บทที่ 6 ถูกกลั่นแกล้ง
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกินเมื่อความทรงจำปะทุราวกับสายน้ำ ซ้ำเติมหัวใจที่ว่างเปล่าของอวิ๋นหลิงนางร่ำไห้หลับไปทั้งน้ำตา
เช้าวันต่อมาเปลือกตาของอวิ๋นหลิงหนักอึ้งแต่เหมือนว่านางเคยชินเพราะไม่มีวันไหนที่นางไม่หลับไปทั้งน้ำตา มีสิ่งที่เปลี่ยนไปคือคำสั่งของไท่หยางที่สั่งการลงมาต่อจากนี้เขาไม่ให้นางไปปรนนิบัติเช่นเคยแต่ให้นางไปทำงานที่หลังจวนแทนนั่นคือการซักผ้า เหมือนจะเป็นงานสบายแต่ก็หนักหนาสำหรับนางอยู่มากจางอวิ๋นหลิงมิได้เอ่ยปากบ่นแต่อย่างไร อย่างน้อยก็ดีกว่าการให้นางไปพบเจอไท่หยาง
นางเดินตามแม่บ้านซูเป็นผู้ดูแลหลังจวนและคอยสั่งงานให้สาวใช้แต่ละคนได้ทำ ทว่าไป๋หนิงซินมิได้มาทำงานเช่นเดียวกันนางเพราะงานของนางคืออยู่ในโรงครัว แม้จะห่วงอวิ๋นหลิงแต่ก็ขัดคำสั่งของท่านแม่ทัพมิได้ แม่บ้านซูพาอวิ๋นหลิงเดินมาถึงธารน้ำหลังจวนเป็นสถานที่ไว้สำหรับซักผ้า น้ำใสจนเห็นแผ่นหินเสียงน้ำไหลผ่านเมื่อได้ยินทำให้จิตใจของนางเริ่มสงบไม่ขุ่นมัวหัวใจ
“งานของเจ้าคือการซักผ้าพวกนี้ รีบทำเสียก่อนที่แสงแดดของวันจะหมดลง ข้าขอกำชับเจ้าอีกอย่างอย่าคิดแม้แต่จะกระโดดน้ำหนีเพื่อปลิดชีพตนเองเพราะสิ่งนั้นจะทำให้ข้าถูกลงโทษไปด้วย หากเจ้าอยากทำงานนี่อย่างสงบสุขอย่าแม้แต่คิดเชียวล่ะ ”
“เจ้าค่ะ” อวิ๋นหลิงจ้องมองกองผ้าที่อยู่ตรงหน้าค่อย ๆ เริ่มจัดการทันที แต่ว่าเมื่อเริ่มลงมือซักผ้าที่ลำธาร นางก็รู้สึกถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญ ดินโคลนเปียกที่ติดมาบนผ้าไหนจะไม้ที่นางใช้ฟาดไม่ถนัดมือจนเจ็บบวมแดงขึ้นมา มือที่นุ่มและเรียวงามบัดนี้เริ่มพองแดงจากการทำงาน จนกองผ้าที่กองท่วมหัวเริ่มลดน้อยลงเรื่อย แม้จะเหนื่อยล้าร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากแรงที่ต้องใช้ แต่จางอวิ๋นหลิงก็ยังคงตั้งใจซักผ้าไปเงียบๆ
ทว่าไม่นานก็มีเสียงซุบซิบจากสาวใช้ในจวนดังขึ้น สาวใช้กลุ่มหนึ่งยืนมองจางอวิ๋นหลิงจากที่ไกลๆ พวกนางมองดูอย่างหัวเราะเยาะกับสถานการณ์ของนางที่เคยเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง แต่กลับกลายเป็นเชลยที่ต้องทำงานหนักยิ่งกว่าทาสในตอนนี้
“เห็นไหมล่ะ นั่นคุณหนูจาง อดีตคุณหนูที่เคยมีฐานะ ตอนนี้เป็นแค่สาวใช้ซักผ้าเท่านั้น” เสียงหนึ่งกระซิบขึ้นในกลุ่ม
“ก็สมควรแล้วนะนางเป็นเชลยจะอยู่สุขสบายได้อย่างไรเล่า พวกเราได้ทำงานหนักอยู่แล้วทำไมนางจะไม่ต้องทำบ้าง? ” อีกเสียงหนึ่งเสริม
จางอวิ๋นหลิงได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้หันไปสนใจ ความรู้สึกขมขื่นในใจของนางไม่ได้เพิ่มขึ้นจากคำพูดเหล่านั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางในตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากการที่ชีวิตถูกทำลายไปแล้วทุกอย่าง จางอวิ๋นหลิงแค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ โดยไม่ให้เสียงพวกนั้นมารบกวนจิตใจ
แต่แล้ว ขณะที่จางอวิ๋นหลิงกำลังซักผ้าอยู่ที่ลำธาร กลับมีสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ในมือของสาวใช้คนนั้นถือผ้าที่ซักเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับท่าทางที่ดูเจ้าเล่ห์
“คุณหนูจางเจ้าค่ะ ทำไมไม่ซักผ้าให้สะอาดล่ะคะ?” สาวใช้คนนี้ถามด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่กลับแฝงไปด้วยความหมิ่นประมาท
จางอวิ๋นหลิงไม่ตอบอะไร เพียงแค่เอามือหยิบผ้าออกมาซักอีกครั้ง โดยไม่ยอมพูดอะไรเลย
สาวใช้คนนั้นเห็นเช่นนั้นก็แสดงท่าทีไม่พอใจ เดินไปข้างหลังแล้วใช้เท้ากระทืบผ้าที่จางอวิ๋นหลิงเพิ่งซักเสร็จจนมันยับเยิน จากนั้นจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ซักใหม่เสียที ผ้าไม่สะอาดเลย”
คำพูดและการกระทำของสาวใช้ทำให้จางอวิ๋นหลิงรู้สึกเจ็บปวดใจ ทว่าไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของนาง นางเพียงแค่เงียบและทำตามคำสั่งของสาวใช้อย่างไม่มีคำค้าน นางรู้ดีว่าไม่ว่าจะตอบโต้ไปอย่างไร ก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้ชีวิตของนางดีขึ้นได้
จางอวิ๋นหลิงยอมรับชะตากรรมนี้อย่างไม่โต้แย้ง แม้จะถูกทำร้ายและดูถูกเพียงใด แต่สิ่งที่นางต้องการคือความสงบในใจ แม้จะไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่นางยังคงเลือกที่จะอดทนต่อไป แม้จะเป็นแค่การอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการถูกกระทำอย่างไร้ความเมตตา ยิ่งนางตอบโต้สาวใช้พวกนี้คงไม่หยุดกระทำไว้เพียงเท่านี้แน่ และการใช้ชีวิตของนางต่อจากนี้คงพบเจอแต่เรื่องยุ่งยากในทุกวัน
ครั้นนั้นไป๋หนิงซินทำงานเสร็จเดินตามมาดูอวิ๋นหลิงด้วยความเป็นห่วงและเห็นทุกอย่างที่นางถูกกระทำ ทำให้นางไม่พอใจรีบเข้าไปต่อว่าและห้ามปรามในสิ่งที่พวกนางกำลังกลั่นแกล้งอวิ๋นหลิงอยู่
“พวกเจ้าทำอะไรนาง รังแกแม้กระทั่งสตรีที่ไม่มีทางสู้อย่างนั้นหรือ ? ความเป็นคนของพวกเจ้าไปไหนกันหมดความเมตตาไม่มีเหลืออยู่เลยหรือไงกัน”
“แล้วเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับนางเชลยผู้นี้กัน นางเป็นนายหญิงของเจ้าอย่างนั้นรึ ? ทำไมข้าจะกลั่นแกล้งนางไม่ได้”
“เจ้ามันใจทรามต่ำช้าเสียจริง มิน่าสามีของเจ้าถึงหนีไปมีสตรีอื่นเพราะปากของเจ้านี่เอง”
“นังไป๋หนิงซินเจ้ากล้าดียังไงมาพูดถึงเรื่องนี้วันนี้ข้าจะต้องเอาเลือดปากของเจ้าออกมาให้ได้เพื่อสั่งสอนเจ้า” พูดจบนางกระโจนเข้ากระชากหัวของไป๋หนิงซินแต่มีหรือที่ไป๋หนิงซินจะยอมนางต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองทันที ครานั้นอวิ๋นหลิงเริ่มเห็นท่าไม่ดีเป็นเพราะนางไป๋หนิงซินจึงได้โต้เถียงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือนางไม่ได้ให้เรื่องนี้ทำให้ไป๋หนิงซินได้รับโทษจึงเข้าไปห้ามปราม
“ทั้งสองหยุดเถอะ ไป๋หนิงซินข้าเองที่ยอมทำโดยไม่ปริปากไม่ว่าพวกนางจะทำอันใดข้ายอมได้ทั้งนั้น หยุดตบตีกันเถอะนะ”
“เฮอะ ! ดูสินางทำราวกับว่าเป็นคุณหนูผู้แสนอ่อนหวาน ฮ่า ฮ่า พวกเจ้ามาจับตัวนางเพื่อสั่งสอนเร็วเข้า” สาวใช้ที่ดึงผมของไป๋หนิงซินอยู่เริ่มเรียกหาสหายสองคนที่ยืนพูดคุยกันอยู่เมื่อครู่
“เจ้ามันเสียสติแล้วหรือไง พวกนี้ไม่ปล่อยเจ้าไปต่อให้เจ้าอยู่อย่างเงียบ ๆ หรอกนะ พวกเจ้าอย่าคิดจะแตะต้องตัวนางมิเช่นนั้นอาจจะถูกท่านแม่ทัพลงโทษเอาได้นี่ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วนะ”
“แหม ๆ นังไป๋หนิงซินแกนะเอาอะไรมาพูดนางเป็นเพียงเชลย ข้าสั่งสอนมีแต่ท่านแม่ทัพจะชอบใจ” พูดจบสาวใช้เริ่มมารุมตบตีอวิ๋นหลิง นางไม่ทันตั้งตัวถูกตบเข้าที่ใบหน้าจนเกิดเป็นรอยนิ้วเป็นริ้ว ๆ
เพี้ยะ !! อวิ๋นหลิงหน้าชาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแต่กระนั้นนางกลับไม่ตอบโต้ หากถูกตบตีจนตายเช่นนี้นางจะไม่ต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายและสมปรารถนาของนาง แต่เมื่อจ้องมองไปยังไป๋หนิงซินที่พยายามต่อสู้เพื่อนาง นางเริ่มสมเพชตนเองมากกว่าเดิมที่ให้คนอื่นมาเป็นห่วง ทั้งมือทั้งเท้าของสาวใช้ที่รุมตีนางยามนี้นางเริ่มระบมไปทั้งร่างกาย ครานั้นเองที่นางและไป๋หนิงซินกำลังหมดแรงกำลังเสียงดังกึกก้องตะโกนออกมาสนั่นหวั่นไหวทำให้สาวใช้ทั้งสามคนรีบผละมือแลเดินออกห่างกายของอวิ๋นหลิงใบหน้าพลันเปลี่ยนสี
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!!!” อวิ๋นหลิงเงยหน้าไปมองเจ้าของเสียงเข้มขรึมดุดันราวกับจะฆ่าคนได้ยิ่งเห็นแววตาของเขาที่จ้องเขม็งไปยังสาวใช้ที่ยืนอยู่ต่อหน้า นางค่อย ๆ พยุงตัวยืนขึ้นแม้จะเจ็บไปทั้งตัว
“ทะ...ท่านแม่ทัพมาที่หลังจวนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”สาวใช้ที่เป็นหัวโจก เอ่ยถามเสียงสั่นไม่ต่างจากร่างกายของนางยามนี้
บทที่ 7 ผู้เดียวที่รังแกนางได้คือข้า“ข้ามากกว่าที่ต้องเป็นผู้ที่ถามเกิดอะไรขึ้น” สายตาของเขาเหลือบไปมองร่างกายและใบหน้าของจางอวิ๋นหลิงนัยน์ตาเริ่มเข็งกราวกัดฟันกรามเอ่ยถามสาวใช้ที่กล้าใช้มือสกปรกทำร้ายนาง“เอ่อ.. นางเชลยผู้นี้ไม่ตั้งใจทำงานเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่สอนงานให้นางเท่านั้นนางเคยเป็นคุณหนูสตรีผู้สูงส่งคงไม่เก่งเรื่องงานเช่นนี้ แต่ผู้ใดจะคิดว่านางจะกล้าโต้เถียงและไม่ยอมทำตามที่ข้าสอนเจ้าค่ะ ดูผ้าพวกนี้สิเจ้าคะนางบอกว่านางจัดการเสร็จแล้วแต่ยังมีเศษดินหลงเหลืออยู่ ข้าจึงให้นางซักใหม่แต่ใครจะคิดว่านางจะโมโหจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้าเจ้าค่ะ”“เป็นเช่นนั้นหรือ? หลวนฮวานจัดการจับตัวนางและจับมือของนางวางลงบนท่อนไม้นี้” หลวนฮวานพยักหน้าเดินมาด้านหลังของอวิ๋นหลิง ไป๋หนิงซินรีบพูดขึ้นมากลัวว่าท่านแม่ทัพจะลงโทษผิดคน“ท่านแม่ทัพมิใช่อย่างที่นางเอ่ยออกมานะเจ้าคะ นางโกหก”“ไป๋หนิงซินข้ามิได้ขอความเห็นเจ้าและไม่ได้ให้เจ้าเอ่ยอันใดหุบปากไปเสีย” ไป๋หนิงซินจ้องมองอวิ๋นหลิงใบหน้าเริ่มเศร้าหมองที่ตนช่วยอันใดนางมิได้เลย แต่ทว่าอวิ๋นหลิงกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย จ้องมองประสานตากับไท่หยางอย่างแน่วแน่ครา
บทที่ 8 นางเพียงเสแสร้งครานั้นอวิ๋นหลิงเดินตามหลังของหลวนฮวานจนมาถึงศาลารับลม เหลียงอวี้สายตาจ้องมองไปยังนางตอนนี้ไม่มีเค้าสตรีบุตรสาวขุนนางเสียแล้ว ใบหน้าที่เคยงดงามแจ่มใสเต็มไปด้วยเครื่องประทิ่นบนใบหน้าให้ชวนมอง บัดนี้มีเพียงใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตก ดวงตาหมองคล้ำคล้ายคนที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ไร้ชีวิตชีวาเสมือนร่างไร้จิตวิญญาณ“นางเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เจ้าไม่เจ็บปวดบ้างหรือที่จ้องมองใบหน้าของนาง”“ข้านะหรือจะเจ็บปวด ไม่! ข้ามีเพียงแต่ความแค้นเท่าที่รอวันสะสางไปทีละนิด”“ท่านแม่ทัพข้าพาอวิ๋นหลิงมาแล้วขอรับ”“มาแล้วหรือ ? เจ้ามานี่สิคิดว่าสองวันมานี้ข้าไม่สั่งงานเจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตสุขสบายหรอกนะ ! นั่นเห็นดอกบัวในบึงนั่นหรือไม่ ? ข้าอยากได้มันเพื่อไปไหว้ป้ายชื่อท่านแม่ลงไปเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ปลายนิ้วของเขาชี้ไปที่ดอกบัวที่ออกดอกอยู่กลางบึงทันที่ที่อวิ๋นหลิงเห็นนางเริ่มใจสั่นเพราะนางว่ายน้ำไม่เป็นแต่หากเป็นเช่นนี้ก็ดีเช่นกันมิใช่หรือ ? นางจะได้ตายสมใจหวังและเป็นเขาเองที่เป็นคนสั่งให้นางทำ“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบลงไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเบาหวิวคล้ายคนหมดแรงจนเหลี
บทที่ 9 ไม่มีทางปล่อยพื้นไม้แข็งเย็นยะเยือกแต่ไม่เยือกเย็นเท่ากับสวรรค์ที่ไม่มีความเมตตาต่อความต้องการของนางสักนิด ร่างบางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนี่มิใช่ศาลารับลมหรือแม้แต่ในแม่น้ำแต่เป็นห้องที่นางอาศัยอยู่ทุกวัน ครานี้ทุกสิ่งอย่างที่นางกวาดตามองมืดสลัวนางนอนไปนานเท่าไหร่กัน นางพยายามนึกคิดว่าตนเองขึ้นจากแม่น้ำมาได้อย่างไร เพียงตอนนั้นสมองยังอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ ที่ประโคมต่อว่าปะทะฝีปากต่อเถียงกันเรื่องของนาง“ฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอยู่มุมห้องทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งรีบร้อนลุกขึ้น“ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันห้องนอนของสาวใช้มิใช่หรือ ? ”“ไม่ว่าจะที่ใดที่อยู่ในจวนของข้า ข้าย่อมไปได้ทุกที่” ร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้นางมากกว่า แสงโคมไฟด้านนอกสะท้อนเข้ามาเห็นเงาและแววตาของเขาเพียงชั่วขณะแต่นางสามารถรับรู้สึกรังสีอำมหิตที่ส่งผ่านมายังนาง เขานั่งลงคว้าแขนของนางบีบเต็มแรงจนร่างบางสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดจนส่งเสียงร้องออกมา“โอ้ย !!”“เจ้าเจ็บหรือ ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากตายหรือไงกัน... เจ้าว่ายน้ำเป็นแท้ ๆ แต่กลับไม่ว่ายขึ้นมาข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่ให้เจ้าตายง่าย ๆ จนกว่าข้าจะ
บทที่ 10 ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดคำสั่งฝั่งด้านเหลียงอวี้หลังจากที่เขากลับมาจากจวนหลิวไท่หยางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจางอวิ๋นหลิง ดวงตาของนางว่างเปล่าใบหน้าอมทุกข์ไร้ชีวิตชีวายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงนางจับใจ หากจะคิดหาหนทางช่วยเหลือนางออกมาก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏพาบุตรสาวของศัตรูหลบหนี แต่ก็อดเป็นห่วงนางไม่ไหวตัดสินใจไปหานางที่จวนของแม่ทัพไท่หยาง เขาไม่เชื่อว่าสหายของเขาจะหมดรักนางรวดเร็วป่านนี้เพียงเพราะยามนี้ใจของไท่หยางมีความแค้นต่อพ่อของนางมากกว่าแดดเริ่มแรงเมื่อถึงยามอู่ (11.00) วันนี้อากาศแปรปรวนลมพัดแรงอีกทั้งยังมีเมฆครึ้มจับตัวเป็นก้อน ๆ คล้ายจะมีพายุฝน“ท่านแม่ทัพจะปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าว่าอากาศเริ่มไม่ดีแล้ว”“เจ้าจะไปห่วงนางทำไมกัน ในเมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจแถมยังเสแสร้งอีก ในเมื่อนางอวดดีก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือหิมะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่หน้าห้องจนกว่าข้าจะได้ยินคำอ้อนวอนยอมแพ้ของนางถึงจะยอมสั่งให้นางเข้าร่ม”ไท่หยางเหลือบตามองไปด้านนอกเห็นสตรีที่ดื้อด้านไม่ยอมเอ่ยคำยอมแพ้ออกมาย
บทที่ 11 จับไข้เหลียงอวี้เดินเข้ามาในห้องของไท่หยางเห็นเขายืนอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเลยที่สหายเปลี่ยนไปเป็นคนที่เลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้“เรื่องนี้เจ้าทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว ทำไมถึงต้องทำกับนางเช่นนี้ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รักนางหมดใจแล้ว จงปลดปล่อยนางไปเถิดตอนนี้นางเป็นเพียงเชลยอย่างเจ้าว่าไร้ท่านพ่อไร้คนหนุนหลัง นางเปรียบสตรีไร้แขนไร้ขาปล่อยนางไปเสียไม่ดีกว่าหรือ ? แค่มองแววตาของนางยังไงนางก็ไม่คิดหาทางแก้แค้นเจ้าแน่ ดวงตาของนางว่างเปล่าเหมือนคนไร้วิญญาณนางคงแตกสลายไปหมด เจ้าช่วยปลดปล่อยนางหรือส่งตัวนางขายนางให้เป็นทาสเสีย และมีอีกทางหากเจ้าบอกว่าเจ้าแค้นตระกูลนางข้ามีทางเลือกให้เจ้าคือบั่นคอนางเสีย อย่าทำร้ายจิตใจของนางไปมากกว่านี้”“เฮอะ ! องค์ชายท่านช่างรู้ดีจริง ๆ ยังไงข้าก็ไม่ยอมยกนางให้ผู้ใดทั้งนั้น คำพูดของข้าพูดออกไปแล้วไม่คืนคำมิเช่นนั้นข้าจะปกครองทหารหลายพันนายได้ยังไง ที่ข้ายอมปล่อยนางไปวันนี้เพราะเห็นว่าท่านยอมแลกกับยศของท่านแถมยังไม่กลัวแปดเปื้อนไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าองค์ชายสามเหลียงอวี้ปกป้องเชลยศึกของแคว้นหยางอัน ข้าขอให้ท่านรับ
บทที่ 12 หม่อมฉันจะรอร่างบางที่เคยมีใบหน้าอมชมพูผิวขาวราวหยวก บัดนี้ใบหน้าของนางขาวซีดเผือกริมฝีบางแห้งผากซีดจนแทบไม่เหลือความเป็นคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดตัวให้นางอยู่ไม่ห่าง“นางเป็นเช่นไรบ้าง”“ท่านหมอบอกว่านางทนไม่ได้ที่ร่างกายถูกแดดแล้วมาถูกสายฝนเจ้าค่ะ ทำให้นางรับไม่ไหวจนจับไข้และเอ่อ...ท่านหมอบอกว่าร่างกายของนางด้านในรวมถึงชีพจรอ่อนเหลือเกินเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ยอมให้นางพักและสั่งลงโทษนางอีกบัดนี้ข้าเกรงว่านางจะลาโลกจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเองก็ไม่ต่างจากเหลียงอวี้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดสินะที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากนางมิใช่บุตรสาวของจางชินหลง เป็นเพราะนางทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนาง ”ไท่หยางเอ่ยจบเดินหันหลังออกจากห้องและยัดกระดาษเทียบยาให้แก่หลวนฮวานไปซื้อที่โรงยา“ช่วยไปจัดการให้ข้าที”“ขอรับ”จิตใจของไท่หยางเริ่มว้าวุ่น เขาทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวโกรธแต่เมื่อได้ยินว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเขากลับรู้สึกเจ็บลึกที่หัวใจ เขาต้องดีใจมิใช่หรือที่แก้แค้นให้ท่านแม่ได้และทำให้นางเจ็บปวดแต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกใจหายเช่นนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มสับสน
บทที่ 13 คุณหนูฟางหลานซือเรือนตระกูลฟางสตรีที่งดงามอีกนางที่มีใจรักมั่นคงต่อแม่ทัพหลิวไท่หยาง เฝ้าฝันหาเขาอยู่ทุกวัน วันนี้เป็นวันอากาศดีนางจึงจะเดินทางไปหาแม่ทัพไท่หยางที่จวน ตั้งสองตระกูลเป็นญาติห่าง ๆ แต่ทว่านางไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ ต้องการเป็นสตรีที่ยืนเคียงข้างเขา“คุณหนูฟางหลานซือจะออกเดินทางไปที่จวนท่านแม่ทัพหลิวหรือขอรับ ข้าน้อยจะเตรียมเกี้ยวให้ขอรับ”“ใช่แล้วรีบไปเตรียมก่อนที่แดดจะร้อนไปมากกว่านี้ ” สตรีรูปคิ้วโค้งราวคันศรธนูถือพัดในมือพัดไปพัดมาพร้อมสั่งการบ่าวในเรือนให้ไปเตรียมเกี้ยว“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้แม่ทัพหลิวพาตัวนางเชลยมาที่จวนด้วยเจ้าค่ะ”“แค่เชลยทำไมข้าต้องใส่ใจด้วย”“มิใช่เช่นนั้นสิเจ้าคะ นางเป็นเชลยก็จริงแต่ก็เคยเป็นสตรีทีท่านแม่ทัพหลิวรักหมดหัวใจ ทั้งสองเคยพูดคุยหารือกันเรื่องงานมงคลด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่าครั้นนั้นนางมิได้แสดงตัวตนว่าเป็นบุตรสาวเรือนใดทำให้ท่านแม่ทัพไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของศัตรูเจ้าค่ะ” โจวลี่อิงสาวใช้ประจำกายของฟานหลานซือเอ่ยขึ้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนายหญิงของตน“อะไรนะ ! แล้วท่านแม่ทัพพานางกลับมาที่จวนทำไมกันหรือว่ายังพิศวาสมัน
บทที่ 14 อย่าให้มือเจ้าแปดเปื้อนเลยดวงตาฟางหลานซือแข็งกร้าวด้วยความโมโหเมื่อถูกอวิ๋นหลิงดูถูกเหยียดหยาม เดินไปกระชากผมของอวิ๋นหลิงตบนางที่ใบหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเลือดที่ปากของนางไหลซึมออกมา“เจ้าสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าแคว้นหรือ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่ายามนี้เจ้าเป็นเพียงเชลยไม่มีสิทธิ์มาต่อปากต่อคำกับข้า” เท่านั้นนางยังไม่พอใจเรียกสาวใช้ของตนเองมาจับตัวของอวิ๋นหลิงเอาไว้“โจวลี่อิงเจ้ามาจับตัวของนางเอาไว้และจับมือของนางไว้บนโต๊ะนี่ ดูสิว่าไม่มีมือคอยทำงานเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร” ฟางหลานซือหันไปเจอมีดทำครัวอยู่ตรงนั้นพอดีนางรีบเดินไปคว้ามาฟันที่มือของอวิ๋นหลิง สาวใช้ที่เคยถูกตัดมือยิ้มกริ่มออกมาเมื่ออีกฝ่ายจะโดนเหมือนตนไป๋หนิงซินคุกเข่าลงอ้อนวอนไม่ให้ฟางหลานซือลงมือทำร้ายอวิ๋นหลิง“คุณหนูอย่าทำอย่างนั้นเลย ข้าขอร้องนะเจ้าคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ฟางหลานซือหันขวับจ้องมองไป๋หนิงซินดวงตาราวกับปีศาจจนนางต้องหันหน้าหนีด้วยความกลัว อวิ๋นหลิงพยายามปัดป้องไม่ให้ตัวเองโดนทำร้ายแต่ก็ถูกสาวใช้ของฟางหลานซือจับเอาไว้ ยากนักที่นางจะต่อต้านสายตาข
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที
บทที่ 22 ปล่อยข้าไปเถอะ“ปล่อยข้าเถอะนะ ข้าไม่ต้องการไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย”ไฟราคะปะทุในกายจนรุ่มร้อนไปหมดเขาไม่อาจจะหยุดและทำตามคำพูดของนางได้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าหยุดไม่ได้ หากทุกอย่างไม่เป็นแบบนี่เจ้ามิใช่บุตรของจางชิงหลงและข้ามิใช่ท่านแม่ทัพเราทั้งสองคงได้เป็นสามีภรรยามีบุตรเต็มเรือนเหมือนผู้อื่น ข้าหยุดไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องการเจ้า” ใจของอวิ๋นหลิงสั่นไหวไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจจะหยุดเขาได้ ข้างในแตกสลายไปหมดความขื่นขมมืดมนกลับมาอีกครั้ง นอนทรมานใจในความชั่วช้าบ้ากามเลือดร้อนของไท่หยาง เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงสะอึกสะอื้นของนางด้วยซ้ำ สนใจแต่เรือนร่างที่ถูกเขาย่ำยีอย่างสมฤทัยร่างเล็กนอนขดอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางเจ็บปวดจนสลบไป ลืมตาขึ้นมาอีกครายามนี้ในห้องมืดสลัวไปหมด ลมพัดผ่านผิวกายเย็นยะเยือก ร่างกายเจ็บระบมไปหมดเพียงจะขยับกายนางยังแทบไม่อยากจะดิ้นด้วยซ้ำ ช่วงล่างระหว่างขาเจ็บแปลบขึ้นมา‘การที่เขาทำเช่นนี้ไม่ต่างจากข้าถูกข่มขืนแม้แต่น้อย นี่หรือคำว่ารักของเขา ไม่ว่ากี่คร
บทที่ 21 อย่าให้รังเกียจไปมากกว่านี้“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่มีบุรุษเรือนใดมาเยี่ยมเยือนข้าเลย แต่ข้ามีบุรุษในดวงใจแล้วเจ้าค่ะ ”“ข้าพอจะรู้ว่าบุรุษที่เจ้าหมายใจคือผู้ใด แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้เลยอย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เสนาบดีจื่อเหมามาที่เรือนคราวก่อน มิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเพราะเจ้าไปบอกกล่าวถึงการมีตัวตนของอวิ๋นหลิงและชักชวนเขามาที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมีอวิ๋นหลิงในใจหรือไม่มีใจของข้าก็ไม่มีเจ้า และไม่เคยคิดจะสนใจเจ้าแม้แต่น้อยหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ข้าจะอดทนต่อไปไม่ได้ ต่อจากนี้มิต้องมาหาข้าที่นี่อีก” ใบหน้าของฟางหลานซือพลันเปลี่ยนสีรอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปในชั่วพริบตา“ข้าไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านอากับข้าผ่านมาทางนี้ไม่ได้ตั้งใจมาจริง ๆ นะเจ้าคะ”“อย่าเสแสร้งทำให้ข้ารังเกียจเจ้ามากกว่านี้เลยข้าอยากจำเจ้าให้เจ้าเป็นน้องสาวที่ข้าเอ็นดูเสมือนยามเด็ก กลับไปเสียและเรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะไม่แจ้งท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าเพราะยังไว้หน้า หากเจ้ายังละลานข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านพ่อของเจ้าเสีย”“ข้าไม่มีทางยอม ท่านแม่ทัพใจร้ายยังไงท่านก็ไม่มีทางครองรักกับนางเชลยนั่นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ไม่มี
บทที่ 20 หิมะแรกท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีลมหนาวเริ่มพัดผ่านร่างบางหนาวสั่น หลังจากที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับไท่หยางเขายังคงไม่ปล่อยให้นางกลับไปที่ห้องที่เคยพักแต่ทว่ากลับพานางมาอีกห้องที่อยู่ใกล้ห้องเขามากกว่าเดิม สองเท้าก้าวเข้าไปในห้องตามหลังเขาไปติด ๆ ภายในห้องเสมือนถูกจัดแต่งไว้สำหรับสตรี ในห้องอบอุ่นเหมือนมีไอความร้อนทำให้อุ่น สายตาของอวิ๋นหลิงกวาดสายตามองเตียงนอนที่ตั้งอยู่ต่อหน้ากว้างใหญ่และมีฟูกหนานุ่ม ผ้านวมผืนหน้าต่างจากที่นางเคยใช้อยู่กับไป๋หนิงซิน อีกทั้งยังมีโต๊ะเครื่องแป้งและคันฉ่องบานใหญ่ ในห้องมีไป๋หนิงซินกับหลวนฮวานยืนคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วผ้าไหมกองใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องนั่นคงเป็นผ้าที่ไท่หยางสั่งให้หลวนฮวานไปจัดเตรียมมา‘คิดจะทำอันใดกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด’“ของพวกนี้และห้องนี้จะเป็นที่อยู่ของเจ้าต่อจากนี้ ห้ามปฏิเสธและขัดคำสั่งข้า มิเช่นนั้นข้าจะสั่งโบยแม่บ้านซูที่เลือกและจัดห้องให้เจ้าไม่ดี”“ท่านมันมิใช่คน แต่เป็นหมาบ้าสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกัดผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า ในเมื่อท่านแค้นข้าแล้วจะไปทำผู้อื่นทำไมกัน ในเมื่อข้าเลือกอันใดไม่ได้แม้กระทั่งความตายข้าก็จะทำ