ホーム / วาย / เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!? / บทที่ 5 หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์

共有

บทที่ 5 หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์

last update 最終更新日: 2025-06-09 22:30:05

ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง

“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”

“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”

“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”

“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ขอบใจเจ้ามาก”

เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชาย

 

มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลิน

ซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อเข้าวัยรุ่นจึงกลายเป็นโจรปล้นสุสานไปโดยปริยาย

แต่อยู่เป็นโจรจนกระทั่งอายุได้ 15 ปี กองโจรของตนก็อุตริไปปล้นสุสานของราชวงศ์หยาง จึงได้พบเจอกับซูมู่ถง เมื่อครั้งราชองครักษ์สูงวัยยังเป็นแม่ทัพในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน

เพื่อสมบัติชิ้นสำคัญของราชวงศ์ ซูมู่ถงและกองทหารจึงไล่ล่ากองโจรของซานหลินไม่ต่างจากสุนัขล่าเนื้อ และสุดท้ายก็ปราบได้ทั้งหมด

ยามนั้น ซานหลินเหลือเพียงตัวคนเดียวสภาพสะบักสะบอม ไม่มีสหายโจรที่เหลือลมหายใจ แต่เดนคนเช่นเขาคือคนที่ไม่ยอมตายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจโดยแท้จริง เมื่อจนตรอกไร้ทางหนีจึงตัดสินใจสู้จนตัวตาย ซูมู่ถงเห็นเขาฝีมือดี หลังต่อสู้กับเขาจนชายหนุ่มไม่เหลือสภาพจะขัดขืนได้อีกก็ตัดสินใจรับเขาเข้ากองทัพ

“ไอ้หนู...ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ อย่ามาตายด้วยน้ำมือข้าเลยดีกว่า”

แล้วนับจากวินาทีนั้นมา เขาก็กลายเป็นพลทหารนายหนึ่งในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน ชีวิตในสนามรบไม่สะดวกสบายนักสำหรับหลายคน แต่สำหรับเขา นี่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งมีกินทุกมื้อ ทั้งได้รับการรักษาบาดแผล แล้วไหนจะหน้าตาทางสังคมอีก

ชีวิตใหม่ เขาเรียกมันเช่นนั้น และนั่นก็ทำให้เขาเคารพรักซูมู่ถงไม่ต่างจากบิดา

ซานหลินเป็นทหารชั้นผู้น้อยได้ไม่กี่ปี ด้วยผลงานและความสามารถอันโดดเด่น ชายหนุ่มก็ได้รับการโยกย้ายเลื่อนขั้นมาอยู่ในกองรบพิเศษขององค์จักรพรรดิ เขามีตำแหน่งเป็นรองเพียงซูมู่ถงด้วยวัยเพียง 18 ปี กลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยาง และในอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 3 ปี องค์จักรพรรดิก็พระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรสในครรภ์ของพระมเหสี และเลื่อนเขาขึ้นมาแทนที่ซูมู่ถง

ซานหลินดำรงตำแหน่งแม่ทัพอยู่ราว 14 ปี อยู่มาวันหนึ่งซูมู่ถงก็เรียกหาเขา ชวนเขาออกไปร่ำสุราเช่นสมัยยังอยู่กองทัพด้วยกัน ก่อนจะชวนเขามาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด

ยามแรก อาจเพราะมึนเมาจึงไม่ใคร่จะเข้าใจนัก แต่เมื่อระลึกได้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิหยางประชวรอย่างหนักก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

“เป็นรับสั่ง หรือเป็นท่านที่ประสงค์จะเรียกหาข้า” เขาถามด้วยความใคร่รู้ แม้ตามจริงไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำชวนของซูมู่ถง และคำตอบที่ได้มาก็คือ

“ทั้งสองอย่าง”

ซานหลินไม่ใช่คนโง่ เพียงบทสนทนาก็รับรู้แล้วว่า องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานต้องการสิ่งใด

คำสั่งที่มิได้เอ่ย ความรักที่มิเคยแสดงออกให้ผู้ใดได้เห็น

ห้องทรงงานที่หันหน้าไปทางตำหนักองค์ชายเจ็ด ช่องหน้าต่างที่ยามเหนื่อยล้า จะทำทีเป็นย่างพระบาทผ่านเพื่อทอดพระเนตร และพระพักตร์เครียดขรึมที่คล้ายจะคลายลงไปกว่าครึ่ง ทุกครั้งที่ได้เห็นความเป็นไปของตำหนักองค์ชายเจ็ด

ยามประชวร นัยน์พระเนตรยังมีห่วง หากพระองค์ไม่อยู่แล้วเพียงซูมู่ถงคงไม่เพียงพอดูแลพระโอรส เป็นซานหลินไปอีกหนึ่งคงเป็นไปได้

ซานหลินเห็นทุกอย่าง

“เช่นนั้นก็ตามนั้น” สุราขมปร่า คืนนั้นเขาร่ำสุราจนรุ่งสาง ยามกลับไปถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิหยางไท่ซานทันที แล้วก็คล้ายพระองค์จะรออยู่ก่อนแล้ว

หยางไท่ซานประทับกึ่งบรรทมอยู่บนแท่นบรรทมกว้าง พระเนตรทองคำสงบนิ่งแน่วแน่มองมายังซานหลิน แล้วสายวันนั้น ป้ายหยกประจำตัวของซานหลินก็เปลี่ยนจากตำแหน่งแม่ทัพเป็นราชองครักษ์

“หากทำเช่นนี้ จะไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายพระองค์อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยแก่องค์จักรพรรดิ หลังได้ป้ายหยกชิ้นใหม่มา

“คนจะตายที่ไหนกลัวความโดดเดี่ยวกัน” พระองค์ตรัส สุรเสียงทุ้มต่ำแฝงแววรำคาญ คาดว่าก่อนหน้าคงเป็นซูมู่ถงที่มาทัดทานการตัดสินพระทัยของพระองค์ แต่ไม่นานพระเนตรก็อ่อนแสงลงคล้ายยามพระมเหสีหลี่ยังอยู่

“...เขากลัวกันแค่ว่าคนที่ต้องอยู่ต่อต่างหากจะเป็นเช่นไร” พระองค์เอ่ย ทรงหันพระพักตร์คมไปทางห้องทรงงาน และไม่ต้องบอกซานหลินก็รู้ว่าพระองค์ทอดพระเนตรไปหาสิ่งใด

แล้วนับจากนั้นมา ซานหลินก็กลายเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด

แค่แรกเห็นพระพักตร์ขององค์ชายเจ็ดในรอบหลายปีที่ศาลากลางน้ำ เขาก็แทบลืมหายใจ

เล่าลือกันว่าทรงประพิมพ์ประพายคล้ายพระมารดาอย่างยิ่งยวด และแม้ซานหลินจะเคยเห็นยามพระโอรสเป็นเพียงทารก ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเหมือนพระมเหสีหลี่ราวกับพระนางยังมีลมหายใจ

ทั้งพระพักตร์รูปเพชร พระขนงกระบี่รับพระนาสิกโด่งเป็นสัน ริมพระโอษฐ์เป็นกระจับได้รูปสีชมพูระเรื่อตัดกับพระฉวีสีทรายอมขาว และพระหนุกลมมนสวย ทุกอย่างเป็นของพระมเหสีหลี่ เห็นจะมีพระเนตรทองคำคู่คมเท่านั้นที่ทรงได้มาจากองค์จักรพรรดิหยาง

จะติดก็เพียงว่าพระมเหสีหลี่นั้นอ่อนหวานแช่มช้อย ในขณะที่องค์ชายเจ็ดนั้นเย็นชาน่ายำเกรงเกินกว่าวัย

“กระหม่อมนามซานหลิน จากนี้ไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี” สุรเสียงยังไม่แตกหนุ่มดี แต่บางอย่างในน้ำเสียงกลับทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกเดียวกันกับยามพบเจอคนตายไม่มีผิดเพี้ยน

แล้วหลังซานหลินมาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดได้ไม่นาน บรรดาพระโอรสและพระธิดาองค์อื่น ๆ ในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็ค่อย ๆ สิ้นพระชนม์ไปทีละพระองค์

องค์จักรพรรดิยังไม่ทันสวรรคต การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พี่น้องก็เริ่มขึ้นเสียแล้ว และเมื่อหยางไท่ซานจากโลกนี้ไป สิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์ของหยางซิงอีก็กลับคืนมา และกว่าจักรพรรดิหยางพระองค์ใหม่จะขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ตำหนักขององค์ชายเจ็ดก็ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ตำหนักแห่งความตาย” แล้ว

เพื่ออำนาจ กระทั่งพี่น้องกันเองก็ไม่เว้นชีวิต และเพื่อเอาตัวรอดถึงมือต้องเปื้อนเลือดก่อบาปกรรมแก่คนในครอบครัว...หากไม่อยากตายก็ต้องกระทำ

 บัลลังก์หรือชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและมือเปื้อนเลือดของหยางซิงอี ยุวกษัตริย์พระองค์นี้ประสงค์หรือดำริสิ่งใด

แต่บางอย่างในตัวซานหลินบอกเขาว่า เป็นอย่างหลัง และไม่เพียงประสงค์จะมีชีวิตรอดเท่านั้น พระองค์ยังประสงค์ชีวิตที่มีความสุขเสียด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่เสด็จออกไปเมามายกับฤทธิ์สุราแทบไม่เว้นวันเพื่อลืมเลือนทุกสิ่งอย่างหรอก

แล้วในสายวันหนึ่งก็คล้ายความปรารถนาของพระองค์จะเป็นจริงขึ้นมา

นัยน์ตาสุกใส พระพักตร์อ่อนโยน พระองค์เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปลี่ยนไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหยางซิงอีคนนี้เป็นผู้ใดมาสถิตร่าง

ไม่มีอีกแล้วหยางซิงอีผู้น่าสงสารเลือดเย็น มีเพียงหยางซิงอีคนนี้ผู้อ่อนหวานหนักหนา

ซานหลินมองพระสรวลสดใสของหยางซิงอีคนใหม่ ขณะใจคิดถึงหยางซิงอีคนก่อน

หากมีโอกาสเขาก็อยากถามพระองค์ว่า พระองค์มีความสุขแล้วหรือไม่ นี่รึเปล่าคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนา และหากพระองค์ตอบว่าใช่ เช่นนั้นเขาก็ยินดีกับพระองค์ ส่วนหยางซิงอีคนใหม่นี้ หากทรงอยากออกไปท่องเที่ยว หรืออยากเล่นสนุกเช่นเด็กหนุ่มธรรมดา เขาจะคอยติดตามดูแลให้ปลอดภัยเอง

 

“องค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”

“จ๋าจ้ะ...เอ๊ย! ว่าอย่างไรหรือซานหลิน”

“กระหม่อมสงสัยว่าเจ็ดสี ที่พระองค์อยากได้มาเป็นสีฉลองพระองค์นั้น มีสีใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่าน...เอ๊ย! เจ้าถามได้ดีมาก”

“เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น!”

“แล้วพระองค์อยากได้สีใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮึ ซานหลินข้าว่าจะม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงสักหน่อย เจ้าว่าดีหรือไม่”

“หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ว่าดีพ่ะย่ะค่ะ”

“มันต้องอย่างนี้สิ! ขอบใจเจ้ามากนะซานหลิน”

 

ติดตามเหมือนที่เคยตามเสด็จพระบิดา

ติดตามเหมือนที่เคยตามพระองค์

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 30 ไม่ควรมีอยู่

    ตอนที่รู้ผลการสืบสวน อันวาร์รู้สึกเหมือนตนถูกลอตเตอรี่รางวัล 300 ล้านบาท...เป็นโชคดีของเขาที่หยางซิงอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหวังต้าเหยียน แต่ในความยินดี เวลาหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้ชายหนุ่มได้ขบคิดบางสิ่งบางอย่างและไม่ช้าก็เร็ว เขาก็คาดว่าตนและรจนาคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยมีเรื่องเล่าในกองทัพอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกองกำลังพิเศษแห่งแคว้นหวังที่ล่มสลายไปแล้ว โดยแคว้นนี้ดั้งเดิมตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นหยาง ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างแคว้นหยางและแคว้นเยี่ย เล่าขานกันว่า กองกำลังพิเศษนี้ดั้งเดิมเป็นชนเผ่าจากเขาสูงนาม “เจียง” เพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดได้กลางป่าเขา คนเผ่านี้จึงฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย จนคนในเผ่ามีลักษณะทางกายภาพแปลกประหลาด ทั้งร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษา แขนขายาวเหมือนไม้พลอง และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองจากการฝึกกับกรวดทรายในกระทะร้อนหลังแคว้นหวังค้นพบการมีอยู่ของชนเผ่าเจียงก็จับพวกเขามาเป็นทหาร และนำการฝึกฝนของพวกเขามาประยุกต์ใช้คู่กับการฝึกวรยุทธ์เดินลมปราณ ไม่นานจาก “

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 29 สี่ผู้อยู่ในเหตุการณ์

    เฉินอวี้กำลังยกชาร้อนขึ้นจิบหลินซีกำลังจัดปลอกแขนของตนให้เข้าที่ซานหลินกำลังพูดคุยกับซูมู่ถงและหยางซิงอี...อันวาร์ วราหะกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องรับรอง...ยามผู้ตรวจการเข้ามาหาพวกเขาหลังหวังต้าเหยียนพ้นขีดอันตรายได้ไม่ถึงชั่วยาม บรรดาผู้ตรวจการก็เริ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นขุนนางยศเสนาบดีกรมยุติธรรม และบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนก็มีแต่ยอดฝีมือ และเพราะนี่เป็นเหตุที่เกิดแก่เชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการขอกำลังสืบสวนจากภายนอกใคร ๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างแปดแคว้นเปราะบางเช่นไร หากแคว้นอื่นรู้ว่าราชวงศ์หยางอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายก็อาจมีการแทรกแซงจากภายนอกได้ เหมือนน้ำที่ไหลซึมในรอยร้าวที่มองไม่เห็น ซึมจากรอยหนึ่งสู่อีกรอย แม้แต่แคว้นไป๋ที่ปรองดองกันอยู่เองก็อาจเป็นแคว้นแรกที่หันมีดใส่อันตราย ฉะนั้น จนกว่าจะได้ตัวหรือสืบทราบผู้กระทำผิด...จนกว่าการสืบสวนจะจบลง พวกเขาจะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 28 แต่หัวใจยังตามไม่ทัน

    ขณะหลินซีและเฉินอวี้ไล่ตามโจรลักพาตัวและหวังต้าเหยียนบนหลังคา อันวาร์และซานหลินผู้ตัดสินใจไปขอกำลังจากผู้ตรวจการมา ก็ส่งม้าเร็วคนหนึ่งไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายนี้แก่องค์จักรพรรดิหม่าเยว่แจ้งเหตุร้ายนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด และทันทีที่ทราบเรื่องจากขันทีคู่ใจ การประชุมของราชสำนักและองค์จักรพรรดิก็เป็นอันหยุดลง“เจ้าว่าเช่นไรนะหม่าเยว่” สุรเสียงที่ยามปกติเยือกเย็นวันนี้ร้อนรน และขันทีวัยกลางคนก็ได้แต่แจ้งข่าวร้ายซ้ำอีกครั้ง“องค์หญิงหวังต้าเหยียนถูกลักพาตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”ราวกับโลกหยุดหมุน รจนารู้สึกเย็บวาบไปทั้งสรรพางค์กาย บรรดาขุนนางเองพอทราบเหตุก็ตกใจ ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคำถาม แต่ไม่มีสิ่งใดเข้าหูรจนา หล่อนสั่งให้คนช่วยเตรียมม้า และเพียงก้านธูป ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิก็ออกจากวังหลวงไปยังสำนักงานผู้ตรวจการของตลาดที่เกิดเหตุบนหลังม้า จมูกของรจนาคล้ายได้กลิ่นดอกยี่โถ และหล่อนนึกถึงคำพูดของหยางซิงอีในความฝัน“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ควรปล่อยข้าไป...ท่านพี่”แล้วหล่อนก็ได้แต่คิดว่าหล่อนน่าจ

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 27 ร่วงหล่นจากฟ้า

    เพราะองค์หญิงหวังต้าเหยียนยังไม่มีราชองครักษ์ประจำพระองค์ รจนาจึงมอบหมายหน้าที่อารักขานางนอกเขตพระราชฐานให้หลินซีก่อนเดินทางออกจากวัง เขาและซานหลินตกลงกันว่า เพื่อมิให้สะดุดตาจนเกินควร ซานหลินจะทำหน้าที่อารักขาราชนิกุลทั้งสองในที่แจ้ง ขณะที่หลินซีจะคอยตามดูในเงามืด แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งอันวาร์และหวังต้าเหยียนล้วนทราบดี แต่ถึงจะมียอดฝีมือคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถึงสองคน......เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีที่โต๊ะกลมของภัตตาคารเฟยหย่า หวังต้าเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างถัดเข้ามาคือซานหลิน และอันวาร์เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งสามลุกจากที่นั่ง ที่แขนยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวหวังต้าเหยียนออกจากภัตตาคารไปทางช่องหน้าต่าง ต่อหน้าต่อตาซานหลินและอันวาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ส่งเสียง ชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนของหวังต้าเหยียนก็ลอยพ้นขอบหน้าต่างไปแล้วในชั่ววินาทีอันเชื่องช้าที่แขนข้างนั้นกระชากตัวหวังต้าเหยียนออกไป เขาเห็นใบหน้านางซีดเผือด นางยื่นมือมาหาเขา ปากเอ่ยว่า “ท่านพี่...” แต่เขากลับคว้าจับมือนางไม่ทัน"ไอ้เวร!" อันวาร์ส

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 26 สายตามุ่งร้าย

    รจนามองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตำหนักองค์ชายเจ็ดจากห้องทรงงานของหยางลู่จื้อ ในสายตาหล่อน รอยยิ้มของตำหนักองค์ชายเจ็ดถือเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่คิดว่าสองสัปดาห์ต่อมาหลังคิดเช่นนั้น หล่อนจะฝันร้ายรุนแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่อาจหลับได้อีกจนเช้าในฝันรจนานั่งทำงานรออันวาร์และหวังต้าเหยียนมาเข้าเรียนยามค่ำเช่นทุกวัน แต่รอแล้วรอเล่าทั้งคู่ก็ไม่มาเสียที หล่อนจึงตัดสินใจจะส่งหลินซีออกไปตาม แต่ไม่ว่าจะเรียกหาหลินซีสักกี่ครั้ง คนสนิทของหล่อนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลยประหลาด หล่อนคิดแล้วลองเรียกผู้อื่นดูบ้าง ทั้งหญิงรับใช้และขันทีแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงเรียกหาแต่ปราศจากเสียงขานรับหนังหัวของรจนาชาวาบ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอยู่ ๆ ลมเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดับตะเกียงไฟทุกดวงในห้องทรงงานราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้เปลวเพลิง เมื่อปราศจากแสงสว่าง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดรวมถึงตัวหล่อนด้วยท่าไม่ดีแล้ว หล่อนคิด ห้องทรงงานในความมืดดูวังเวงอย่างน่าป

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 25 เป็นชายหนุ่มนัยน์ตาสีชาด

    เพราะเรียนหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน และอันวาร์ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักของหวังต้าเหยียนทุกวัน ไม่กี่สัปดาห์หลังรู้จักกัน อันวาร์ก็กลายเป็นคนที่หวังต้าเหยียนสนิทด้วยที่สุดในวังหลวงเริ่มจากสีฉลองพระองค์ที่พระนางเริ่มทรงตามเขา ทรงสังเกตรูปแบบสีที่เขาเลือกใส่แล้วใส่ตาม วันไหนเขาใส่สีแดงพระนางก็ทรงสีแดง วันไหนเขาใส่สีเขียวนางก็ทรงสีเขียว แต่เพราะพระนางมีราชครูคอยชี้แนะเรื่องการแต่งกายอย่างใกล้ชิด สีฉลองพระองค์ของพระนางจึงอ่อนหวานสบายตากว่าของเขามากครั้งแรกที่เขาจับสังเกตได้ว่า ฉลองพระองค์ของพระนางเป็นสีเดียวกันกับของเขา เขาดีใจมากจนพาพระนางไปยืนทำท่าทางประหลาดที่หน้ากระจก และแต่ละท่าทางก็ช่างน่าขัน จนหลายครั้งหลังทำท่าทางเสร็จก็ต่างลงไปนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่กับพื้นห้อง หน้าดำหน้าแดงไปหมดหวังต้าเหยียนพบว่า ยามปกติฉลองพระองค์ขององค์ชายเจ็ด (และองค์จักรพรรดิ) นั้นมิได้มีสีสันฉูดฉาดแสบตาเช่นวันแรกที่พระนางพบเจอทั้งสองพระองค์ และเมื่อพระนางถามอันวาร์เรื่องนี้ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มขบขันว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษ เขาจึงแต่งตัวให้พิเศษสดใสกว่าปกติเสียหน่อยเท่านั้นเอง

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status