเก่ง อยู่เมืองไทยเสื้อผ้าก็แบบง่ายๆ ราคาไม่กี่ร้อย บางตัวราคาเก้าสิบเก้าบาทก็ยังมี ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าราคากลางๆ เพราะเธอคิดว่า ซื้อถูกไปการใช้งานคงไม่นาน ซื้อแพงกว่าสักหน่อยแต่ใช้ได้หลายเดือน มันก็ดูคุ้มกว่า แต่นี่ราคาเสื้อผ้า รองเท้าไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น เธอรู้สึกเสียดายหากใช้ประโยชน์ได้ไม่มากพอ เธอนั่งๆ นอนๆ เดินไปดูนั่นดูนี่ในวัง รองเท้าไม่ต้องใส่หรูหรา เสื้อผ้าก็ไม่ต้องแพง เพราะไม่ได้ใส่ไปอวดใคร
“ครบกำหนดเวลาแล้วนี่คะ ถ้าคุณนิสรีนไม่เลือก ท่านชีคจะสั่งปิดร้านค่ะ ได้โปรดเลือกเถอะค่ะ”
ฮูดาส่งสายตาอ้อนวอน กชนิภารู้ดีว่า อัสวานเอาแต่ใจมากแค่ไหน แล้วยังรู้ว่า เขาพูดจริงทำจริง
“เอาแบบมาให้ฉันดูสิ”
ฮูดายิ้ม หยิบแท็บเล็ตในกระเป๋าออกมา เปิดรูปเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ก่อนส่งให้กชนิภา
กชนิภายอมรับว่า แฟชั่นประเทศจามาลโดดเด่นไม่แพ้ใคร แต่ละชุดแม้ไม่วาบหวามแต่ก็ดึงสายตาให้หยุดอยู่กับผู้ใส่ได้ไม่ยาก เธอคิดมาตลอดว่า ประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ เสื้อผ้าจะต้องมิดชิด แต่เปล่าเลย จามาลแม้ว่าจะให้อิสระในการนับถือศาสนา ยังให้อิสระในเรื่องการแต่งกาย แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่รับได้
“สวยๆ ทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูก” ปัญหาของกชนิภาคือ สวยทุกชุด “เอาแบบละสามสีก็แล้วกัน ส่วนรองเท้าก็เอามาแบบละคู่ เครื่องประดับจัดมาล่ะกัน”
“ค่ะ ของทั้งหมดจะมาถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งค่ะ” ฮูดาบอก
“ขอบคุณค่ะ” กชนิภาตกใจกับความว่องไวในการส่งสินค้าในครั้งแรก ครั้งต่อๆ ไปคือความเคยชิน “ว่าแต่คราวนี้ค่าสินค้าประมาณเท่าไหร่คะ”
“ราวๆ หนึ่งล้านห้าแสนจาร์ปค่ะ” ฮูดาตอบน้ำเสียงปกติ ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มที่วันนี้ตนทำยอดขายวันเดียวเท่ากับยอดขายเกือบครึ่งเดือน
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 31“ตื่นแล้วเหรออาซาร์ ดื่มกาแฟกับขนมปังก่อนมั้ย” ฮาคิมเอ่ยถาม ยื่นถ้วยกหอมกรุ่นส่งให้ เพื่อนรัก หลังจากจัดการกับราฟัลเรียบร้อย ฮาคิมกับยศวัจน์ รวมทั้งลูกน้องของเขาและบอดี้การ์ดส่วนที่เหลือของอาซาร์ ได้เดินทางมาสมทบกับชีคหนุ่มที่นี่ เพื่อที่จะออกตามหาสร้อยระย้าพร้อมกัน อีกทั้งคนของอาซาร์ที่แยกตัวไปจัดการกับกองกำลังโจรรวมทั้งยาบีน่า ได้มาสมทบหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย บุคคลที่อยู่ที่กองกำลังโจร ไม่มีใครรอดชีวิตเหลือสักคนเดียว ป่านนี้ศพแต่ละคน คงจะถูกเหยี่ยวทะเลทรายจิกแทะอย่างเอร็ดอร่อย หนึ่งในนั้นคือร่างไร้วิญาณของยาบีน่า“ไม่ ฉันไม่กินอะไรทั้งนั้นกินไม่ลง พวกนายไม่เดือดเนื้อร้อนใจนี่ เพราะไม่ใช่คนที่นายรัก ถึงได้กินอะไรลง” อาซาร์พูดออกไปเพราะความเป็นห่วงสร้อยระย้าที่มีอยู่ล้นอก ไม่ได้มีเจตนาพูดจาถากถางเพื่อนสนิทเลย ซึ่งฮาคิมเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดี“ทำไมฉันจะเป็นห่วงกระรอก แต่ฉันอยากให้นายเป็นห่วงตัวเองก่อน กินซะจะได้มีแรงออกตามหากระรอก เคยได้ยินมั้ยกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้านายไม่กินแล้วจะมีแรงที่ไหนออกตามหาผู้หญิงที่นายรักล่ะ ทะเลทรายไม่ได้แคบๆ นะ เราต
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 30แน่นอนว่า ชะตาชีวิตของโจรทะเลทราย หนีไม่พ้นความตาย ตายอย่างทุกข์ทรมาน จากการลงทัณฑ์ของชีคหนุ่ม ก่อนโยนร่างไร้ลมหายใจให้เสือ สิงโตหรือไม่ก็จระเข้ กินเป็นอาหาร ใครทำให้อาซาร์โกรธแค้น ไม่ได้ตายดีแน่ ยิ่งมาทำร้ายสร้อยระย้า อย่าหวังว่าจะตายอย่างสงบ จากโลกนี้ไปอย่างสบายผู้หญิงของอาซาร์ ใครอย่าแตะ จำเอาไว้...ความมืดโรยตัวอยู่ทั่วบริเวณทําให้เธอหวาดกลัว ความเวิ้งว้างแสนกว้างใหญ่มองไปทางไหนก็มีแต่เม็ดทราย ทำให้เธอไม่อยากจะก้าวเดินต่อ สร้อยระย้ากลัวว่ายิ่งเดินไปข้างหน้า เธอจะยิ่งเดินหลงทางมากยิ่งขึ้น และความหนาวเย็นทำให้ร่างกายสาวแทบจะก้าวเดินต่อไปไม่ได้ มันหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ สะท้านไปทั้งกายพระจันทร์ลอยอยู่บนฟ้าคืนนี้ เป็นแสงเดียวนำทาง แม้ว่ามันจะมีไม่มากก็ตาม ขาทั้งสองข้างของเธอเริ่มจะยกไม่ขึ้น ก้าวไม่ออก รู้สึกปวดฝ่าเท้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอเดินและเดิน มากกว่าสามชั่วโมงแล้ว แต่ทุกย่างก้าวและสายตาที่มองเห็น ทุกอย่างล้วนมีแต่ภาพของเม็ดทรายทั้งสิ้น“พ่อจ๋า แม่จ๋า พี่ป้อง ท่านชีค ช่วยกระรอกด้วย”ร่างเล็กล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทราย ดวงตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 29อาวุธลับที่เป็นธนูขนาดเล็ก อาบด้วยยาพิษที่ปลายธนู พวยพุ่งออกมาจากผนังกระเบื้องลายวิจิตร หลายสิบดอก ปลายธนูยิงโดนร่างของโจรที่เข้ามาขโมยทรัพย์สินที่อยู่ในห้องพักผ่อน โดยที่มันยังไม่รู้ตัว เนื่องจากทั้งห้องมีแต่มันเพียงคนเดียว มือที่กำลังหยิบเหยี่ยวทองคำอ่อนล้าลง จนกระทั่งร่างกายเริ่มชาดิก ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น หากแต่พิษยังไม่เข้าสู่หัวใจ เพราะมันเป็นพิษจากแมงป่องทะเลทรายและพิษจากงูพิษมีเขาทะเลทราย ซึ่งเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง เมื่อสองพิษที่ร้ายแรงมารวมกัน ทําให้คนได้รับพิษไปเกิดอาการชาในคราแรก ไม่สามารถกระตุกกระดิกและพูดอะไรได้ ความเจ็บปวดจึงแสดงออกทางดวงตาเท่านั้น ก่อนร่างกายจะปวดแสบปวดร้อน คล้ายกับว่ากำลังนอนอยู่กลางผืนทรายร้อนแรงยามเที่ยงตรง และต่อจากนั้นพิษจะค่อยๆ เข้าสู่หัวใจบีบรัดหัวใจให้หยุดเต้นทีละนิดๆ และเสียชีวิตในที่สุด โจรที่ปล้นทรัพย์ที่อยู่ชั้นล่างของวังเจอแบบนี้หมด และล้มสิ้นชีวาหมดเช่นกัน ยกเว้นชั้นบนที่ต้องเจอหนักกว่าฮาคิม ยศวัจน์ และลูกน้องฝีมือเยี่ยมของฮาคิม ค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ตรงไปทางลับที่อยู่หลังห้องนอนอาซาร์ หลังจากบอดี้ก
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 28“ใครคือน้องสาวของไอ้ราฟัล”“เธอชื่อยาบีน่าครับ ตอนนี้รออยู่ที่กระโจมในกองโจร” ด้วยความรักตัวกลัวตาย จึงเอ่ยปากบอกทุกอย่าง อาซาร์ได้ยินชื่อของยาบีน่าแล้ว ถึงกับลมออกหูความโกรธเข้าครอบงำถึงขั้นรุนแรง ทั้งหมดนี้เป็นแผนของยาบีน่าอย่างนั้นหรือ อดีตนางในฮาเร็มของเขาหวังจะแก้แค้นที่ตัวเขาเลือกสร้อยระย้ามาเป็นคู่ชีวิต แทนที่จะเลือกเธอเป็นคนแรก“แล้วไอ้ราฟัลล่ะมันอยู่ที่กระโจมด้วยหรือเปล่า”“ไม่ ไม่ครับตอนนี้ที่ราฟัลกำลังซุ่มรอจังหวะปล้นวังของท่านซีดอยู่ ตามแผนครับ” อาซาร์กระตุกยิ้มเหี้ยม ปล้นวังของเขาอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายไปหน่อยมั้ง แต่เรื่องนั้นเขาไม่เป็นห่วง เพราะเตรียมการเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้เรื่องของสร้อยระย้าสำคัญกว่า“โขคหินที่พวกเจ้าบอกว่าบังกายให้ชีคคาตอนที่เกิดพายุอยู่ที่ไหน” ชีคหนุ่มถามเสียงเข้ม“อยู่ทางทิศตะวันออกครับ ห่างจากจุดนี้ประมาณสามกิโลเมตรครับ” เขากระตุกยิ้มอย่างน่าหลัว หลังจากที่ได้ยินคำตอบ“ขอบใจสำหรับคำตอบสุดท้ายของเจ้า...ปัง” สิ้นเสียงของอาซาร์ กระสุนได้วิ่งออกจากรังเพลิง ไปยังปลายกระบอกปืน และวิ่งตรงเข้าสู่สมองของอีกฝ่าย ทะลุจากกลางหน้าผากออก
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 27ยามราตรีปกคลุมไปทั่วทะเลทราย ทำให้หัวใจของชีคหนุ่มรุ่มร้อนมากขึ้น เขาต้องเสียเวลาหยุดรถกลางผืนทรายที่แล่นด้วยความเร็วสูง เพื่อรอให้พายุผ่านพ้นไปก่อน การเดินทางจึงจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะรถและทุกสิ่งไม่สามารถวิ่งผ่านยามพายุซัดสาดได้พายุทะเลทรายไม่ใช่สิ่งที่อาซาร์กลัวเลยแม้แต่นิดเดียว พายุร้ายแรงกว่านี้ รุนแรงกว่านี้เขาเคยเจอมาหมดแล้ว แต่ที่เขากลัวคือสร้อยระย้า หญิงสาวที่เขารักไม่เคยได้สัมผัสกับผืนทรายและพายุอันร้ายแรงแบบนี้ เธอจะทนรับกับเหตุการณ์ได้มากขนาดไหน พวกโจรที่ลักพาตัวเธอไป จะดูแลหญิงสาวระหว่างที่เกิดพายุดีมากน้อยแค่ไหน ข้อนี้เองที่เขากังวล เพราะมั่นใจว่ากองโจรที่จับตัวคนรักไปนั้น ต้องเจอพายุลูกเดียวกับเขาแน่นอน“อีกนานมั้ยกว่าจะถึงพิกัดที่พวกมันบอก” อาซาร์เอ่ยถาม“อีกประมาณสิบห้ากิโลเมตรครับ” มาคาเป็นคนเอ่ยตอบ คนที่ได้ฟังถึงกับหงุดหงิด แค่สิบห้ากิโลเมตรไม่ใช่ระยะทางที่ไกลเลยแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจจะไปถึงกองโจรก่อนพวกนั้นก็ได้ เพราะเขาเดินทางไปด้วยรถยนต์ แต่พวกโจรคงมีพาหนะเป็นม้า ซึ่งช้ากว่าเขามาก แต่ต้องมาเสียเวลาเพราะพายุนี่สิ ที่ทำให้เขาหงุดหงิดมาเ
พิศวาสทาสเสน่หา Chapter 26ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนของวัง ไปห้องลับที่อยู่ภายในห้องทำงานหยิบอาวุธปืนคู่กายมาสองกระบอก จากนั้นเขาเดินมาสมทบกับบอดี้การ์ดที่ติดอาวุธครบมือที่รออยู่ด้านล่าง ทันเวลาที่ชื่อหนุ่มกำหนดไว้พอดีราฟัลหลังจากที่เข้าไปโปะยาสลบกับสร้อยระย้าเรียบร้อยแล้ว เขาให้ลูกน้องอีกกลุ่มหนึ่งพาร่างไม่ได้สติ ของชีคคาไปที่กองโจรกลางทะเลทรายทันที ส่วนเขามาซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ วังของอาซาร์ ตั้งแต่บังเลพลขับประจำวังวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปด้านใน จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อมา การเคลื่อนไหวของอาซาร์ก็เริ่มขึ้นหัวหน้ากองโจรมองดูรถยนต์ประสิทธิภาพสูงที่ผลิตออกมา เพื่อตะลุยทะเลทรายโดยเฉพาะหลายคันที่แล่นออกมาจากวังราวกับจะเหาะ เขากระตุกยิ้มเมื่อแผนการที่วางไว้ ราบรื่นไม่มีอะไรติดขัด และเป็นไปอย่างที่คาดคิดไว้ทุกอย่าง เขาจะรอให้จังหวะและโอกาสเหมาะกว่านี้ พอถึงเวลานั้นเขาจะเข้าไปกวาดทรัพย์สินทุกอย่างที่อยู่ในวังมาเป็นของเขาให้หมด ไม่คิดสะกิดใจเลยว่า คนอย่างอาซาร์ไม่เคยคิดอะไรตื้นๆยาบีน่ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเนื่องจากเวลานี้ ใกล้พลบค่ำ ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวด้วยแสงอันร







