ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง
“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”
“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชาย
มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลิน
ซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อเข้าวัยรุ่นจึงกลายเป็นโจรปล้นสุสานไปโดยปริยาย
แต่อยู่เป็นโจรจนกระทั่งอายุได้ 15 ปี กองโจรของตนก็อุตริไปปล้นสุสานของราชวงศ์หยาง จึงได้พบเจอกับซูมู่ถง เมื่อครั้งราชองครักษ์สูงวัยยังเป็นแม่ทัพในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน
เพื่อสมบัติชิ้นสำคัญของราชวงศ์ ซูมู่ถงและกองทหารจึงไล่ล่ากองโจรของซานหลินไม่ต่างจากสุนัขล่าเนื้อ และสุดท้ายก็ปราบได้ทั้งหมด
ยามนั้น ซานหลินเหลือเพียงตัวคนเดียวสภาพสะบักสะบอม ไม่มีสหายโจรที่เหลือลมหายใจ แต่เดนคนเช่นเขาคือคนที่ไม่ยอมตายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจโดยแท้จริง เมื่อจนตรอกไร้ทางหนีจึงตัดสินใจสู้จนตัวตาย ซูมู่ถงเห็นเขาฝีมือดี หลังต่อสู้กับเขาจนชายหนุ่มไม่เหลือสภาพจะขัดขืนได้อีกก็ตัดสินใจรับเขาเข้ากองทัพ
“ไอ้หนู...ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ อย่ามาตายด้วยน้ำมือข้าเลยดีกว่า”
แล้วนับจากวินาทีนั้นมา เขาก็กลายเป็นพลทหารนายหนึ่งในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน ชีวิตในสนามรบไม่สะดวกสบายนักสำหรับหลายคน แต่สำหรับเขา นี่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งมีกินทุกมื้อ ทั้งได้รับการรักษาบาดแผล แล้วไหนจะหน้าตาทางสังคมอีก
ชีวิตใหม่ เขาเรียกมันเช่นนั้น และนั่นก็ทำให้เขาเคารพรักซูมู่ถงไม่ต่างจากบิดา
ซานหลินเป็นทหารชั้นผู้น้อยได้ไม่กี่ปี ด้วยผลงานและความสามารถอันโดดเด่น ชายหนุ่มก็ได้รับการโยกย้ายเลื่อนขั้นมาอยู่ในกองรบพิเศษขององค์จักรพรรดิ เขามีตำแหน่งเป็นรองเพียงซูมู่ถงด้วยวัยเพียง 18 ปี กลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยาง และในอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 3 ปี องค์จักรพรรดิก็พระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรสในครรภ์ของพระมเหสี และเลื่อนเขาขึ้นมาแทนที่ซูมู่ถง
ซานหลินดำรงตำแหน่งแม่ทัพอยู่ราว 14 ปี อยู่มาวันหนึ่งซูมู่ถงก็เรียกหาเขา ชวนเขาออกไปร่ำสุราเช่นสมัยยังอยู่กองทัพด้วยกัน ก่อนจะชวนเขามาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
ยามแรก อาจเพราะมึนเมาจึงไม่ใคร่จะเข้าใจนัก แต่เมื่อระลึกได้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิหยางประชวรอย่างหนักก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เป็นรับสั่ง หรือเป็นท่านที่ประสงค์จะเรียกหาข้า” เขาถามด้วยความใคร่รู้ แม้ตามจริงไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำชวนของซูมู่ถง และคำตอบที่ได้มาก็คือ
“ทั้งสองอย่าง”
ซานหลินไม่ใช่คนโง่ เพียงบทสนทนาก็รับรู้แล้วว่า องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานต้องการสิ่งใด
คำสั่งที่มิได้เอ่ย ความรักที่มิเคยแสดงออกให้ผู้ใดได้เห็น
ห้องทรงงานที่หันหน้าไปทางตำหนักองค์ชายเจ็ด ช่องหน้าต่างที่ยามเหนื่อยล้า จะทำทีเป็นย่างพระบาทผ่านเพื่อทอดพระเนตร และพระพักตร์เครียดขรึมที่คล้ายจะคลายลงไปกว่าครึ่ง ทุกครั้งที่ได้เห็นความเป็นไปของตำหนักองค์ชายเจ็ด
ยามประชวร นัยน์พระเนตรยังมีห่วง หากพระองค์ไม่อยู่แล้วเพียงซูมู่ถงคงไม่เพียงพอดูแลพระโอรส เป็นซานหลินไปอีกหนึ่งคงเป็นไปได้
ซานหลินเห็นทุกอย่าง
“เช่นนั้นก็ตามนั้น” สุราขมปร่า คืนนั้นเขาร่ำสุราจนรุ่งสาง ยามกลับไปถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิหยางไท่ซานทันที แล้วก็คล้ายพระองค์จะรออยู่ก่อนแล้ว
หยางไท่ซานประทับกึ่งบรรทมอยู่บนแท่นบรรทมกว้าง พระเนตรทองคำสงบนิ่งแน่วแน่มองมายังซานหลิน แล้วสายวันนั้น ป้ายหยกประจำตัวของซานหลินก็เปลี่ยนจากตำแหน่งแม่ทัพเป็นราชองครักษ์
“หากทำเช่นนี้ จะไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายพระองค์อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยแก่องค์จักรพรรดิ หลังได้ป้ายหยกชิ้นใหม่มา
“คนจะตายที่ไหนกลัวความโดดเดี่ยวกัน” พระองค์ตรัส สุรเสียงทุ้มต่ำแฝงแววรำคาญ คาดว่าก่อนหน้าคงเป็นซูมู่ถงที่มาทัดทานการตัดสินพระทัยของพระองค์ แต่ไม่นานพระเนตรก็อ่อนแสงลงคล้ายยามพระมเหสีหลี่ยังอยู่
“...เขากลัวกันแค่ว่าคนที่ต้องอยู่ต่อต่างหากจะเป็นเช่นไร” พระองค์เอ่ย ทรงหันพระพักตร์คมไปทางห้องทรงงาน และไม่ต้องบอกซานหลินก็รู้ว่าพระองค์ทอดพระเนตรไปหาสิ่งใด
แล้วนับจากนั้นมา ซานหลินก็กลายเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
แค่แรกเห็นพระพักตร์ขององค์ชายเจ็ดในรอบหลายปีที่ศาลากลางน้ำ เขาก็แทบลืมหายใจ
เล่าลือกันว่าทรงประพิมพ์ประพายคล้ายพระมารดาอย่างยิ่งยวด และแม้ซานหลินจะเคยเห็นยามพระโอรสเป็นเพียงทารก ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเหมือนพระมเหสีหลี่ราวกับพระนางยังมีลมหายใจ
ทั้งพระพักตร์รูปเพชร พระขนงกระบี่รับพระนาสิกโด่งเป็นสัน ริมพระโอษฐ์เป็นกระจับได้รูปสีชมพูระเรื่อตัดกับพระฉวีสีทรายอมขาว และพระหนุกลมมนสวย ทุกอย่างเป็นของพระมเหสีหลี่ เห็นจะมีพระเนตรทองคำคู่คมเท่านั้นที่ทรงได้มาจากองค์จักรพรรดิหยาง
จะติดก็เพียงว่าพระมเหสีหลี่นั้นอ่อนหวานแช่มช้อย ในขณะที่องค์ชายเจ็ดนั้นเย็นชาน่ายำเกรงเกินกว่าวัย
“กระหม่อมนามซานหลิน จากนี้ไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” สุรเสียงยังไม่แตกหนุ่มดี แต่บางอย่างในน้ำเสียงกลับทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกเดียวกันกับยามพบเจอคนตายไม่มีผิดเพี้ยน
แล้วหลังซานหลินมาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดได้ไม่นาน บรรดาพระโอรสและพระธิดาองค์อื่น ๆ ในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็ค่อย ๆ สิ้นพระชนม์ไปทีละพระองค์
องค์จักรพรรดิยังไม่ทันสวรรคต การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พี่น้องก็เริ่มขึ้นเสียแล้ว และเมื่อหยางไท่ซานจากโลกนี้ไป สิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์ของหยางซิงอีก็กลับคืนมา และกว่าจักรพรรดิหยางพระองค์ใหม่จะขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ตำหนักขององค์ชายเจ็ดก็ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ตำหนักแห่งความตาย” แล้ว
เพื่ออำนาจ กระทั่งพี่น้องกันเองก็ไม่เว้นชีวิต และเพื่อเอาตัวรอดถึงมือต้องเปื้อนเลือดก่อบาปกรรมแก่คนในครอบครัว...หากไม่อยากตายก็ต้องกระทำ
บัลลังก์หรือชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและมือเปื้อนเลือดของหยางซิงอี ยุวกษัตริย์พระองค์นี้ประสงค์หรือดำริสิ่งใด
แต่บางอย่างในตัวซานหลินบอกเขาว่า เป็นอย่างหลัง และไม่เพียงประสงค์จะมีชีวิตรอดเท่านั้น พระองค์ยังประสงค์ชีวิตที่มีความสุขเสียด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่เสด็จออกไปเมามายกับฤทธิ์สุราแทบไม่เว้นวันเพื่อลืมเลือนทุกสิ่งอย่างหรอก
แล้วในสายวันหนึ่งก็คล้ายความปรารถนาของพระองค์จะเป็นจริงขึ้นมา
นัยน์ตาสุกใส พระพักตร์อ่อนโยน พระองค์เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปลี่ยนไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหยางซิงอีคนนี้เป็นผู้ใดมาสถิตร่าง
ไม่มีอีกแล้วหยางซิงอีผู้น่าสงสารเลือดเย็น มีเพียงหยางซิงอีคนนี้ผู้อ่อนหวานหนักหนา
ซานหลินมองพระสรวลสดใสของหยางซิงอีคนใหม่ ขณะใจคิดถึงหยางซิงอีคนก่อน
หากมีโอกาสเขาก็อยากถามพระองค์ว่า พระองค์มีความสุขแล้วหรือไม่ นี่รึเปล่าคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนา และหากพระองค์ตอบว่าใช่ เช่นนั้นเขาก็ยินดีกับพระองค์ ส่วนหยางซิงอีคนใหม่นี้ หากทรงอยากออกไปท่องเที่ยว หรืออยากเล่นสนุกเช่นเด็กหนุ่มธรรมดา เขาจะคอยติดตามดูแลให้ปลอดภัยเอง
“องค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“จ๋าจ้ะ...เอ๊ย! ว่าอย่างไรหรือซานหลิน”
“กระหม่อมสงสัยว่าเจ็ดสี ที่พระองค์อยากได้มาเป็นสีฉลองพระองค์นั้น มีสีใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่าน...เอ๊ย! เจ้าถามได้ดีมาก”
“เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น!”
“แล้วพระองค์อยากได้สีใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ ซานหลินข้าว่าจะม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงสักหน่อย เจ้าว่าดีหรือไม่”
“หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ว่าดีพ่ะย่ะค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ! ขอบใจเจ้ามากนะซานหลิน”
ติดตามเหมือนที่เคยตามเสด็จพระบิดา
ติดตามเหมือนที่เคยตามพระองค์
ความเปลี่ยนแปลงขององค์ชายเจ็ดเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างสีฉลองพระองค์ ที่ก่อนเคยมีให้ผู้คนเห็นเพียง 2 สี แต่หลังจากตื่นมาความจำเสื่อมก็กลายเป็น 7 สีที่เปลี่ยนไปทุกวันและใส่วนซ้ำทุก 7 วันจนคนในวังหลวงต่างก็เห็นตรงกันว่า องค์ชายเจ็ดวิปลาสไปเสียแล้วนาย อันวาร์ วราหะ (อายุ 26 ปี) ในชีวิตจริงจังเพียง 2 เรื่อง หนึ่งคือหนังสือที่เขาจะอ่าน และอีกหนึ่งคือ...สีเสื้อตามปกติหากไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหน ทั้งตัวเขาก็จะมีเพียงที่คาดผมพลาสติกสีน้ำตาลเรียบ ๆ อันหนึ่งที่แอบหยิบของแม่มาใส่ โทรศัพท์มือถือ เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเฟท/สเตย์ ไ*ท์ [1] ขนาดโอเวอร์ไซซ์และกางเกงบ็อกเซอร์ย้วย ๆ ลายดาวตัวหนึ่ง ที่ย้วยมากเสียจนต้องใช้หนังยางมามัดขอบกางเกงไว้เหมือนถุงแกง แต่วันไหนที่เขาต้องก้าวขาออกจากบ้าน วันนั้นเขาจะเลือกสีเสื้อผ้าเป็นพิเศษคล้ายการลองใส่เสื้อยืดตามสีมงคลรายวันไปสอบปลายภาคสมัยอยู่ม.6 แล้วได้คะแนนดีจะทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาในศาสตร์แห่งสีเสื้อนี้ขึ้นมา และหลังเหตุการณ์นั้น เขาก็เปิดโทรศัพท์ดูสีเสื้อมงคลมันทุกเช้า
ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจเจ้ามาก”เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชายมีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลินซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื
คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือดราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆกรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโม
บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดีเฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไรนางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน
ใต้แดดสายที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างและแมกไม้เข้ามาในห้องบรรทมกว้าง บนแท่นบรรทมขาวหลังใหญ่ ชายหนุ่มร่างโปร่งคนหนึ่งคลานหนีแสงจากฟ้าอย่างเกียจคร้านไปซุกหน้าลงใต้หมอนใบโต ไม่ไกลจากเขานักคือสมุดปกน้ำเงินเล่มหนึ่ง และเขาก็ไม่ใช่ใคร คืออันวาร์ วราหะในร่างใหม่นี่เองส่งเสียงครางจากใต้หมอนออกมาไม่ต่างจากลูกสัตว์บาดเจ็บในที่ซ่อน และใช่ เขาบาดเจ็บ บาดเจ็บทางใจเสียด้วย อีโมชันนอล ดาเมจอยากกรี๊ด หลังตื่นมาในโลกใหม่ได้ 4 วัน อันวาร์ก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนได้ยอมรับว่า เป็นคืนวันที่โกลาหล โดยเขาเริ่มวันแรกด้วยการสติแตกจนหญิงรับใช้ต้องตามหมอหลวงมาดูอาการ และผ่านวันที่สองมาด้วยการนอนร้องไห้โศกเศร้าเสียใจต่อโลกเดิมที่จากมา ไม่ต่างจากคนอกหัก ก่อนจะตัดสินใจยอมรับความจริงอย่างอ่อนล้าได้ในวันที่สาม และเริ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในวันที่สี่เติบโตใน 4 วันไม่ต่างจากเมล็ดถั่วงอกในกระดาษทิชชูคาบวิทยาศาสตร์ชั้นประถมร่างใหม่ที่เขาเข้ามาอยู่คือร่างของ หยางซิงอี องค์ชายลำดับที่เจ็ดแห่งแคว้นหยาง ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้จากหญิงรับใช้ตอนตื่นมาใหม่ ๆ เขาก็ว่ามันฟังดูคุ้นหูแล้วนะ แล้วจากที่เขา
ถ้าใครสักคนถามอันวาร์ว่า เขาเป็นใคร ตัวอันวาร์เองก็คงจะตอบกลับไปง่าย ๆ เรียบ ๆ ว่า เขาก็เป็นแค่ชายหนุ่มชาวไทยวัยทำงานคนหนึ่งที่ตกงานเพราะพิษเศรษฐกิจ จนมีเวลาว่างมากเกินไปและถ้ามีคนถามเขาเพิ่มว่า แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาก็คงตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้คงต้องย้อนความกันสักหน่อยครับ”ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เขาตกงานนี่แหละอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าในสังคมโลก ทุกอย่างดำเนินไปบนระบบทุนนิยมและเงินตรา และคำว่า “ทุกอย่าง” ในที่นี้ก็หมายรวมถึงตัวเขาด้วย เพราะอย่างไรเขาเองก็เป็นแค่สมาชิกตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ผู้ต้องหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อเอาตัวรอด ฉะนั้น เมื่อเขาตกงาน เขาก็ต้องหางานใหม่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ตกจากงานเก่าปั๊บจะได้งานใหม่ปุ๊บใช่ เขาว่างงาน ว่างจนแทบจะเอาใบปริญญาที่เรียนมาไปพับจรวดเล่นและเมื่อเขาว่างงาน เขาก็มีเวลาในชีวิตเหลือเฟือ “ว่างจนไม่มีอะไรจะทำ ว่างชนิดที่ไม่รู้จะอ่านอะไร เลยตัดสินใจเล่นอะไรแผลง ๆ อย่างการกดปุ่ม “สุ่ม” อ่านนิยายออนไลน์บนหน้าเว็บชื่อดังเว็บหนึ่งมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากก่อน