ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง
“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”
“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชาย
มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลิน
ซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อเข้าวัยรุ่นจึงกลายเป็นโจรปล้นสุสานไปโดยปริยาย
แต่อยู่เป็นโจรจนกระทั่งอายุได้ 15 ปี กองโจรของตนก็อุตริไปปล้นสุสานของราชวงศ์หยาง จึงได้พบเจอกับซูมู่ถง เมื่อครั้งราชองครักษ์สูงวัยยังเป็นแม่ทัพในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน
เพื่อสมบัติชิ้นสำคัญของราชวงศ์ ซูมู่ถงและกองทหารจึงไล่ล่ากองโจรของซานหลินไม่ต่างจากสุนัขล่าเนื้อ และสุดท้ายก็ปราบได้ทั้งหมด
ยามนั้น ซานหลินเหลือเพียงตัวคนเดียวสภาพสะบักสะบอม ไม่มีสหายโจรที่เหลือลมหายใจ แต่เดนคนเช่นเขาคือคนที่ไม่ยอมตายจนกว่าจะสิ้นลมหายใจโดยแท้จริง เมื่อจนตรอกไร้ทางหนีจึงตัดสินใจสู้จนตัวตาย ซูมู่ถงเห็นเขาฝีมือดี หลังต่อสู้กับเขาจนชายหนุ่มไม่เหลือสภาพจะขัดขืนได้อีกก็ตัดสินใจรับเขาเข้ากองทัพ
“ไอ้หนู...ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ อย่ามาตายด้วยน้ำมือข้าเลยดีกว่า”
แล้วนับจากวินาทีนั้นมา เขาก็กลายเป็นพลทหารนายหนึ่งในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซาน ชีวิตในสนามรบไม่สะดวกสบายนักสำหรับหลายคน แต่สำหรับเขา นี่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งมีกินทุกมื้อ ทั้งได้รับการรักษาบาดแผล แล้วไหนจะหน้าตาทางสังคมอีก
ชีวิตใหม่ เขาเรียกมันเช่นนั้น และนั่นก็ทำให้เขาเคารพรักซูมู่ถงไม่ต่างจากบิดา
ซานหลินเป็นทหารชั้นผู้น้อยได้ไม่กี่ปี ด้วยผลงานและความสามารถอันโดดเด่น ชายหนุ่มก็ได้รับการโยกย้ายเลื่อนขั้นมาอยู่ในกองรบพิเศษขององค์จักรพรรดิ เขามีตำแหน่งเป็นรองเพียงซูมู่ถงด้วยวัยเพียง 18 ปี กลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยาง และในอยู่ตำแหน่งนั้นได้ 3 ปี องค์จักรพรรดิก็พระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรสในครรภ์ของพระมเหสี และเลื่อนเขาขึ้นมาแทนที่ซูมู่ถง
ซานหลินดำรงตำแหน่งแม่ทัพอยู่ราว 14 ปี อยู่มาวันหนึ่งซูมู่ถงก็เรียกหาเขา ชวนเขาออกไปร่ำสุราเช่นสมัยยังอยู่กองทัพด้วยกัน ก่อนจะชวนเขามาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
ยามแรก อาจเพราะมึนเมาจึงไม่ใคร่จะเข้าใจนัก แต่เมื่อระลึกได้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิหยางประชวรอย่างหนักก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เป็นรับสั่ง หรือเป็นท่านที่ประสงค์จะเรียกหาข้า” เขาถามด้วยความใคร่รู้ แม้ตามจริงไม่ว่าจะเป็นอย่างใด เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำชวนของซูมู่ถง และคำตอบที่ได้มาก็คือ
“ทั้งสองอย่าง”
ซานหลินไม่ใช่คนโง่ เพียงบทสนทนาก็รับรู้แล้วว่า องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานต้องการสิ่งใด
คำสั่งที่มิได้เอ่ย ความรักที่มิเคยแสดงออกให้ผู้ใดได้เห็น
ห้องทรงงานที่หันหน้าไปทางตำหนักองค์ชายเจ็ด ช่องหน้าต่างที่ยามเหนื่อยล้า จะทำทีเป็นย่างพระบาทผ่านเพื่อทอดพระเนตร และพระพักตร์เครียดขรึมที่คล้ายจะคลายลงไปกว่าครึ่ง ทุกครั้งที่ได้เห็นความเป็นไปของตำหนักองค์ชายเจ็ด
ยามประชวร นัยน์พระเนตรยังมีห่วง หากพระองค์ไม่อยู่แล้วเพียงซูมู่ถงคงไม่เพียงพอดูแลพระโอรส เป็นซานหลินไปอีกหนึ่งคงเป็นไปได้
ซานหลินเห็นทุกอย่าง
“เช่นนั้นก็ตามนั้น” สุราขมปร่า คืนนั้นเขาร่ำสุราจนรุ่งสาง ยามกลับไปถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิหยางไท่ซานทันที แล้วก็คล้ายพระองค์จะรออยู่ก่อนแล้ว
หยางไท่ซานประทับกึ่งบรรทมอยู่บนแท่นบรรทมกว้าง พระเนตรทองคำสงบนิ่งแน่วแน่มองมายังซานหลิน แล้วสายวันนั้น ป้ายหยกประจำตัวของซานหลินก็เปลี่ยนจากตำแหน่งแม่ทัพเป็นราชองครักษ์
“หากทำเช่นนี้ จะไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายพระองค์อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยแก่องค์จักรพรรดิ หลังได้ป้ายหยกชิ้นใหม่มา
“คนจะตายที่ไหนกลัวความโดดเดี่ยวกัน” พระองค์ตรัส สุรเสียงทุ้มต่ำแฝงแววรำคาญ คาดว่าก่อนหน้าคงเป็นซูมู่ถงที่มาทัดทานการตัดสินพระทัยของพระองค์ แต่ไม่นานพระเนตรก็อ่อนแสงลงคล้ายยามพระมเหสีหลี่ยังอยู่
“...เขากลัวกันแค่ว่าคนที่ต้องอยู่ต่อต่างหากจะเป็นเช่นไร” พระองค์เอ่ย ทรงหันพระพักตร์คมไปทางห้องทรงงาน และไม่ต้องบอกซานหลินก็รู้ว่าพระองค์ทอดพระเนตรไปหาสิ่งใด
แล้วนับจากนั้นมา ซานหลินก็กลายเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด
แค่แรกเห็นพระพักตร์ขององค์ชายเจ็ดในรอบหลายปีที่ศาลากลางน้ำ เขาก็แทบลืมหายใจ
เล่าลือกันว่าทรงประพิมพ์ประพายคล้ายพระมารดาอย่างยิ่งยวด และแม้ซานหลินจะเคยเห็นยามพระโอรสเป็นเพียงทารก ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเหมือนพระมเหสีหลี่ราวกับพระนางยังมีลมหายใจ
ทั้งพระพักตร์รูปเพชร พระขนงกระบี่รับพระนาสิกโด่งเป็นสัน ริมพระโอษฐ์เป็นกระจับได้รูปสีชมพูระเรื่อตัดกับพระฉวีสีทรายอมขาว และพระหนุกลมมนสวย ทุกอย่างเป็นของพระมเหสีหลี่ เห็นจะมีพระเนตรทองคำคู่คมเท่านั้นที่ทรงได้มาจากองค์จักรพรรดิหยาง
จะติดก็เพียงว่าพระมเหสีหลี่นั้นอ่อนหวานแช่มช้อย ในขณะที่องค์ชายเจ็ดนั้นเย็นชาน่ายำเกรงเกินกว่าวัย
“กระหม่อมนามซานหลิน จากนี้ไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” สุรเสียงยังไม่แตกหนุ่มดี แต่บางอย่างในน้ำเสียงกลับทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกเดียวกันกับยามพบเจอคนตายไม่มีผิดเพี้ยน
แล้วหลังซานหลินมาเป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดได้ไม่นาน บรรดาพระโอรสและพระธิดาองค์อื่น ๆ ในองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็ค่อย ๆ สิ้นพระชนม์ไปทีละพระองค์
องค์จักรพรรดิยังไม่ทันสวรรคต การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พี่น้องก็เริ่มขึ้นเสียแล้ว และเมื่อหยางไท่ซานจากโลกนี้ไป สิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์ของหยางซิงอีก็กลับคืนมา และกว่าจักรพรรดิหยางพระองค์ใหม่จะขึ้นบัลลังก์สำเร็จ ตำหนักขององค์ชายเจ็ดก็ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ตำหนักแห่งความตาย” แล้ว
เพื่ออำนาจ กระทั่งพี่น้องกันเองก็ไม่เว้นชีวิต และเพื่อเอาตัวรอดถึงมือต้องเปื้อนเลือดก่อบาปกรรมแก่คนในครอบครัว...หากไม่อยากตายก็ต้องกระทำ
บัลลังก์หรือชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่า แท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและมือเปื้อนเลือดของหยางซิงอี ยุวกษัตริย์พระองค์นี้ประสงค์หรือดำริสิ่งใด
แต่บางอย่างในตัวซานหลินบอกเขาว่า เป็นอย่างหลัง และไม่เพียงประสงค์จะมีชีวิตรอดเท่านั้น พระองค์ยังประสงค์ชีวิตที่มีความสุขเสียด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่เสด็จออกไปเมามายกับฤทธิ์สุราแทบไม่เว้นวันเพื่อลืมเลือนทุกสิ่งอย่างหรอก
แล้วในสายวันหนึ่งก็คล้ายความปรารถนาของพระองค์จะเป็นจริงขึ้นมา
นัยน์ตาสุกใส พระพักตร์อ่อนโยน พระองค์เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปลี่ยนไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหยางซิงอีคนนี้เป็นผู้ใดมาสถิตร่าง
ไม่มีอีกแล้วหยางซิงอีผู้น่าสงสารเลือดเย็น มีเพียงหยางซิงอีคนนี้ผู้อ่อนหวานหนักหนา
ซานหลินมองพระสรวลสดใสของหยางซิงอีคนใหม่ ขณะใจคิดถึงหยางซิงอีคนก่อน
หากมีโอกาสเขาก็อยากถามพระองค์ว่า พระองค์มีความสุขแล้วหรือไม่ นี่รึเปล่าคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนา และหากพระองค์ตอบว่าใช่ เช่นนั้นเขาก็ยินดีกับพระองค์ ส่วนหยางซิงอีคนใหม่นี้ หากทรงอยากออกไปท่องเที่ยว หรืออยากเล่นสนุกเช่นเด็กหนุ่มธรรมดา เขาจะคอยติดตามดูแลให้ปลอดภัยเอง
“องค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“จ๋าจ้ะ...เอ๊ย! ว่าอย่างไรหรือซานหลิน”
“กระหม่อมสงสัยว่าเจ็ดสี ที่พระองค์อยากได้มาเป็นสีฉลองพระองค์นั้น มีสีใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่าน...เอ๊ย! เจ้าถามได้ดีมาก”
“เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น!”
“แล้วพระองค์อยากได้สีใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ ซานหลินข้าว่าจะม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงสักหน่อย เจ้าว่าดีหรือไม่”
“หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ว่าดีพ่ะย่ะค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ! ขอบใจเจ้ามากนะซานหลิน”
ติดตามเหมือนที่เคยตามเสด็จพระบิดา
ติดตามเหมือนที่เคยตามพระองค์
หลินซีในฐานะอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและซานหลิน ทั้งชีวิตจัดว่าเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมายทั้งสิ่งแปลกพิสดาร สิ่งสวยงาม และสิ่งไม่สวยงาม แต่ไม่มีสักครั้งที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดดวงตาจนแทบจะร้องไห้ และเขาก็ไม่เคยเชื่อด้วยว่า การมองบางอย่างเช่นเสื้อผ้าจะสามารถทำให้ชายอกสามศอกเช่นตนหลั่งน้ำตาได้ไม่เชื่อจนกระทั่งเขาเห็นฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิหยางในสายวันหนึ่ง ที่พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการด่วน...ตาแทบบอด เจ็บตาจนไม่ได้ยินสิ่งที่องค์จักรพรรดิตรัสถามแค่เห็นสีฟ้าสดบนพระวรกาย หลินซีผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าให้ผู้ใดเห็นก็แทบจะยู่หน้ายิ่งพระองค์ย่างพระบาทมาใกล้เขายิ่งอยากถอยห่าง ใจกรีดร้องว่า ได้โปรดหยุด เขายังไม่อยากให้ตาเห็นเพียงสีฟ้า เขายังอยากเห็นโลกที่สดใส อยากเห็นดอกไม้ใบหญ้า และสาวงามใต้ตาของหลินซีกระตุกสลับซ้ายขวา ไม่รู้เป็นเพราะดวงตาอยากจะติดขาออกมาวิ่งหนีสีฟ้าที่ใกล้เข้ามา หรือธาตุไฟกำลังจะเข้าแทรกกันแน่สวรรค์ประทานพร! ยิ่งมององค์จักรพรรดิเขายิ่งเจ็บตาเขาทราบดีว่า องค์จักรพรรดิมีพระร
องค์จักรพรรดิอยากพบเขา?อันวาร์ยืนมองร่างของหยางซิงอีที่สะท้อนมาในกระจก แม้จะผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เขาก็ยังไม่ชินกับการตื่นมาเห็นตัวเองร่างใหม่นัก อย่างว่าเขาอยู่กับร่างเดิมมายี่สิบหกปี อยู่ ๆ ตื่นมากลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด มันก็ต้องมีปรับตัวใหม่กันบ้าง แต่เรื่องชินไม่ชินมันก็เรื่องหนึ่ง เรื่องสำคัญคือเรื่องนี้ต่างหากเรื่องที่องค์จักรพรรดิอยากพบเขาโอเค ไม่แปลกที่พี่น้องจะอยากเจอหน้ากันบ้าง เพราะอย่างไรองค์จักรพรรดิกับหยางซิงอีก็เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมเป็นตอนนี้ ทำไมเพิ่งมาอยากพบเขาเอาป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็สามารถพบกันได้ตลอด ยิ่งหยางซิงอีเกิดเหตุประหลาดตื่นมาความจำเสื่อม จริง ๆ อีกคนน่าจะเรียกเขาเข้าพบเร็วกว่านี้ หรือไม่ก็ตั้งแต่ทราบข่าวอาการประหลาดของหยางซิงอีเสียด้วยซ้ำ แต่นี่กลับทิ้งเวลามายาวนานถึงเดือนกว่าเพราะอะไร เพื่ออะไร นี่คือคำถามอันวาร์เดินจากหน้ากระจกไปที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดสมุดปกน้ำเงินพลิกไปจนเจอหน้าว่าง แล้วเขียนชื่อหยางซิงอีและองค์จักรพรรดิหยางลงไปก่อนหน้านี้เขาเคยสอบถามคนในตำหนักถึงองค์จักรพรรดิอยู
หลังทราบรายงานของสายข่าวเกี่ยวกับข่าวคราวขององค์ชายเจ็ด หญิงสาวในร่างหนุ่มเนื้อคู่ก็รู้สึกเหมือนวิญญาณตนหลุดออกไปนอกโลก และลอยคว้างอยู่กลางอวกาศสายข่าวของหล่อนรายงานว่า องค์ชายเจ็ดเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตื่นมาความจำเสื่อม พระองค์เปลี่ยนไปหมดตั้งแต่อุปนิสัย รสนิยมการตกแต่งตำหนัก ตลอดจนการแต่งกายของพระองค์ที่คล้ายจะเวียนใส่ฉลองพระองค์อยู่เจ็ดสีในเจ็ดวัน โดยเริ่มที่สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแสด สีคราม สีม่วง และสีแดงเข้มบางอย่างสะกิดใจรจนา บางอย่างที่คล้ายจะเป็นสีประจำวันที่คุณครูของประเทศหนึ่งในทวีปเอเชียอาคเนย์ต้องสอนเด็กอนุบาลทุกคน“เอาล่ะเด็ก ๆ ท่องตามคุณครูนะคะ วันจันทร์สีเหลือง...” ราวกับได้ยินเสียงคุณครูส้มโอ อดีตครูประจำชั้นสมัยอนุบาล 3 ดังขึ้นมาในหูไทยแลนด์โอนนี่ นี่มัน...สีของเจ็ดวันจากกะลาแลนด์แดนไทยไม่ใช่เหรอ!? ถึงจะไม่ตรงตามที่หล่อนจำได้เป๊ะ ๆ แต่หล่อนว่าก็ใกล้เคียงไปแล้วถึงหกในเจ็ดสีไม่หรอกมั้งอาจจะแค่บังเอิญ หล่อนคิด แต่ยิ่งฟังรายงานจากสายข่าว หล่อนยิ่งรู้สึกว่าใช่“ฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดนอกจากเรื่องพฤติกรรมการซื้อเครื่องเรือนและการแต่งกาย เท่าที่กระหม่อมตรวจสอบมาทั้งจากที่ลอบปล
เพราะร่างกายของชาวยุทธ์มีอุณหภูมิสูงกว่าคนปกติกระมัง ยามอากาศหนาวเย็นจนเกินทานทน พระองค์จึงมักขอมือนางไปจับไว้เพื่อคลายหนาวเมื่อครั้งพระชนมายุได้ 11 ชันษา หยางซิงอีเคยถูกพระสนมไป๋หวังเยี่ยนลักพาตัวไปนานราวเจ็ดวันทันทีที่ทราบผลการสืบสวนจากซูมู่ถง เฉินฝู่หมิงในวัย 47 ปีก็รู้สึกราวกับฟ้าจะถล่มลงมาเดี๋ยวนั้น และเมื่อเขาบอกให้นางเตรียมตัวออกเดินทางไปตามหาองค์ชายเจ็ด กระบี่ที่แทบไม่ได้แตะต้องนับตั้งแต่องค์ชายประสูติมา ก็กลับมาอยู่ในมือนางอีกครั้งทั้งอาภรณ์ดำสนิทปักลายนกนางแอ่น ผมดำยาวที่รวบเป็นหางม้าสูง ต่างหูรูปจันทร์เสี้ยวทองคำ และกระบี่โลหะสวรรค์สีดำคู่กาย เฉินฝู่หมิงสลัดคราบหญิงรับใช้ผู้นอบน้อมงดงามของตนออก แล้วคงเหลือไว้เพียง เฉินฝู่หมิง นางแอ่นดำแห่งยุทธภพคณะของซูมู่ถงใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าขบวนเสด็จของหยางซิงอีมาก เพียงสามวันก็หาขบวนเสด็จขององค์ชายพบสภาพของขบวนเสด็จนั้นไร้ผู้รอดชีวิต จากการตรวจสอบพวกเขาพบว่า ทั้งหมดถูกสังหารขณะหลับ และพบสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับรุนแรงอยู่ในอาหาร นี่จึงเป็นเหตุให้กระทั่
เพราะมีสายเลือดไป๋อยู่ในกาย ครั้งหนึ่งในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติขององค์จักรพรรดินีไป๋ องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานจึงมีรับสั่งให้องค์ชายเจ็ดในวัย 11 ชันษาเสด็จไปเยือนแคว้นไป๋ พร้อมของกำนัลแด่องค์จักรพรรดินีการเดินทางข้ามแคว้นครั้งนั้นใช้เวลาร่วมแปดวัน และราชองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายเจ็ดไปก็มิใช่ซูมู่ถง แต่เป็นถังเยว่ พลธนูมือหนึ่งแห่งแคว้นหยาง อดีตทหารใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและศิษย์ร่วมสำนักของเฉินฝู่หมิงเหตุที่ครั้งนั้นซูมู่ถงมิได้ตามเสด็จองค์ชาย เพราะก่อนหน้าวันออกเดินทางไม่กี่วัน เขาและเฉินฝู่หมิงพบว่า ในสำรับอาหารของพระองค์มียาพิษปนอยู่ และเมื่อไม่ทราบว่าที่มาของพิษคือสิ่งใด ซูมู่ถงจึงตัดสินใจรั้งอยู่ในแคว้นหยางเพื่อสืบหาความจริง หรืออย่างน้อยก็จนทำความสะอาดตำหนักขององค์ชายเสร็จเสียก่อนจึงจะตามไปมีถังเยว่อยู่กับองค์ชายเจ็ด ทั้งเฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็พอเบาใจได้บ้าง ซ้ำยังเป็นการดีเสียอีกที่องค์ชายมิได้พำนักอยู่ในวังหลวง เพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากให้พระองค์อยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยซูมู่ถงแจ้งเหตุดังกล่าวแก่องค์จักรพรรดิหยาง ไม่ถึงชั่วยามก็มีการจัดตั้งคณะสืบสวนสอบสวน คนในคณะล้วนเคยเป็นค
WARNING:เนื้อหาในตอนมีความรุนแรงทั้งทางกายและทางใจเพราะเป็นสหายรัก...คนใกล้ตัว หลี่ถงฮว่าจึงไม่เคยระแวงไป๋หวังเยี่ยนอีกคนจะมอบของขวัญให้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นหรืออาหารทั้งคาวหวาน พระนางย่อมยินดีรับไว้ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมียาพิษก็ไม่คิดตรวจสอบเพียงหลี่ถงฮว่าขึ้นเป็นพระมเหสีของหยางไท่ซาน พระบรมมหาราชวังอันเย็นเยียบก็อบอุ่นขึ้นทันตา และแน่นอนว่า บุคคลแรกที่หลี่ถงฮว่าไปหาคือ ไป๋หวังเยี่ยนในความยินดีที่ดวงใจกลับมาให้เห็นหน้า ความหวงแหนอันน่าสะพรึงกลัวก็มีกำเนิดมา ไป๋หวังเยี่ยนกอดหลี่ถงฮว่าแทบจะไม่อยากปล่อยหญิงสาวไปไหน และแม้จะโกรธแค้นอีกคนที่ไม่รักษาสัญญาแค่ไหน แต่เพียงหนึ่งยิ้มสดใสที่หลี่ถงฮว่าส่งมา พระเนตรวาวโรจน์ของไป๋หวังเยี่ยนก็อ่อนแสงลงทันตา และไม่ว่าพระมเหสีจะขอสิ่งใดจากพระนาง พระนางย่อมยินดีกระทำให้หลี่ถงฮว่าขอให้พระนางเลิกสุรา พระนางก็เลิกทันทีที่สิ้นเสียงหญิงสาวหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางดีกับพระโอรสบ้าง พระนางก็ดีด้วยหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางไปไหนมาไหนเช่นเก่าก่อน พระนางก็ทำแต่แม้จะได้อยู่ด้วยกันคล้ายเก่าก่อน คำว่า “คล้าย” ก็มิใช่ “เหมือน” เพราะทุกเย็นหยางไท่ซานจะมารับหลี่ถงฮว่าไปจา