ความเปลี่ยนแปลงขององค์ชายเจ็ดเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างสีฉลองพระองค์ ที่ก่อนเคยมีให้ผู้คนเห็นเพียง 2 สี แต่หลังจากตื่นมาความจำเสื่อมก็กลายเป็น 7 สีที่เปลี่ยนไปทุกวันและใส่วนซ้ำทุก 7 วันจนคนในวังหลวงต่างก็เห็นตรงกันว่า องค์ชายเจ็ดวิปลาสไปเสียแล้ว
นาย อันวาร์ วราหะ (อายุ 26 ปี) ในชีวิตจริงจังเพียง 2 เรื่อง หนึ่งคือหนังสือที่เขาจะอ่าน และอีกหนึ่งคือ...สีเสื้อ
ตามปกติหากไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหน ทั้งตัวเขาก็จะมีเพียงที่คาดผมพลาสติกสีน้ำตาลเรียบ ๆ อันหนึ่งที่แอบหยิบของแม่มาใส่ โทรศัพท์มือถือ เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเฟท/สเตย์ ไ*ท์ [1] ขนาดโอเวอร์ไซซ์และกางเกงบ็อกเซอร์ย้วย ๆ ลายดาวตัวหนึ่ง ที่ย้วยมากเสียจนต้องใช้หนังยางมามัดขอบกางเกงไว้เหมือนถุงแกง แต่วันไหนที่เขาต้องก้าวขาออกจากบ้าน วันนั้นเขาจะเลือกสีเสื้อผ้าเป็นพิเศษ
คล้ายการลองใส่เสื้อยืดตามสีมงคลรายวันไปสอบปลายภาคสมัยอยู่ม.6 แล้วได้คะแนนดีจะทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาในศาสตร์แห่งสีเสื้อนี้ขึ้นมา และหลังเหตุการณ์นั้น เขาก็เปิดโทรศัพท์ดูสีเสื้อมงคลมันทุกเช้า
หลังเหตุวุ่นวายที่องค์หญิงหวังต้าเหยียนกันแสงตั้งแต่แรกเจอพระเชษฐา ผู้คนในแคว้นหยางพอทราบข่าวก็พากันชื่นชมและซาบซึ้งในสายใยครอบครัวของราชวงศ์ ผิดกับผู้คนในวังหลวงผู้อยู่เหตุการณ์ที่ต่างก็เข้าใจตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าเป็นเพราะเหตุใด…สีฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิ และองค์ชายเจ็ดไม่มีอะไรในวังหลวงหยางทำให้ใครหลายคนหลั่งน้ำตาได้พร้อมกันมากมายเท่าสิ่งนี้แล้ว!แสบตั้งแต่ตาถึงกลางทรวง แสบจนแม้ทั้งสองพระองค์จะมิได้ทรงฉลองพระองค์สีสันบาดอกบาดใจแล้ว แค่นึกถึงพวกเขาก็ขนหัวลุกและปวดแสบปวดร้อนดวงตา ราวกับที่ตาบาดแผลที่มองไม่เห็นเย็นวันนั้น ขณะองค์จักรพรรดิและองค์ชายเจ็ดเสด็จพาองค์หญิงหวังต้าเหยียนไปเสวยพระกระยาหารค่ำในห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิเพียงสามพระองค์ บรรดาขันทีในราชสำนักก็แอบจัดประชุมกันที่มุมหนึ่งของวังหลวงขนาดองค์ชายมีเฉินฝู่หมิง และองค์จักรพรรดิมีขันทีหม่าเยว่คอยให้คำปรึกษาแล้ว การแต่งกายยังฉูดฉาดเช่นนี้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้น้อยที่มิได้ใกล้ชิดกับทั้งสองพระองค์นักจะไปทัดทาน หรือห้ามปรามทั้งสองพระองค์ก็คงไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่องค์หญ
หวังต้าเหยียนไม่เคยนั่งเสลี่ยงหรือรถเทียมม้าเทียมลามาก่อน และอย่าว่าแต่อาภรณ์ผ้าไหมหรือเครื่องประดับตกแต่งเส้นผม แค่มีอาหารให้กินจนอิ่มท้อง นางยังไม่เคยมีเลยแต่นี่ หลังแม่ทัพนามหลินซีช่วยชีวิตนางจากพ่อค้าทาส แล้วประกาศว่านางคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยาง ชีวิตของนางก็เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าวปลาอาหาร และบ่าวรับใช้ อยู่ ๆ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นมาราวภาพมายาการเดินทางข้ามแคว้นใช้เวลานานหลายวัน แต่อยู่กลางขบวนทัพแห่งแคว้นหยางนางกลับไม่เคยต้องลำบาก หลินซีจัดหาทุกอย่างมาให้นาง ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ เครื่องประดับ และห้องหับให้หลับนอน แล้วไหนจะอารักขาและแพทย์หลวงอีกทุกอย่างมาอย่างรวดเร็วและเกินจริงเกินไปสำหรับหวังต้าเหยียน สาวน้อยผู้ยากไร้ในวัย 15 ปี นางข้องใจเรื่องชาติกำเนิดว่าตนเป็นองค์หญิงจริงหรือ และอาภรณ์ราคาแพงที่หลินซีสรรหามาให้นั้นคู่ควรกับนางแน่หรือ...ใช่ของนางจริง ๆ หรือ เพราะมันดีเกินไป ดีจนนางสงสัยในโชคชะตาจริงอยู่ที่นางชอบข้าวของราคาแพง ชอบสัมผัสของผ้าไหมบนร่างกาย ชอบอาหารโอชารส และความเอาใจใส่ของหลินซี อย่างว่าของดีใครจะไม่ชอบ
เพราะอีกไม่กี่วันสมาชิกใหม่จะมาเยือนวังหลวง อันวาร์จึง......ออกจากวังหลวงไปปรากฏตัวที่หน้าร้านตัดเสื้อของช่างตัดฉลองพระองค์คนโปรดตั้งแต่เช้าตรู่ ไปยืนรอร้านเปิดเสียด้วย ประมาณว่า แค่มีคนออกมาปลดกลอนประตูร้านก็จะเห็นเขาและซานหลินเลยแค่คิดถึงสีเสื้อนอกที่จะสั่งตัด อันวาร์ก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ มีความสุขเหลือเกินที่ได้ออกจากวังหลวงมาซื้อเสื้อผ้าเขานับดูแล้ว วันที่หวังต้าเหยียนจะมาถึงวังหลวงคือ วันเสาร์ และเพื่อแสดงจุดยืนของพี่ชายที่อบอุ่นใจดี เสื้อนอกตัวใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเขาจะใส่ม่วงเข้มแบบยามปกติไม่ได้ เพราะน้องอาจมองว่าเขาเป็นคนมืดหม่น ฉะนั้น เพื่อเพิ่มความสดใส มันเลยต้องกลายเป็นสีม่วงแดง ม่วงแดงแบบดอกบานเย็นสีม่วง แบบมันม่วงโดนสารเร่งเนื้อแดง แบบตัวละครไดโนเสาร์ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กในตำนานที่ใครหลายคนเคยดูตอนเด็ก ๆ หรือไม่ก็สีเงินวิบวับ เงินขาวปักดิ้นเงินเหมือนสีปากกากากเพชรอืม ว่าไปเงินวิบวับก็ดีนะ น้องจะได้เห็นเขาตั้งแต่ยังอยู่บนเสลี่ยง ยิ่งยืนอยู่กลางแดดนะ อู้ฮูสุดยอด น้องจะต้องจดจำเขาไปจนวันตาย เขาบอกเลย แต่เอ๊ะ...อีกใ
มีเพียงผู้ที่สวรรค์ประทานนัยน์ตาทองคำให้เท่านั้นที่มีสายเลือดหยางมารดาไม่ค่อยเล่าเรื่องของบิดาให้นางฟังนัก บอกเพียงว่า นางมีใบหน้าคล้ายเขาอยู่มากโดยเฉพาะนัยน์ตาทองคำจริงอยู่ที่แปดแคว้นไม่มีกฎห้ามสตรีเป็นทหาร แต่เพราะดำเนินอยู่ในสังคมปิตาธิปไตย ทหารที่เป็นสตรีจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และเกือบทุกนางต้องทำงานหนักกว่าบุรุษถึงสองเท่า หรือมีผลงานที่โดดเด่นโดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับในหมู่ทหารด้วยกันเอง...เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้น หวังต้าเหยียนก็ยังอยากเป็นทหารยังคงอยากเป็น แม้ชีวิตของนางจะพบเจอแต่มรสุมที่คล้ายแต่จะทำให้ความฝันนั้นไกลห่างออกไปหวังต้าเหยียนเกิดในแคว้นเยี่ย แคว้นทางใต้ที่มีอาณาเขตติดทะเล และนับตั้งแต่จำความได้ในบ้านไม้หลังเล็กของนางก็มีเพียงนางและมารดาแล้ว และเพราะบ้านนางยากจนข้นแค้น มารดาจึงต้องออกจากบ้านไปทำงานอาบเหงื่อตากน้ำตั้งแต่เช้าจรดพลบค่ำ ซึ่งเงินที่ได้มานั้นเมื่อหักค่าเรียนหนังสือของหวังต้าเหยียนออกไปก็แทบจะมีไม่พอยาไส้สองแม่ลูกอดมื้อกินมื้อ กินแต่น้ำเปล่าบ้าง น้ำแกงใส ๆ บ้า
เมื่อซานหลินกลับมาอยู่ข้างกายอันวาร์ เฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็ขอตัวกลับไปที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดอันวาร์พอหมดธุระกับหวังต้าเหยียนแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือรจนา แต่พอสอบถามกับขันทีผู้ทำหน้าที่ดูแลนัดหมายขององค์จักรพรรดิแล้วทราบว่า หญิงสาวในร่างชายหนุ่มออกไปทำธุระนอกวัง และจะกลับมาในช่วงเย็น เขาก็ชวนซานหลินออกไปเดินเล่นรอบวัง เพื่อฆ่าเวลารอหล่อนแทนตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับไปเล่นกับหวังต้าเหยียนอีกรอบ แต่คิดไปคิดมา เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักของนาง หากกลับไปตอนนี้มันก็จะเขินหน่อย ๆ ไว้เขาเดินเล่นจนเท้าปวดแล้วค่อยแวะไปหานางอีกทีน่าจะดีกว่า เผื่อเขาจะได้ขนมจากโรงครัวไปฝากนางด้วยเขาเพิ่งได้ออกมานอกตำหนักเมื่อเช้า อยู่อุดอู้ในนั้นมาก็ตั้ง 17 วัน ขอเขาออกไปเดินเหินที่อื่นนอกจากตามห้องหับในตำหนักของตนบ้างเถอะ ถึงนิสัยเขาดั้งเดิมจะติดบ้านแค่ไหน ให้มาอยู่เหมือนกักตัวเป็นโรคระบาดแบบนี้ เขาเองก็ไม่ไหวหรอกนะ บอกเลยอันวาร์และซานหลินพากันเดินไปทั่วพระบรมมหาราชวังหยาง พวกเขาเดินตั้งแต่ตำหนักของหยางลู่จื้อ โรงครัวกลาง สนามหญ้าหลังโรงครัว ลานฝึกทหาร หอจดหมายเหตุ โรงเก็บม้า ศาลากลางน้ำ
เขาถามจริง ๆ นะมีพระเอก-นางเอกในนิยายข้ามมิติที่ไหนต้องมานั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ กฎหมาย ภูมิศาสตร์ และความรู้รอบตัวของโลกใบใหม่ที่มาอยู่แบบเขาบ้างไหม (ใช่ เขาได้ทำการนับตัวเองเข้าแก๊งพระเอก-นางเอกนิยายข้ามภพแล้ว) ปกติเขาเคยเห็นแต่ตัวเอกโผล่มาแล้วก็เก่งเลยนะ แบบเป็นผู้สร้างนวัตกรรมพาโลกที่มาอยู่อาศัยสู่ยุคใหม่อะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็มาเป็นหมอคือไม่ใช่อะไรหรอก เขา อันวาร์ วราหะแค่อยากหาเพื่อนเฉย ๆ(อนึ่ง เขาขอยกเว้นคนที่มาเกิดใหม่เป็นทารก เพราะอันนั้นเป็นภาคบังคับที่ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา)เรียนหนังสือคนเดียวแล้วมันเปลี่ยวหัวใจ แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือนอกจากจะเรียนอยู่คนเดียวแล้ว อีเจ๊ยังกลัวเขาไม่อ่านหนังสือเลยจัดสอบให้เขาด้วยนี่สิใช่ เขามีสอบด้วย สอบเหมือนเด็กประถม มัธยม อุดมศึกษาเลย“ฉันจะควิซแกทุกเจ็ดวัน และถ้าแกสอบตกฉันจะหักเบี้ยเลี้ยงแก”“แล้วถ้าผมผ่านล่ะ”“ฉันก็แค่ไม่หักไง”แม่เจ้า! นี่มันฉีกขนบธรรมเนียมประเพณีของคนข้ามมิติเลยไม่ใช่เหรอวะ! โอ้โฮ มากงมาเกิดใหม่