แสงไฟนีออนหลากสีสาดส่องกระทบผิวกระจกเงาบานใหญ่ ณ คลับหรูใจกลางเมืองหลวง เสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์กระหึ่มเร้าใจ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะ ทว่าสายตาแทบทุกคู่กลับจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนโดดเด่นอยู่กลางฟลอร์ คีรินทร์ วรวุฒิไกร ในวัยสามสิบต้นๆ คือเจ้าของฉายาที่ใครๆ ต่างเรียกขานว่า "เพลย์บอยตัวพ่อ" เขาไม่ได้เต้นร่อนไปตามจังหวะเพลงเหมือนคนอื่นๆ เพียงแค่เขายืนเฉยๆ ด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก็สามารถดึงดูดสายตาของหญิงสาวแทบทุกคนในรัศมีรอบตัวให้จับจ้องมาที่เขาได้ คีรินทร์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีดำที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกเล็กน้อย เผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่งและสร้อยคอเงินเรียบหรู ใบหน้าคมคายรับกับดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยประกายแพรวพราว รูปร่างสูงสง่าสมส่วนราวกับเทพบุตรกรีกที่ก้าวลงมาจากสรวงสวรรค์
คีรินทร์ไม่ใช่แค่ผู้ชายหน้าตาดีที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เขายังเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพ VPG Tech ที่กำลังพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดของตลาดหุ้นในเวลาอันรวดเร็ว ความเฉลียวฉลาดทางธุรกิจของเขาเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ชีวิตอย่างหนักเพื่อสร้างฐานะและชื่อเสียง แต่สำหรับคีรินทร์ สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนจะมาหาเขาโดยง่ายดดาย ราวกับฟ้าประทาน หรืออาจเป็นเพราะพรสวรรค์ที่เขามีเกินกว่าคนทั่วไป ความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของสื่อและนักลงทุนทั่วประเทศ และนั่นยิ่งส่งให้ภาพลักษณ์ของเขาดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในสายตาใครหลายคน
แต่ความสมบูรณ์แบบนั้นก็มาพร้อมกับอีกฉายาหนึ่งที่ทำให้หลายคนทั้งชื่นชม อิจฉา และบางครั้งก็ถึงกับออกปากด่าลับหลัง นั่นคือ "เพลย์บอยตัวพ่อ" คีรินทร์ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ เปลี่ยนคู่นอนเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถตรึงเขาไว้ได้เกินสามเดือน ความรักสำหรับคีรินทร์เป็นเพียงเกมล่าที่ไม่ต้องมีคำว่า "แพ้" ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของเขาต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้จะไม่มีคำว่า "ตลอดไป" พวกเธอเต็มใจที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตเขา แลกกับความตื่นเต้น ประสบการณ์หรูหรา และโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองอันดับหนึ่งของประเทศ
คีรินทร์ไม่เคยปิดบังเรื่องความเจ้าชู้ของตัวเอง เขาแฟร์ๆ เสมอ ไม่เคยให้ความหวังเกินเลย เขามักจะบอกกล่าวตั้งแต่ต้นว่าเขาเป็นคนอย่างไร แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แม้จะรู้ความจริง ก็ยังเลือกที่จะมองข้ามและหวังว่าตัวเองจะเป็นคนพิเศษที่สามารถ "หยุด" คีรินทร์ได้ ทว่า...ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ ความรักในความคิดของคีรินทร์เป็นเพียงสิ่งสมมติที่ปรุงแต่งขึ้นเพื่อผูกมัดผู้คนให้จมปลักอยู่กับความเจ็บปวด เขามองว่ามันน่าเบื่อและไร้สาระ การได้ไล่ล่า ได้ครอบครอง และทิ้งไปเมื่อเบื่อหน่ายต่างหากคือความสนุกที่แท้จริง
"เฮ้ยคี! นั่นน้องปุ๊กกี้ใช่ปะวะ ที่มึงเพิ่งควงไปดูคอนเสิร์ตเมื่ออาทิตย์ก่อน" เสียงทุ้มของ ปกรณ์ สุขสวัสดิ์ เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของคีรินทร์ ดังขึ้นข้างหู ปกรณ์ในชุดเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ ตัดกับเสื้อเบลเซอร์สีเข้มที่คลุมทับอยู่บนตัว เขาเป็นคนที่รู้จักคีรินทร์ดีที่สุด และเป็นคนเดียวที่กล้าแซวเรื่องความเจ้าชู้ของเพื่อนอย่างไม่เกรงใจ เขามักจะใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเอือมระอามองคีรินทร์เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง
คีรินทร์ปรายตามองหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงเพลิงที่กำลังเดินควงแขนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งผ่านไปอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย ใบหน้าคมคายไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใดๆ "อืม...มั้ง ไม่แน่ใจว่ะ" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ก่อนจะยกแก้วค็อกเทลในมือขึ้นจิบอย่างเนิบนาบ
ปกรณ์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา "ไม่แน่ใจ? เพิ่งอาทิตย์เดียวเองนะมึง! กูเบื่อความเจ้าชู้ของมึงละนะเนี่ย เปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่น ไม่กลัวเวรกรรมตามทันบ้างรึไงวะ"
คีรินทร์หัวเราะในลำคอแผ่วเบา ดวงตาคมกริบเหลือบมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาหยันๆ "เวรกรรมอะไรวะกร พวกเธอก็เต็มใจมาเองทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับ แล้วกูก็แฟร์ๆ ตลอด ไม่เคยให้ความหวังเกินเลย มีแต่พวกเธอที่ชอบมโนไปเอง" เขาจิบไวน์แดงพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ คลับอย่างเบื่อหน่าย "ว่าแต่คืนนี้มีเหยื่อใหม่ให้กูล่าบ้างยังวะ หรือคืนนี้กูคงต้องกลับไปนอนกอดหมอนข้างเหมือนเดิม"
ปกรณ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คีรินทร์ไม่เคยเปลี่ยน และนี่คือสิ่งที่ปกรณ์เบื่อหน่ายที่สุด “มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ...”
ในอีกซีกหนึ่งของคลับ ที่ซึ่งแสงไฟสปอตไลต์สว่างจ้ากว่าเล็กน้อย และเสียงเพลงก็ไม่ดังกระหึ่มเท่าฝั่งฟลอร์เต้นรำ อลิสา อัศววิมล หรือที่ใครๆ รู้จักในชื่อ ลิซ กำลังยืนต้อนรับแขกวีไอพีด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เธอดูสง่างามและโดดเด่นในชุดราตรีผ้าไหมสีครีมยาวกรอมเท้าที่ตัดเย็บอย่างประณีต เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างลงตัว เส้นผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนคลายสยายลงบนแผ่นหลังเนียน ดวงตาเรียวสวยถูกแต่งแต้มอย่างบรรจง คิ้วโก่งเรียวรับกับจมูกโด่งรั้นที่ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ ปากอิ่มแดงระเรื่อฉาบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ ทุกย่างก้าวของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสง่างามสมกับเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นระดับแนวหน้า "ALISA" แบรนด์ของเธอกำลังเป็นที่จับตามองในวงการดีไซเนอร์ ไม่แพ้ความสามารถทางธุรกิจที่ทำให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุยังน้อย
อลิสาเป็นผู้หญิงที่ฉลาด มีไหวพริบ และมีความสามารถรอบด้าน เธอไม่ใช่แค่ดีไซเนอร์ที่ออกแบบเสื้อผ้าได้งดงาม แต่เธอยังเป็นนักธุรกิจหญิงที่เก่งกาจ สามารถสร้างอาณาจักรแฟชั่นของตัวเองขึ้นมาได้ด้วยสองมือ ความสำเร็จที่เธอสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองทำให้เธอเป็นที่เคารพและยอมรับในวงการ ไม่ต่างจากคีรินทร์ที่เป็นที่รู้จักในแวดวงเทคโนโลยี แต่สิ่งที่เหมือนกันกับคีรินทร์อีกอย่างคือเรื่องความรัก
เบื้องหลังความสำเร็จและรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นคือฉายาที่คล้ายคลึงกับคีรินทร์ "เพลย์เกิร์ลตัวแม่" อลิสาไม่เคยคิดจริงจังกับความรัก ไม่เคยยอมเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนไหน และมองว่าความสัมพันธ์ทุกรูปแบบเป็นเพียงของเล่นชั่วคราว อลิสาเปลี่ยนคู่ควงบ่อยกว่าที่ใครจะนับได้ และไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่สามารถมัดใจเธอไว้ได้จริงๆ เธอเชื่อว่าการไม่ผูกมัดหัวใจกับใครคือเกราะป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดที่ดีที่สุด เธอเคยเห็นผู้หญิงหลายคนจมปลักอยู่กับความรักจนสูญเสียทุกอย่าง และเธอไม่ต้องการเป็นเช่นนั้น อลิสามั่นใจในเสน่ห์และไหวพริบของตัวเอง เธอควบคุมเกมรักได้อย่างเหนือชั้นเสมอ และไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่สามารถพิชิตหัวใจที่แข็งแกร่งดุจหินผาของเธอได้
"ลิซ คืนนี้ฮอตเป็นพิเศษเลยนะยะ หนุ่มๆ รุมล้อมเต็มไปหมด" เสียงใสของ มิ้นท์ นารากุล เพื่อนสนิทและที่ปรึกษาคนสำคัญของอลิสา ดังขึ้นข้างหู มิ้นท์เป็นหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้ม เธอสวมชุดเดรสสั้นสีฟ้าสดใส มิ้นท์เป็นคนเดียวที่รู้ทุกความลับของอลิสา และเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
อลิสาหัวเราะคิกคัก น้ำเสียงสดใสแต่แฝงความเบื่อหน่าย "ก็เป็นปกติแหละแก หนุ่มๆ สมัยนี้ก็แค่ชอบผู้หญิงแซ่บๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นหรอก" เธอจิบแชมเปญในแก้วพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ คลับอย่างเบื่อหน่ายเช่นกัน "ว่าแต่แกเหอะ คืนนี้มีเป้าหมายใหม่ให้ฉันเล่นด้วยบ้างรึยัง? เริ่มเบื่อของเก่าแล้วนะ"
มิ้นท์ส่ายหน้า พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกับที่ปกรณ์ทำ “หยุดพักหายใจหายคอกับความเจ้าชู้ของแกบ้างก็ได้นะลิซ ฉันละเพลียจริงๆ”
“ทำไมยะ แกอยากให้ฉันเป็นแม่ชีรึไง” อลิสายิ้มยั่ว
“เปล่า ฉันแค่อยากให้แกเจอคนที่ทำให้แกหยุดได้สักที” มิ้นท์ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น “แต่คืนนี้ฉันมีอะไรที่น่าสนใจกว่าการหาเป้าหมายใหม่ให้แกเล่น”
“อะไรยะ” อลิสาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเริ่มมีประกายสนใจ
“คู่ปรับ! คู่ปรับตัวฉกาจ ที่แกต้องสนใจแน่ๆ” มิ้นท์ยิ้มกริ่ม แววตาเต็มไปด้วยแผนการไม่ต่างจากปกรณ์ “ฉันจะแนะนำให้แกรู้จักกับ... คีรินทร์ วรวุฒิไกร”
ชื่อของคีรินทร์และอลิสาไม่เคยเป็นที่แปลกใหม่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ทั้งคู่ต่างเคยได้ยินกิตติศัพท์ของอีกฝ่ายมาบ้าง ภาพลักษณ์ของ "เพลย์บอย" กับ "เพลย์เกิร์ล" นั้นคล้ายคลึงกันจนน่าหมั่นไส้ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบชื่นชมในความ "แน่" ของอีกฝ่าย ว่าทำไมคนๆ นั้นถึงได้ฮอตและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากขนาดนี้
คีรินทร์กับอลิสา ต่างคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาบ้างเล็กน้อย ต่างคนต่างรู้สึกหมั่นไส้ในความ "แน่" ของอีกฝ่าย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า
ตอนพิเศษ งานวิวาห์ของธาราและอิงดาวเสียงดนตรีไทยบรรเลงอย่างไพเราะเสนาะหู กลิ่นหอมของดอกมะลิและดอกกล้วยไม้ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณเรือนไทยโบราณที่ถูกประดับประดาอย่างงดงามด้วยผ้าไหมสีทองและดอกไม้นานาพันธุ์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมากระทบกับเครื่องประดับทองคำที่เจ้าสาวสวมใส่ ส่องประกายเป็นประกายระยิบระยับวันนี้เป็นวันสำคัญ วันที่หัวใจสองดวงจะผูกพันกันชั่วนิรันดร์ วันวิวาห์ของธาราและอิงดาวหลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อกัน เรื่องราวความรักของพวกเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความกังวลของครอบครัว ความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง และแรงกดดันจากขนบธรรมเนียมประเพณีคีรินทร์และอลิสาพ่อแม่ของธารา รู้สึกประหลาดใจและกังวลใจอย่างมากเมื่อลูกชายสารภาพว่าเขารักอิงดาวเกินกว่าคำว่าน้องสาว“ธาราลูก ลูกแน่ใจหรือ” อลิสาถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจในวันนั้น “อิงดาวเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรานะลูก”คีรินทร์เองก็เสริม “เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนนะลูก มันอาจจะทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจกับครอบครัวเราได้”ทางด้านมิ้นท์และปกรณ์ พ่อแม่ของอิงดาว ก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก โดยเฉพาะมิ้นท์ที่เป็น
ตอนที่ 131 ธาราสารภาพรักอิงดาว (ตอนจบ)สายลมยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พัดเอื่อยๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบของธารา แสงไฟจากโคมไฟหัวเตียงสลัวๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของธาราและอิงดาวที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน บรรยากาศเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ได้ยินหลังจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจเริ่มคลี่คลาย และอิงดาวได้ยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ไปแล้ว ความใกล้ชิดระหว่างธาราและอิงดาวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น สัญญาณจากใจที่ทั้งคู่ส่งออกมาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่กำแพงที่มองไม่เห็นของความเป็นลูกพี่ลูกน้องก็ยังคงกั้นขวางอยู่วันนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งกลับจากการทานอาหารค่ำด้วยกัน ธารารู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะพูดความในใจออกไป เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าธาราสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามี“อิงดาวครับ พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับอิงดาว” ธารากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนอิงดาวรู้สึกได้อิงดาวหันมามองธารา ใบหน้าข
ตอนที่ 130 สัญญาณจากใจหลังจากอิงดาวยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็ยังคงใช้เวลาอยู่กับธารามากขึ้น พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น ความรู้สึกระหว่างธาราและอิงดาวเริ่มเปลี่ยนไปอย่างละเอียดอ่อน มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการมองตาที่ยาวนานกว่าปกติ การสัมผัสกันโดยบังเอิญที่ทำให้ใจเต้นแรง หรือบทสนทนาที่ลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นพี่น้อง ธารายังคงไม่กล้าสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไป แต่อิงดาวเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง บทสรุปของตอนนี้จะทิ้งท้ายไว้ให้ผู้อ่านลุ้นว่าความสัมพันธ์ของธาราและอิงดาวจะก้าวไปในทิศทางใดต่อไปในอนาคตสายลมยามเย็นพัดโชยอ่อนเข้ามาในระเบียงคอนโดมิเนียมของธารา แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนผืนฟ้า อิงดาวนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้หวายตัวโปรดของธารา ส่วนธารากำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหารว่างเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักหน่วงเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางธุรกิจของ ‘มั่งคั่งแลนด์’ บรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย
ตอนที่ 129 ความรักที่ต้องเลือกอิงดาวเริ่มทบทวนความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอตระหนักว่าพฤกษ์อาจไม่ใช่คนที่เธอต้องการจริงๆ ในยามยาก และความรู้สึกที่เธอมีต่อพฤกษ์อาจเป็นเพียงความประทับใจชั่วคราว เธอตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ ทำให้ธารารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้ เพราะยังคงสับสนกับกำแพงของความเป็นพี่น้องที่คอยกั้นขวางพวกเขาอยู่ค่ำคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำรามก้องสะท้อนความรู้สึกภายในใจของอิงดาวที่กำลังปั่นป่วน เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นของเธอ ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด มือถือวางคว่ำหน้าอยู่ข้างๆ เธอไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เพราะเธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองวิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาได้กลายเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับชีวิตของอิงดาว และรวมถึงความสัมพันธ์ของเธอกับพฤกษ์ด้วย ในช่วงที่เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากที่สุด พฤกษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดหวังเธอจำได้ว่าเธอเคยรู้สึกประทับใจในตัวพฤกษ์มากแค่ไหน เขาเป็นคนฉลาด มีเสน่ห์ มีความมั่นใจ และดูเหมือนจะเข้าใจเธอในหลายๆ เรื่อง แต่เมื่อวิก
ตอนที่ 128 เมื่ออิงดาวต้องการที่พึ่งจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจ อิงดาวรู้สึกท้อแท้และเปราะบางมาก เธอเริ่มรู้สึกว่าพฤกษ์ไม่ได้ให้กำลังใจเธอเท่าที่ควร หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้า อิงดาวหันมาพึ่งพาธารามากขึ้นเธอระบายความในใจและความกังวลให้กับธาราฟัง ธารารับฟังด้วยความเข้าใจและให้กำลังใจน้องสาวอย่างเต็มที่ เขากอดอิงดาวแน่นเพื่อปลอบประโลม เมื่ออิงดาวได้อยู่ในอ้อมกอดของธารา เธอกลับรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ธาราเองก็รู้สึกเจ็บปวดที่เห็นอิงดาวเสียใจ แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเธอเสียงฝนพรำนอกหน้าต่างห้องทำงานของอิงดาวในค่ำคืนที่เงียบสงัด สะท้อนกับหยาดน้ำตาที่คลออยู่เต็มดวงตาของเธอ รายงานตัวเลขผลประกอบการที่แสดงถึงการขาดทุนอย่างต่อเนื่องวางแผ่บนโต๊ะ เหมือนเป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกท้อแท้และเปราะบางในใจของเธอ วิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทำให้อิงดาวรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความสิ้นหวังเธอพยายามที่จะเข้มแข็ง พยายามที่จะยิ้มและให้กำลังใจทีมงาน แต่ลึกๆ แล้ว เธอกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับไหว เธอพยายามโทรหาพฤกษ์
ตอนที่ 127 โอกาสที่ใกล้ชิดเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ธุรกิจของอิงดาวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ธาราในฐานะพี่ชายและผู้บริหารที่มีประสบการณ์ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลืออิงดาวอย่างเต็มที่ พวกเขาต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหา วิกฤตการณ์นี้กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ธาราและอิงดาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และได้เห็นความสามารถและความมุ่งมั่นของกันและกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ธารารู้สึกดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างอิงดาวในยามยาก แต่ก็เจ็บปวดที่ต้องเห็นอิงดาวเสียใจจากปัญหาที่เกิดขึ้นเช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ดูจะมืดครึ้มกว่าปกติ คล้ายกับเมฆหมอกที่ปกคลุมบรรยากาศในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ ข่าวใหญ่พาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ: “เศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนัก ส่งผลกระทบตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์” “ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ”มาตรการที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม และแน่นอนว่า ‘มั่งคั่งแลนด์’ ของอิงดาวก็ได้รับผลกระทบอย่างจัง โครงการที่กำลังพัฒนาหลายแห่