ตอนที่11 หลบหน้า
“มึงจะมาจ้องจับผิดอะไรกูธารา” เมื่อถูกถามแบบจับผิดคนที่ไม่บริสุทธิ์ใจเหมือนเดิมก็ทำท่าหงุดหงิดขึ้นมา
“กูไม่ได้ว่าอะไรถ้ามึงจะสนใจเรื่องความปลอดภัยของเด็กแต่ที่กูเห็นมันเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า ที่นี่ในบ้านไม่ใช่ข้างนอกที่ต้องให้คนไปยืนเฝ้าตลอดเวลาแบบนั้น ทำเหมือนเด็กมันเป็นนักโทษไปได้” ธาราพูดในสิ่งที่เขารู้สึก ไม่มีใครชอบให้มีคนยืนคุมตลอดเวลาหรอกแต่ที่พลอยใสไม่พูดเพราะเธอเกรงใจประมุขของบ้าน
ชาร์วีหันมองหน้าธาราก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบโดยไม่พูดอะไรต่อ ธาราเองก็หัวเสียที่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบไม่สะทกสะท้านกับคำเตือนของเขา
“กูพอใจที่จะทำ และอีกอย่างไอ้พวกนั้นมันก็ไม่ได้ไปรบกวนอะไรเด็กนั่นด้วย แค่ยืนเฉย ๆ คิดซะว่าเป็นรูปปั้นประดับศาลาแล้วกัน” ชาร์วีพูดขึ้นหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบมาสักพัก ก่อนที่มาเฟียหนุ่มจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมและเดินออกจากห้องไป
“เธอว่าวันนี้เราจะเจอคุณวีไหมแก้มใส” ผ้าไหมพูดกับแก้มใสในขณะที่ทั้งคู่นัดกันมาดักรอเจ้าของบ้านอยู่มุมด้านหลังของตึกใหญ่ที่เชื่อมระหว่างตึกเล็ก หลังจากที่เห็นรูปชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในมือถือของพลอยใสเมื่อวันก่อนและสอบถามจึงได้รู้ว่ารูปชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นคือคุณวีผู้อุปการะของพวกเธอ ทั้งที่ความเข้าใจแต่ก่อนคือคิดว่าคุณวีคงจะเป็นชายสูงวัยที่ไม่มีลูกสืบทอดทายาทจึงรับพวกเธอทั้งสามมาอุปการะ
“ก็ต้องลองเสี่ยงแหละ ถ้าไม่ทำแบบนี้เราก็คงไม่มีโอกาสเห็นคุณวีหรอก อยู่มาตั้งกี่ปีแล้วฉันพึ่งรู้ว่าคุณวีของเรายังหนุ่มอยู่แถมหล่อมากอีกต่างหาก” แก้มใสพูดขึ้นพรางสายตาก็สอดส่ายหาเป้าหมายอย่างมีความหวัง
“ไม่ใช่ยัยพลอยใสมันเคยเจอคุณวีก่อนพวกเราแล้วนะ” ผ้าไหมพูดถึงพลอยใสที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือตรงศาลาสระบัวขณะที่พวกเธอแอบย่องมาในเขตบ้านใหญ่
“ฉันว่าคงไม่หรอก รายนั้นเอาแต่อ่านหนังสือจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอคุณวี” แก้มใสหันมาพูดกับผ้าไหม
“กะ.. แก้ม แก้มใส” เสียงเรียกติด ๆ ขัด ๆ ของผ้าไหมทำให้แก้มใสต้องรีบถาม
“มีอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น” แก้มใสเริ่มใจคอไม่ดีถามออกไป ก่อนที่จะหันไปตามไปตามทิศทางที่ผ้าไหมจ้องมองอยู่ก่อน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือชายหนุ่มร่างสูงกำยำที่มีใบหน้าคมคายหล่อชนิดที่เรียกได้ว่าโตมาจะครบ 18 ปีแล้วยังไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนเพอร์เฟคทั้งรูปร่างและหน้าตาแบบนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือชาร์วีหรือคุณวีคนที่อุปการะพวกเธอ ชาร์วีอยู่ในชุดนอนและสวมทับด้วยชุดคลุมด้านนอกอีกชั้นกำลังยืนอยู่ที่สนามหญ้าโดยมีบอดี้การ์ดกระจายเพื่อรักษาความปลอดภัยห่างอยู่ห่าง ๆ กำลังหันหน้ามาทางที่พวกเธอ แต่มองดี ๆ เหมือนกับว่าสายตาของชายหนุ่มนั้นกำลังมองไปยังศาลาสระบัวที่อยู่ถัดไปด้านหลังตรงจุดที่ทั้งสองแอบอยู่
“หล่อ หล่อมากผ้าไหม หล่อกว่าในรูปอีก” แก้มใสที่ได้เห็นชาร์วีเต็มตาครั้งแรกก็ถึงกับตะลึงในความหล่อเหลาจนจิกเล็บลงบนมือผ้าไหมอย่างลืมตัว
“โอ๊ย!! แก้มใสฉันเจ็บนะ” ผ้าไหมอุทานเบา ๆ เพราะกลัวบอดี้การ์ดได้ยิน
“ฉันขอโทษ ฉันลืมตัวน่ะมัวแต่ตะลึงในความหล่อของคุณวี”
“ทีหลังก็ระวังหน่อย เล่นจิกลงมาแบบนี้ถ้าเลือดออกจะทำยังไง” ผ้าไหมบอกเพื่อนพร้อมลูบที่มือตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บ ๆ แสบ ๆ
“รู้แล้วน่าทีหลังฉันจะระวังกว่านี้ คิดแล้วก็อิจฉาคนที่จะมาเป็นแฟนคุณวีนะเธอว่าไหม ผู้หญิงคนนั้นคงโชคดีมากไม่รู้ต้องเกิดอีกกี่ชาติถึงจะมีแฟนหล่อแบบนี้” ทั้งสองสาวแอบดูชาร์วีอีกสักพักก่อนจะรีบกลับเข้าห้องเพราะบอดี้การ์ดเริ่มเดินมาทางที่พวกเธอหลบอยู่
ชาร์วียืนทอดสายตามองอยู่อย่างนั้นนานสองนาน นานจนเด็กสาวอ่านทบทวนตำราเรียนเสร็จและเก็บหนังสือลุกขึ้นยืนและหันไปพูดอะไรบางอย่างกับบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่เป็นเพื่อนเธอตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน
รอยยิ้มหวานเผยขึ้นบนใบหน้าเรียวเล็กอีกครั้ง มือด้านขวาชูสองนิ้วให้บอดี้การ์ดอย่างที่เธอชอบทำเป็นประจำ ชาร์วีที่ยืนมองอยู่ถึงกลับออกอาการไม่พอใจหันหลังเดินกลับขึ้นห้องไป
“อากาศเป็นพิษเหรอวันนี้ หัวเสียกลับขึ้นมาเชียว” ธาราที่นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานเอ่ยถามขึ้นเมื่อเจ้าของบ้านเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“ไม่เสือกเรื่องของกูสักวันมันจะตายไหม” ชาร์วีด่ากลับอย่างหัวเสีย ฝ่ามือหนากวาดแฟ้มที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะไปไว้ขอบโต๊ะอีกด้าน
“เด็กมันอัธยาศัยดี ก็ทักทายกับคนในบ้านแบบนี้ประจำ มึงจะหัวเสียทำไม” ธาราที่รู้ต้นเหตุที่ทำให้เจ้าของบ้านหัวเสียอยู่ตอนนี้จึงพูดขึ้น
“มึงรู้ได้ไงว่ากูหงุดหงิดเรื่องอะไร อย่าทำมาเป็นสู่รู้หน่อยเลย”
“แล้วไอ้ที่ไปยืนมองเด็กมันเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นมานี่ ไม่ใช่เพราะเห็นเด็กมันคุยกับคนอื่นหรอกเหรอ” ธารายังเหน็บแนมเสียงเรียบ
“รู้ดีนักนะมึง ลาออกไปเป็นนักข่าวดีกว่าไหมกูว่าอาชีพนี้น่าจะเหมาะกับคนอย่างมึงดี”
“ถ้าไม่จำเป็นมึงคิดว่ากูอยากมาทำงานบ้า ๆ พวกนี้กับมึงหรือไง เลิกบ้าแล้วรีบเคลียร์งานอีกสองวันต้องบินไปดูไบ ทางนั้นตกลงรับข้อเสนอของเรา เราต้องบินไปดูบ่อน้ำมันด้วยตัวเอง” ธาราที่ไม่ต่างอะไรกับชาร์วีที่ต้องมารับหน้าที่อันหนักหนาที่ผู้เป็นพ่อและนายใหญ่ของฮาร์เปอร์ทิ้งไว้แบบกะทันหัน
“แล้วไอ้มังกร”
“คุณมังกรจะบินไปกับเราด้วย ส่วนคุณฉลามต้องบินไปดูกาสิโนที่สิงคโปร์” ธาราพูดขึ้นน้ำเสียงจริงจังเมื่อเริ่มเข้าสู่โหมดการทำงาน
“บอกไอ้ลุคค์กลับมาดูแลความเรียบร้อยในบ้านระหว่างที่กูกับมึงไม่อยู่ งานที่ผับก็ให้คนอื่นดูแลไปก่อน” ชาร์วีตอบกลับเสียงเรียบสีหน้าจริงจังพร้อมกับหยิบเอกสารที่กวาดทิ้งไปกลับมาเซ็นทีละแฟ้มหลังจากที่ตรวจทานอีกรอบหนึ่ง
เช้าวันถัดมา
ชาร์วีมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าหลังจากห่างหายจากการออกกำลังกายกลางแจ้งมานาน ชายหนุ่มในชุดออกกำลังกายแบรนด์ดังกำลังวิ่งรอบสนามหญ้าหน้าบ้านสายตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดนักเรียนเดินถือกระเป๋าตรงดิ่งมาทางลานหน้าบ้านเพื่อขึ้นรถตู้ไปโรงเรียน เท้ายาววิ่งไปหยุดอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ยืนมองเด็กสาวเดินผ่านหน้าไปจากนั้นก็รีบเดินเข้าบ้านเมื่อใกล้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว
“ทำไมต้องหลบเด็กมันด้วยครับ ทำอย่างกับว่านายไปทำอะไรผิดมาแล้วกลัวเด็กมันจับได้”
“คุณวีคุณธาราอาหารเช้าป้าตั้งโต๊ะเสร็จแล้วนะคะ” ป้าณีเดินเข้ามาพอดี ชาร์วีจึงอาศัยจังหวะนั้นเดินหนีขึ้นบ้านไป
“ผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับลงทาน”
บนโต๊ะอาหาร
“เช้านี้มีอะไรน่าทานบ้างครับ” ธาราถามพร้อมกวาดตามองดูอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เมนูโปรดของคุณธาราไงคะ สปาเกตตีขี้เมาทะเล พลอยใสตื่นมาโชว์ฝีมือให้แต่เช้าเห็นบอกว่าคุณธาราบ่นอยากทาน” ธาราเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอาหารก่อนจะลากเก้าอี้ออกและนั่งลงมองดูสปาเกตตีขี้เมาทะเลที่วางอยู่ตรงหน้าพร้อมส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน
“รวดเร็วทันใจดีนะครับเด็กคนนี้ พึ่งพูดไปวันก่อนวันนี้ได้กินแล้ว” ธาราหันไปพูดกับแม่บ้านพร้อมหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะลงมือทานอาหารเมนูโปรดของตนเอง
ชาร์วีเดินลงมาจากชั้นสองเพื่อมาทานอาหารเช้าก็เจอกับจานอาหารที่ดูไม่เหมาะจะเป็นอาหารเช้าวางอยู่ตรงหน้าธารา ส่วนของตนเองเป็นเบรกฟัสไส้กรอกไข่ดาวและกาแฟ ชาร์วีนั่งลงประจำที่และทานอาหารไปโดยไม่ได้สนใจธารา จนอยู่ ๆ แม่บ้านก็ถามขึ้น
“นั่งกินไม่พูดไม่จาเลยนะคะคุณธารา สรุปอร่อยไหมคะ พลอยใสบอกว่าไม่ได้ทำเมนูนี้มานานแล้วกลัวว่ารสชาติจะไม่อร่อยเหมือนเดิม” ชาร์วีได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองอาหารตรงหน้าธาราทันที และพูดประชดธาราออกไป
“เดี๋ยวนี้ถึงขั้นสั่งกันทำเมนูพิเศษเลยเหรอฮะ กูที่เป็นเจ้าของบ้านยังไม่เคยสั่งขนาดนั้นเลย” น้ำเสียงประชดและสีหน้าเรียบนิ่งที่แสดงออกมาทำให้ธาราต้องเงยหน้ามามองผู้เป็นนายเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าเหมือนเดิมแล้วตอบกลับในสิ่งที่เจ้านายพูด
“เปล่าครับวันก่อนแค่บ่นกับพลอยใสไป วันนี้เธอเลยตื่นมาทำให้แค่นั้นครับ”
“แค่บ่นก็ได้กินกูที่เป็นคนจ่ายเงินไม่เห็นจะได้กินห่าอะไร” ชาร์วีพูดขึ้นด้วยความโมโหจนลืมไปว่าป้าณียืนอยู่ด้วย
“แล้วที่กินอยู่นั่นคืออะไรครับ”
“กูก็ได้กินแต่ของเดิม ๆ ไง” ทั้งลูกน้องและเจ้านายยังคงเถียงกันไปมาแบบไม่มีใครยอมใคร
“นายอยากกินอะไรก็สั่งป้าณีแกสิครับ ปกตินายก็กินแบบนี้มา28 ปีแล้ว พึ่งมาบ่นอะไรตอนนี้”
“กูก็อยากกินอย่างอื่นบ้างไง” คนที่กำลังหงุดหงิดออกอาการพาลแบบไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เพราะสาเหตุเรื่องเมนูอาหารแต่เป็นเพราะลูกน้องได้กินอาหารฝีมือเด็กในการปกครอง ทั้งที่ควรเป็นเขามากกว่าที่ต้องได้ทานอาหารจานนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเมนูธรรมดาที่ไม่พิเศษอะไรก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นนายคงต้องยอมให้เด็กมันเจอหน้านะครับ ไม่ต้องคอยหลบ อยากทานอะไรก็แค่เอ่ยปากสั่ง อีกอย่างเด็กมันคงตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อคุณชาร์วีผู้ปกครองใจดี 5555” ธารายังไม่หยุดพูดจากวนประสาทชายหนุ่มเจ้าของบ้าน จนป้าณีทนฟังทั้งสองต่อล้อต่อเถียงไม่ไหวถามแทรกขึ้น
“นายอยากทานอะไรคะเดี๋ยวตอนเที่ยงป้าจะทำให้ บอกป้ามาเลยค่ะเดี๋ยวป้าจะรีบออกไปจ่ายตลาด” ป้าณีที่ยืนมองคนนั้นทีคนนี้ทีได้โอกาสจึงพูดแทรกขึ้นมา
“ผมอยากกินเหมือนไอ้ธาราครับ”
“อันนั้นป้าทำไม่เป็นค่ะพลอยใสทำเป็นคนเดียว รอตอนเย็นป้าจะให้พลอยใสทำให้นะคะ” แม่บ้านไหล่ตกพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อเจ้านายหนุ่มบอกในสิ่งที่อยากกิน
“วันนี้พลอยใสกลับเย็นคงเลยเวลาอาหารเย็นแล้ว นายเปลี่ยนเมนูเถอะครับ” ธารายังกวนประสาทเจ้านายไม่เลิกเพราะแอบหมั่นไส้เจ้านายตนเองที่ทำเหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่นเหมือนคนอื่น
“พลอยใสไปไหนทำไมถึงกลับเย็น” น้ำเสียงที่หงุดหงิดอยู่แล้วกลับเข้มขึ้นจนธาราและป้าณีรู้สึกได้
“ทำงานกลุ่มกับเพื่อน” ธาราตอบสั้น ๆ โดยไม่ขยายความอะไรให้เจ้านายรู้ไปมากกว่านี้ ชาร์วีที่ส่งสายตาเข้มไปให้ลูกน้องและนั่งนิ่งรอคำตอบก็รู้สึกขัดใจมากยิ่งขึ้นเมื่อคำตอบของธาราสั้นจนเหมือนจงใจไม่ให้เขารู้ แม้อยากจะถามต่อให้ให้รู้ความเคลื่อนไหวของเด็กสาวมากกว่านี้ก็กลัวจะแสดงความเป็นห่วงมากไป แค่ตอนนี้ธาราก็คอยจ้องจับผิดเขาอยู่แล้ว ชาร์วีจึงพยายามควบคุมอารมณ์แล้วทานอาหารต่อดังเดิมโดยไม่พูดอะไรกับธาราอีก
“สรุปนายจะทานอะไรคะ ป้าจะได้ทำถูก” เมื่อเห็นว่าการปะทะกันทางวาจาของสองหนุ่มบนโต๊ะอาหารได้เงียบลงไปแล้วป้าณีจึงถามคนเป็นเจ้านายอีกครั้ง
“ป้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ ผมทานอะไรก็ได้” เมื่อคนที่อยากลิ้มลองรสมือไม่สามารถมาทำอาหารให้ได้ชาร์วีจึงไม่คิดอยากกินอะไรเป็นพิเศษปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านจัดให้ตามเดิม
“อ้าว งั้นป้าทำอาหารไทยขึ้นโต๊ะแล้วกันนะคะมื้อเที่ยง”
“ครับ”
ชาร์วีและธาราต่างคนต่างนั่งทานอาหารของตนเองโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกระทั่งเสร็จจากอาหารเช้าชาร์วีก็เดินเข้าห้องทำงานในขณะที่ธาราก็เดินไปตรวจความปลอดภัยภายในบ้านก่อนที่จะบินไปดูไบในอีกไม่กี่วัน