ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง
“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”
“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชาย
มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลิน
ซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อเข้าวัยรุ่นจึงกลายเป็นโจรปล้นสุสานไปโดยปริยาย
แต่อยู่เป็นโจรจนกระทั่งอายุได้ 15 ปี กองโจรของตนก็อุตริไปปล้นสุสานของราชวงศ์หยาง จึงได้พบเจอกับซูมู่ถง เมื่อครั้งราชองครักษ์สูงวัยยังเป็นแม่ทัพในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน
เพื่อสมบัติชิ้นสำคัญของราชวงศ์ ซูมู่ถงและกองทหารจึงไล่ล่ากองโจรของซานหลินไม่ต่างจากสุนัขล่าเนื้อ และสุดท้ายก็ปราบได้ทั้งหมด
ยามนั้น ซานหลินเหลือเพียงตัวคนเดียวสภาพสะบักสะบอม ไม่มีสหายโจรที่เหลือลมหายใจ แต่เดนคนเช่นเขาคือคนที่ไม่ยอมตายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจโดยแท้จริง เมื่อจนตรอกไร้ทางหนีจึงตัดสินใจสู้จนตัวตาย ซูมู่ถงเห็นเขาฝีมือดี หลังต่อสู้กับเขาจนชายหนุ่มไม่เหลือสภาพจะขัดขืนได้อีกก็ตัดสินใจรับเขาเข้ากองทัพ
“ไอ้หนู...ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ อย่ามาตายด้วยน้ำมือข้าเลยดีกว่า”
แล้วนับจากวินาทีนั้นมา เขาก็กลายเป็นพลทหารนายหนึ่งในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน ชีวิตในสนามรบไม่สะดวกสบายนักสำหรับหลายคน แต่สำหรับเขา นี่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งมีกินทุกมื้อ ทั้งได้รับการรักษาบาดแผล แล้วไหนจะหน้าตาทางสังคมอีก
ชีวิตใหม่ เขาเรียกมันเช่นนั้น และนั่นก็ทำให้เขาเคารพรักซูมู่ถงไม่ต่างจากบิดา
ซานหลินเป็นทหารชั้นผู้น้อยได้ไม่กี่ปี ด้วยผลงานและความสามารถอันโดดเด่น ชายหนุ่มก็ได้รับการโยกย้ายเลื่อนขั้นมาอยู่ในกองรบพิเศษขององค์จักรพรรดิ เขามีตำแหน่งเป็นรองเพียงซูมู่ถงด้วยวัยเพียง 18 ปี กลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยาง และในอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 3 ปี องค์จักรพรรดิก็พระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรสในครรภ์ของพระมเหสี และเลื่อนเขาขึ้นมาแทนที่ซูมู่ถง
ซานหลินดำรงตำแหน่งแม่ทัพอยู่ราว 14 ปี อยู่มาวันหนึ่งซูมู่ถงก็เรียกหาเขา ชวนเขาออกไปร่ำสุราเช่นสมัยยังอยู่กองทัพด้วยกัน ก่อนจะชวนเขามาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
ยามแรก อาจเพราะมึนเมาจึงไม่ใคร่จะเข้าใจนัก แต่เมื่อระลึกได้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิหยางประชวรอย่างหนักก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เป็นรับสั่ง หรือเป็นท่านที่ประสงค์จะเรียกหาข้า” เขาถามด้วยความใคร่รู้ แม้ตามจริงไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำชวนของซูมู่ถง และคำตอบที่ได้มาก็คือ
“ทั้งสองอย่าง”
ซานหลินไม่ใช่คนโง่ เพียงบทสนทนาก็รับรู้แล้วว่า องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานต้องการสิ่งใด
คำสั่งที่มิได้เอ่ย ความรักที่มิเคยแสดงออกให้ผู้ใดได้เห็น
ห้องทรงงานที่หันหน้าไปทางตำหนักองค์ชายเจ็ด ช่องหน้าต่างที่ยามเหนื่อยล้า จะทำทีเป็นย่างพระบาทผ่านเพื่อทอดพระเนตร และพระพักตร์เครียดขรึมที่คล้ายจะคลายลงไปกว่าครึ่ง ทุกครั้งที่ได้เห็นความเป็นไปของตำหนักองค์ชายเจ็ด
ยามประชวร นัยน์พระเนตรยังมีห่วง หากพระองค์ไม่อยู่แล้วเพียงซูมู่ถงคงไม่เพียงพอดูแลพระโอรส เป็นซานหลินไปอีกหนึ่งคงเป็นไปได้
ซานหลินเห็นทุกอย่าง
“เช่นนั้นก็ตามนั้น” สุราขมปร่า คืนนั้นเขาร่ำสุราจนรุ่งสาง ยามกลับไปถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิหยางไท่ซานทันที แล้วก็คล้ายพระองค์จะรออยู่ก่อนแล้ว
หยางไท่ซานประทับกึ่งบรรทมอยู่บนแท่นบรรทมกว้าง พระเนตรทองคำสงบนิ่งแน่วแน่มองมายังซานหลิน แล้วสายวันนั้น ป้ายหยกประจำตัวของซานหลินก็เปลี่ยนจากตำแหน่งแม่ทัพเป็นราชองครักษ์
“หากทำเช่นนี้ จะไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายพระองค์อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยแก่องค์จักรพรรดิ หลังได้ป้ายหยกชิ้นใหม่มา
“คนจะตายที่ไหนกลัวความโดดเดี่ยวกัน” พระองค์ตรัส สุรเสียงทุ้มต่ำแฝงแววรำคาญ คาดว่าก่อนหน้าคงเป็นซูมู่ถงที่มาทัดทานการตัดสินพระทัยของพระองค์ แต่ไม่นานพระเนตรก็อ่อนแสงลงคล้ายยามพระมเหสีหลี่ยังอยู่
“...เขากลัวกันแค่ว่าคนที่ต้องอยู่ต่อต่างหากจะเป็นเช่นไร” พระองค์เอ่ย ทรงหันพระพักตร์คมไปทางห้องทรงงาน และไม่ต้องบอกซานหลินก็รู้ว่าพระองค์ทอดพระเนตรไปหาสิ่งใด
แล้วนับจากนั้นมา ซานหลินก็กลายเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
แค่แรกเห็นพระพักตร์ขององค์ชายเจ็ดในรอบหลายปีที่ศาลากลางน้ำ เขาก็แทบลืมหายใจ
เล่าลือกันว่าทรงประพิมพ์ประพายคล้ายพระมารดาอย่างยิ่งยวด และแม้ซานหลินจะเคยเห็นยามพระโอรสเป็นเพียงทารก ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเหมือนพระมเหสีหลี่ราวกับพระนางยังมีลมหายใจ
ทั้งพระพักตร์รูปเพชร พระขนงกระบี่รับพระนาสิกโด่งเป็นสัน ริมพระโอษฐ์เป็นกระจับได้รูปสีชมพูระเรื่อตัดกับพระฉวีสีทรายอมขาว และพระหนุกลมมนสวย ทุกอย่างเป็นของพระมเหสีหลี่ เห็นจะมีพระเนตรทองคำคู่คมเท่านั้นที่ทรงได้มาจากองค์จักรพรรดิหยาง
จะติดก็เพียงว่าพระมเหสีหลี่นั้นอ่อนหวานแช่มช้อย ในขณะที่องค์ชายเจ็ดนั้นเย็นชาน่ายำเกรงเกินกว่าวัย
“กระหม่อมนามซานหลิน จากนี้ไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” สุรเสียงยังไม่แตกหนุ่มดี แต่บางอย่างในน้ำเสียงกลับทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกเดียวกันกับยามพบเจอคนตายไม่มีผิดเพี้ยน
แล้วหลังซานหลินมาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดได้ไม่นาน บรรดาพระโอรสและพระธิดาองค์อื่น ๆ ในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็ค่อย ๆ สิ้นพระชนม์ไปทีละพระองค์
องค์จักรพรรดิยังไม่ทันสวรรคต การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พี่น้องก็เริ่มขึ้นเสียแล้ว และเมื่อหยางไท่ซานจากโลกนี้ไป สิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์ของหยางซิงอีก็กลับคืนมา และกว่าจักรพรรดิหยางพระองค์ใหม่จะขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ตำหนักขององค์ชายเจ็ดก็ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ตำหนักแห่งความตาย” แล้ว
เพื่ออำนาจ กระทั่งพี่น้องกันเองก็ไม่เว้นชีวิต และเพื่อเอาตัวรอดถึงมือต้องเปื้อนเลือดก่อบาปกรรมแก่คนในครอบครัว...หากไม่อยากตายก็ต้องกระทำ
บัลลังก์หรือชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและมือเปื้อนเลือดของหยางซิงอี ยุวกษัตริย์พระองค์นี้ประสงค์หรือดำริสิ่งใด
แต่บางอย่างในตัวซานหลินบอกเขาว่า เป็นอย่างหลัง และไม่เพียงประสงค์จะมีชีวิตรอดเท่านั้น พระองค์ยังประสงค์ชีวิตที่มีความสุขเสียด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่เสด็จออกไปเมามายกับฤทธิ์สุราแทบไม่เว้นวันเพื่อลืมเลือนทุกสิ่งอย่างหรอก
แล้วในสายวันหนึ่งก็คล้ายความปรารถนาของพระองค์จะเป็นจริงขึ้นมา
นัยน์ตาสุกใส พระพักตร์อ่อนโยน พระองค์เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปลี่ยนไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหยางซิงอีคนนี้เป็นผู้ใดมาสถิตร่าง
ไม่มีอีกแล้วหยางซิงอีผู้น่าสงสารเลือดเย็น มีเพียงหยางซิงอีคนนี้ผู้อ่อนหวานหนักหนา
ซานหลินมองพระสรวลสดใสของหยางซิงอีคนใหม่ ขณะใจคิดถึงหยางซิงอีคนก่อน
หากมีโอกาสเขาก็อยากถามพระองค์ว่า พระองค์มีความสุขแล้วหรือไม่ นี่รึเปล่าคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนา และหากพระองค์ตอบว่าใช่ เช่นนั้นเขาก็ยินดีกับพระองค์ ส่วนหยางซิงอีคนใหม่นี้ หากทรงอยากออกไปท่องเที่ยว หรืออยากเล่นสนุกเช่นเด็กหนุ่มธรรมดา เขาจะคอยติดตามดูแลให้ปลอดภัยเอง
“องค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“จ๋าจ้ะ...เอ๊ย! ว่าอย่างไรหรือซานหลิน”
“กระหม่อมสงสัยว่าเจ็ดสี ที่พระองค์อยากได้มาเป็นสีฉลองพระองค์นั้น มีสีใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่าน...เอ๊ย! เจ้าถามได้ดีมาก”
“เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น!”
“แล้วพระองค์อยากได้สีใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ ซานหลินข้าว่าจะม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงสักหน่อย เจ้าว่าดีหรือไม่”
“หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ว่าดีพ่ะย่ะค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ! ขอบใจเจ้ามากนะซานหลิน”
ติดตามเหมือนที่เคยตามเสด็จพระบิดา
ติดตามเหมือนที่เคยตามพระองค์
หลังเหตุวุ่นวายที่องค์หญิงหวังต้าเหยียนกันแสงตั้งแต่แรกเจอพระเชษฐา ผู้คนในแคว้นหยางพอทราบข่าวก็พากันชื่นชมและซาบซึ้งในสายใยครอบครัวของราชวงศ์ ผิดกับผู้คนในวังหลวงผู้อยู่เหตุการณ์ที่ต่างก็เข้าใจตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าเป็นเพราะเหตุใด…สีฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิ และองค์ชายเจ็ดไม่มีอะไรในวังหลวงหยางทำให้ใครหลายคนหลั่งน้ำตาได้พร้อมกันมากมายเท่าสิ่งนี้แล้ว!แสบตั้งแต่ตาถึงกลางทรวง แสบจนแม้ทั้งสองพระองค์จะมิได้ทรงฉลองพระองค์สีสันบาดอกบาดใจแล้ว แค่นึกถึงพวกเขาก็ขนหัวลุกและปวดแสบปวดร้อนดวงตา ราวกับที่ตาบาดแผลที่มองไม่เห็นเย็นวันนั้น ขณะองค์จักรพรรดิและองค์ชายเจ็ดเสด็จพาองค์หญิงหวังต้าเหยียนไปเสวยพระกระยาหารค่ำในห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิเพียงสามพระองค์ บรรดาขันทีในราชสำนักก็แอบจัดประชุมกันที่มุมหนึ่งของวังหลวงขนาดองค์ชายมีเฉินฝู่หมิง และองค์จักรพรรดิมีขันทีหม่าเยว่คอยให้คำปรึกษาแล้ว การแต่งกายยังฉูดฉาดเช่นนี้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้น้อยที่มิได้ใกล้ชิดกับทั้งสองพระองค์นักจะไปทัดทาน หรือห้ามปรามทั้งสองพระองค์ก็คงไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่องค์หญ
หวังต้าเหยียนไม่เคยนั่งเสลี่ยงหรือรถเทียมม้าเทียมลามาก่อน และอย่าว่าแต่อาภรณ์ผ้าไหมหรือเครื่องประดับตกแต่งเส้นผม แค่มีอาหารให้กินจนอิ่มท้อง นางยังไม่เคยมีเลยแต่นี่ หลังแม่ทัพนามหลินซีช่วยชีวิตนางจากพ่อค้าทาส แล้วประกาศว่านางคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยาง ชีวิตของนางก็เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าวปลาอาหาร และบ่าวรับใช้ อยู่ ๆ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นมาราวภาพมายาการเดินทางข้ามแคว้นใช้เวลานานหลายวัน แต่อยู่กลางขบวนทัพแห่งแคว้นหยางนางกลับไม่เคยต้องลำบาก หลินซีจัดหาทุกอย่างมาให้นาง ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ เครื่องประดับ และห้องหับให้หลับนอน แล้วไหนจะอารักขาและแพทย์หลวงอีกทุกอย่างมาอย่างรวดเร็วและเกินจริงเกินไปสำหรับหวังต้าเหยียน สาวน้อยผู้ยากไร้ในวัย 15 ปี นางข้องใจเรื่องชาติกำเนิดว่าตนเป็นองค์หญิงจริงหรือ และอาภรณ์ราคาแพงที่หลินซีสรรหามาให้นั้นคู่ควรกับนางแน่หรือ...ใช่ของนางจริง ๆ หรือ เพราะมันดีเกินไป ดีจนนางสงสัยในโชคชะตาจริงอยู่ที่นางชอบข้าวของราคาแพง ชอบสัมผัสของผ้าไหมบนร่างกาย ชอบอาหารโอชารส และความเอาใจใส่ของหลินซี อย่างว่าของดีใครจะไม่ชอบ
เพราะอีกไม่กี่วันสมาชิกใหม่จะมาเยือนวังหลวง อันวาร์จึง......ออกจากวังหลวงไปปรากฏตัวที่หน้าร้านตัดเสื้อของช่างตัดฉลองพระองค์คนโปรดตั้งแต่เช้าตรู่ ไปยืนรอร้านเปิดเสียด้วย ประมาณว่า แค่มีคนออกมาปลดกลอนประตูร้านก็จะเห็นเขาและซานหลินเลยแค่คิดถึงสีเสื้อนอกที่จะสั่งตัด อันวาร์ก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ มีความสุขเหลือเกินที่ได้ออกจากวังหลวงมาซื้อเสื้อผ้าเขานับดูแล้ว วันที่หวังต้าเหยียนจะมาถึงวังหลวงคือ วันเสาร์ และเพื่อแสดงจุดยืนของพี่ชายที่อบอุ่นใจดี เสื้อนอกตัวใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเขาจะใส่ม่วงเข้มแบบยามปกติไม่ได้ เพราะน้องอาจมองว่าเขาเป็นคนมืดหม่น ฉะนั้น เพื่อเพิ่มความสดใส มันเลยต้องกลายเป็นสีม่วงแดง ม่วงแดงแบบดอกบานเย็นสีม่วง แบบมันม่วงโดนสารเร่งเนื้อแดง แบบตัวละครไดโนเสาร์ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กในตำนานที่ใครหลายคนเคยดูตอนเด็ก ๆ หรือไม่ก็สีเงินวิบวับ เงินขาวปักดิ้นเงินเหมือนสีปากกากากเพชรอืม ว่าไปเงินวิบวับก็ดีนะ น้องจะได้เห็นเขาตั้งแต่ยังอยู่บนเสลี่ยง ยิ่งยืนอยู่กลางแดดนะ อู้ฮูสุดยอด น้องจะต้องจดจำเขาไปจนวันตาย เขาบอกเลย แต่เอ๊ะ...อีกใ
มีเพียงผู้ที่สวรรค์ประทานนัยน์ตาทองคำให้เท่านั้นที่มีสายเลือดหยางมารดาไม่ค่อยเล่าเรื่องของบิดาให้นางฟังนัก บอกเพียงว่า นางมีใบหน้าคล้ายเขาอยู่มากโดยเฉพาะนัยน์ตาทองคำจริงอยู่ที่แปดแคว้นไม่มีกฎห้ามสตรีเป็นทหาร แต่เพราะดำเนินอยู่ในสังคมปิตาธิปไตย ทหารที่เป็นสตรีจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และเกือบทุกนางต้องทำงานหนักกว่าบุรุษถึงสองเท่า หรือมีผลงานที่โดดเด่นโดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับในหมู่ทหารด้วยกันเอง...เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้น หวังต้าเหยียนก็ยังอยากเป็นทหารยังคงอยากเป็น แม้ชีวิตของนางจะพบเจอแต่มรสุมที่คล้ายแต่จะทำให้ความฝันนั้นไกลห่างออกไปหวังต้าเหยียนเกิดในแคว้นเยี่ย แคว้นทางใต้ที่มีอาณาเขตติดทะเล และนับตั้งแต่จำความได้ในบ้านไม้หลังเล็กของนางก็มีเพียงนางและมารดาแล้ว และเพราะบ้านนางยากจนข้นแค้น มารดาจึงต้องออกจากบ้านไปทำงานอาบเหงื่อตากน้ำตั้งแต่เช้าจรดพลบค่ำ ซึ่งเงินที่ได้มานั้นเมื่อหักค่าเรียนหนังสือของหวังต้าเหยียนออกไปก็แทบจะมีไม่พอยาไส้สองแม่ลูกอดมื้อกินมื้อ กินแต่น้ำเปล่าบ้าง น้ำแกงใส ๆ บ้า
เมื่อซานหลินกลับมาอยู่ข้างกายอันวาร์ เฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็ขอตัวกลับไปที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดอันวาร์พอหมดธุระกับหวังต้าเหยียนแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือรจนา แต่พอสอบถามกับขันทีผู้ทำหน้าที่ดูแลนัดหมายขององค์จักรพรรดิแล้วทราบว่า หญิงสาวในร่างชายหนุ่มออกไปทำธุระนอกวัง และจะกลับมาในช่วงเย็น เขาก็ชวนซานหลินออกไปเดินเล่นรอบวัง เพื่อฆ่าเวลารอหล่อนแทนตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับไปเล่นกับหวังต้าเหยียนอีกรอบ แต่คิดไปคิดมา เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักของนาง หากกลับไปตอนนี้มันก็จะเขินหน่อย ๆ ไว้เขาเดินเล่นจนเท้าปวดแล้วค่อยแวะไปหานางอีกทีน่าจะดีกว่า เผื่อเขาจะได้ขนมจากโรงครัวไปฝากนางด้วยเขาเพิ่งได้ออกมานอกตำหนักเมื่อเช้า อยู่อุดอู้ในนั้นมาก็ตั้ง 17 วัน ขอเขาออกไปเดินเหินที่อื่นนอกจากตามห้องหับในตำหนักของตนบ้างเถอะ ถึงนิสัยเขาดั้งเดิมจะติดบ้านแค่ไหน ให้มาอยู่เหมือนกักตัวเป็นโรคระบาดแบบนี้ เขาเองก็ไม่ไหวหรอกนะ บอกเลยอันวาร์และซานหลินพากันเดินไปทั่วพระบรมมหาราชวังหยาง พวกเขาเดินตั้งแต่ตำหนักของหยางลู่จื้อ โรงครัวกลาง สนามหญ้าหลังโรงครัว ลานฝึกทหาร หอจดหมายเหตุ โรงเก็บม้า ศาลากลางน้ำ
เขาถามจริง ๆ นะมีพระเอก-นางเอกในนิยายข้ามมิติที่ไหนต้องมานั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ กฎหมาย ภูมิศาสตร์ และความรู้รอบตัวของโลกใบใหม่ที่มาอยู่แบบเขาบ้างไหม (ใช่ เขาได้ทำการนับตัวเองเข้าแก๊งพระเอก-นางเอกนิยายข้ามภพแล้ว) ปกติเขาเคยเห็นแต่ตัวเอกโผล่มาแล้วก็เก่งเลยนะ แบบเป็นผู้สร้างนวัตกรรมพาโลกที่มาอยู่อาศัยสู่ยุคใหม่อะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็มาเป็นหมอคือไม่ใช่อะไรหรอก เขา อันวาร์ วราหะแค่อยากหาเพื่อนเฉย ๆ(อนึ่ง เขาขอยกเว้นคนที่มาเกิดใหม่เป็นทารก เพราะอันนั้นเป็นภาคบังคับที่ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา)เรียนหนังสือคนเดียวแล้วมันเปลี่ยวหัวใจ แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือนอกจากจะเรียนอยู่คนเดียวแล้ว อีเจ๊ยังกลัวเขาไม่อ่านหนังสือเลยจัดสอบให้เขาด้วยนี่สิใช่ เขามีสอบด้วย สอบเหมือนเด็กประถม มัธยม อุดมศึกษาเลย“ฉันจะควิซแกทุกเจ็ดวัน และถ้าแกสอบตกฉันจะหักเบี้ยเลี้ยงแก”“แล้วถ้าผมผ่านล่ะ”“ฉันก็แค่ไม่หักไง”แม่เจ้า! นี่มันฉีกขนบธรรมเนียมประเพณีของคนข้ามมิติเลยไม่ใช่เหรอวะ! โอ้โฮ มากงมาเกิดใหม่