ตอนที่5 เพียงแค่เงา
พลอยใสในวัย17 ปี เริ่มโตเป็นสาวเต็มตัว กำลังนั่งหัดเล่นกีตาร์อยู่ที่ม้าหินอ่อนในสวนหย่อมที่เดิมในวันหยุดเมื่อเสร็จจากการทำงานในครัวและทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ตามที่ได้รับมอบหมาย เด็กสาวใช้เวลาว่างระหว่างช่วงกลางวันมานั่งทบทวนบทเรียนและฝึกเล่นดนตรีซึ่งเป็นอีกอย่างที่พลอยใสชอบทำ กีตาร์ตัวโปรดเป็นของชิ้นแรกที่เธอเก็บเงินซื้อเองจากค่าขนมที่ชาร์วีให้ในแต่ละวัน พลอยใสชื่นชอบดนตรีเพราะรู้สึกว่าเสียงดนตรีทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย และเธอก็ชอบเสียงกีตาร์โดยเฉพาะแนวอะคูสติก
“ทำไมโน๊ตตัวนี้แกะยากจังนะ” พลอยใสพึมพำกับตัวเองเมื่อนั่งแกะโน๊ตเพลงที่ต้องการไม่ได้สักที อีกไม่กี่วันเธอก็ต้องไปสอบกับอาจารย์ที่สอนวิชาดนตรีแล้ว พลอยใสถอนหายใจออกมาเป็นระยะเมื่อการเล่นกีตาร์ของเธอยังไม่เป็นที่พึงพอใจ
เสียงกีตาร์ดังไปรบกวนการทำงานของเจ้าของบ้านที่วันนี้หยุดทำงานอยู่ที่บ้าน และบังเอิญเปิดหน้าต่างห้องทำงานเพื่อรับลมเย็น ๆ และอากาศบริสุทธิ์ จนต้องหยุดชะงักงานในมือและตั้งใจฟังเสียงกีตาร์ที่ไม่เคยได้ยินในบ้านหลังนี้มาก่อน
“ใครมาดีดกีตาร์แถวนี้” ชาร์วีอดไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาดูต้นตอของเสียงนั้นแต่ก็เห็นแค่เพียงแผ่นหลังของเด็กสาวในการปกครอง เพราะพลอยใสนั่งหันหลังให้กับบ้านหลังใหญ่ในท่าไขว่ห้างโดยมีกีตาร์วางไว้บนตักและบนโต๊ะตรงหน้ามีสมุดโน๊ตเพลงเปิดกางไว้ ชายหนุ่มจึงมองเห็นเพียงศีรษะทุยที่กำลังก้มมองกีตาร์ในมือ สายตาคมมองลงมายังบ่าเล็กและแผ่นหลังที่ตั้งตรงสลับกับโค้งนิด ๆ เมื่อเจ้าตัวโน้มลงไปดีดกีตาร์ตามจังหวะเพลงก่อนจะหยุดอยู่ที่เอวคอดโค้งได้สัดส่วน เสียงเพลงจากกีตาร์รวมถึงคนเล่นและบรรยากาศยามเย็นที่มีลมโชยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานทำให้ชาร์วีรู้สึกอารมณ์ดีและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ชาร์วียืนมองเด็กสาวผ่านหน้าต่างสีใสอยู่นานจนพลอยใสเล่นเพลงนั้นจบลง
พลอยใสจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาและเก็บหนังสือที่เปิดกางอยู่บนโต๊ะให้ปิดลงแล้วลุกและกำลังหมุนตัวกลับ จังหวะนั้นแหงนหน้าขึ้นมองตรงหน้าต่างชั้นสองของบ้านก็เจอกับร่างสูงของใครบางคน แต่ก็เห็นแค่เพียงแว็ปเดียวม่านสีเทาก็ถูกเลื่อนปิดทันที
“คุณวี” เสียงเล็กพึมพำกับตัวเอง จังหวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติดวงตากลมโตยังจ้องมองอยู่ที่เดิมแต่ก็ไร้เงาเจ้าของห้อง เด็กสาวตัดใจหันหลังเดินกลับไปทางเรือนเล็กที่อยู่ถัดไป ชาร์วีที่ยังแอบมองเด็กในปกครองที่ตอนนี้เป็นสาวเกือบเต็มตัวค่อย ๆ เดินห่างออกไป พลางคิดในใจว่าเด็กที่วิ่งชนเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้เริ่มโตเป็นสาวเต็มตัว ยามที่ลุกขึ้นยืนเต็มตัวแบบนี้ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเธอมีรูปร่างสูงและสัดส่วนที่เหมาะสมกลมกลึง รวมถึงจังหวะการย่างก้าวในแต่ละครั้งก็ดูดีทำให้เผลอมองเพลินตาจนกระทั่งมีเสียงบอดี้การ์ดดังขึ้น
“นายมีอะไรหรือเปล่าครับ” บอดี้การ์ดที่เดินตรวจตรามาถึงบริเวณนั้นพอดีและเหลือบไปเห็นเจ้านายหนุ่มยืนมองไปยังทางด้านหลังบ้านจึงตะโกนถามออกไปเสียงดัง พลอยใสที่เดินไปยังไม่ไกลนักได้ยินจึงหันกลับมาดูก่อนจะแหงนหน้ามองตามทิศทางที่บอดี้การ์ดมองอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” พลอยใสที่ตกใจเสียงของบอดี้การ์ดจึงหันกลับมาถาม
“เปล่าครับ พอดีเมื่อกี้เหมือนเห็นนายยืนอยู่ด้านบนแล้วมองลงมาเลยถามดูน่ะครับว่ามีอะไรหรือเปล่า” และหัวใจของเธอก็กลับมาเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง แต่พอหันไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า หน้าต่างห้องปิดสนิทรวมถึงม่านก็ถูกเลื่อนปิดไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าของบ้าน
“เอ้า! นายคงกลับเข้าห้องไปแล้วครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มหันมาตอบพลอยใสและหันกลับไปก็ไม่เจอเจ้านายหนุ่มแล้ว พลอยใสจึงเดินต่อไปยังบ้านพักของเธอ
“นายหลบอะไรครับ” เสียงธาราที่เดินเข้ามาในห้องทำงานชาร์วีถามเจ้านายหนุ่มอย่างสงสัย เมื่อเห็นท่าทีเจ้านายเหมือนกำลังหลบอะไรบางอย่างก่อนจะเดินไปหาคำตอบเองโดยไม่รอเจ้าของห้อง ชาร์วีไม่ทันจะคัดค้านอะไร ธาราที่ตอนแรกนึกไปถึงความปลอดภัยของเจ้านายเป็นอย่างแรกก็สาวเท้ายาวไปยังหน้าต่างก่อนจะยื่นมือไปเปิดม่านออกทันที
“ไม่มีอะไรหรอกเดินดุ่ม ๆ ไปแบบนั้นเกิดมีใครเล็งปืนมา มึงเปิดม่านแบบนั้นเขายิงแสกหน้าขึ้นมามึงคงตายฟรี” ชาร์วีพูดเสียงเรียบพยายามทำตัวปกติเพื่อไม่ให้มือขวาสงสัย
“ถ้าลูกปืนมันทะลุกระจกกันกระสุนในห้องนี้เข้ามาได้ นายก็เปลี่ยนมาใช้กระจกธรรมดาเถอะครับ” ธาราตอบเจ้านายในขณะที่สายตาก็สอดส่องออกไปด้านนอก ก่อนจะเห็นแผ่นหลังของเด็กในการปกครองที่เจ้านายหลบหน้ามาตลอดเกือบ4ปี
“มึงจะยืนชมวิวอีกนานไหม ห้องกูไม่ใช่จุดที่มึงจะมายืนชมวิวได้ตามใจ” ชาร์วีประชดเสียงเรียบ แต่ธารากลับไม่รู้สึกเกรงกลัว มิหนำซ้ำยังหันกลับมาถามสีหน้าปกติ
“เป็นผู้ใหญ่ถ้ำมองมันไม่ดีเท่าไหร่นะครับ บอดี้การ์ดมันเห็นมันจะเอาไปพูดถึงนายในทางไม่ดีได้”
“ใครมันจะกล้าพูด ถ้ากูได้ยินกูไม่เลี้ยงต่อให้เปลืองข้าวสุกหรอกนะ”
“แล้วเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เลี้ยงไว้แต่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้าของบ้านได้เพียงแค่เดินผ่านนี่ ถือว่าเลี้ยงเสียข้าวสุกด้วยหรือเปล่าครับ” ธาราปิดม่านลงดังเดิมก่อนจะหันมาถามชาร์วีเมื่อแน่ใจบางอย่าง
“มึงชักจะปากดีและทำเป็นแสนรู้ขึ้นทุกวันแล้วนะธารา” ชาร์วีชักสีหน้าเมื่อถูกลูกน้องคนสนิทรู้ทันก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโต๊ะทำงาน
“ไม่อย่างนั้นผมจะทำงานกับนายได้ยังไงล่ะครับ ลูกน้องก็ต้องแสนรู้เหมือนเจ้านายเป็นเรื่องธรรมดา” ธารายังสาดถ้อยคำกวนไม่เลิกเพราะรู้สึกคึกที่วันนี้เจ้านายตนเองทำตัวเหมือนกับแมวที่กำลังมองปลาย่างแต่ถูกจับได้ ชาร์วีตวัดสายตาคมที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิดมองลูกน้องก่อนจะหันไปสนใจเอกสารตรงหน้า
“จะไปไหนก็ไปหมดเวลางานวันนี้ของมึงแล้ว” ชาร์วีตัดบทเพราะไม่อยากได้ยินธาราพูดอะไรที่ไม่เข้าหูอีก บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือแต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน จนชาร์วีต้องเงยหน้าขึ้นมาถาม
“คืนนี้มึงจะนอนในห้องทำงานกูใช่ไหม”
“กูไม่ใช่เมียมึง กูแค่อยากจะบอกมึงเรื่องเด็กในอุปการะของมึงก็เท่านั้น” เมื่ออยู่นอกเวลางานซึ่งเป็นเวลาส่วนตัวธาราก็เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองกับชาร์วีทันที
“มีอะไร” ชาร์วีสีหน้าเคร่งถามขึ้นมาทันที
“ดูแล้วเด็กมันอยากเจอหน้ามึงเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอผู้มีพระคุณเลยสักครั้งมึงจะอนุญาตให้เด็กมาเจอหน่อยไม่ได้เหรอ”
“เด็กที่มึงว่าคนไหนล่ะ” ประมุขบ้านฮาร์เปอร์ถาม ก่อนจะละสายตาจากลูกน้องมาสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนเดิม
“แก้วใส กับผ้าไหม”
“ไม่จำเป็นบอกให้พวกเธอตั้งใจเรียนก็พอ” เสียงเรียบดังขึ้นทันทีที่ธาราเอ่ยชื่อเด็กสาวออกไป
“แล้วถ้าเป็นพลอยใสล่ะ” ปากกาที่กำลังเซ็นเอกสารชะงักทันทีที่ชื่อของเด็กสาวอีกคนดังขึ้น สายตาคมตวัดมองลูกน้องซึ่งคนถูกมองก็ไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าของสายตาคมดุจเหยี่ยวนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ในที่สุดเสียงที่นิ่งไม่ต่างจากใบหน้าก็ดังขึ้นมา
“ยังไม่ถึงเวลา”
“ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ต้องไปแอบมองเด็กมัน แต่ถ้าอยากเจอก็บอกจะได้นัดให้มาเจอ” ธาราพูดออกไปหวังจะหยั่งดูปฏิกิริยาของเจ้านาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการที่จะให้เด็กในอุปการะมาเจอสักครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่และก็คงใช้เวลาไม่มากนักที่จะทักทายพูดคุยเพียงเล็กน้อย แต่เจ้านายเขากลับปฏิเสธซึ่งธาราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
“มึงอย่าจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องธารา และอีกอย่างหน้าที่ของพวกเธอคือตั้งใจเรียนหนังสือให้จบ หน้าที่กูคือส่งเสียให้เรียน ส่วนหน้าที่มึงคือคอยดูแลความเรียบร้อยและจัดการสิ่งที่จำเป็นให้เด็กก็แค่นั้น กูยังมองไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่มึงมาพูดแดกดันกูอยู่ตอนนี้" คนที่เริ่มหมดความอดทนกับคำพูดกวนประสาทของลูกน้องร่ายยาวออกมาอย่างหงุดหงิด ธาราเลิกคิ้วเหมือนไม่ใส่ใจกับท่าทางหงุดหงิดของเจ้านายนักก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้และถามออกมา
“เอกสารของพลอยใสล่ะดูเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วขอคืนครับ” จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วชาร์วีก็หงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อถูกทวงในสิ่งที่ยังไม่อยากให้คืน
“มึงจะทวงทำไม เอกสารนั่นสำคัญอะไรกับมึง”
“แล้วประวัติพลอยใสสำคัญอะไรครับมึงถึงต้องเก็บไว้นานขนาดนี้ ปกติไม่เห็นเคยอยากเก็บอะไรที่ไม่สำคัญ ที่ถามก็เพราะเผื่อบางทีเด็กมันอาจจะอยากได้เอกสารที่เกี่ยวกับตัวเองคืน” ธาราไม่เข้าใจการกระทำของเจ้านายหนุ่ม กับแค่รูปถ่ายธรรมดาทำไมถึงหวงอย่างกับโฉนดที่ดินทำเลทอง ส่วนเอกสารสำคัญชาร์วีส่งคืนให้หมดแล้วเหลือเพียงรูปถ่ายและเอกสารส่วนอื่นเท่านั้นที่ชาร์วียังเก็บไว้
“ถ้าเธอจะใช้มึงค่อยมาบอกกู ตอนนี้กูยังดูประวัติเด็กคนนี้ไม่เสร็จ แล้วมึงก็ออกไปได้แล้ว” ชาร์วีตีหน้าขรึมก่อนจะพูดตัดบทเช่นเคย
ในครัว
“ทำไมวันนี้หน้าตาไม่สดชื่นเลยล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า โดนคุณธาราดุมาหรือเปล่าลูก” ป้าณีถามพลอยใสเมื่อเห็นเด็กสาวเดินเข้ามาในห้องครัวไม่ร่าเริงเหมือนทุกวัน
“เปล่าค่ะ พลอยแค่กังวลเรื่องแกะโน๊ตดนตรีไม่ได้สักที อีกไม่กี่วันจะสอบกับคุณครูแล้วแต่ก็รู้สึกว่ายังเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่”
“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไรอย่าไปคิดมากเลยลูก พลอยเก่งอยู่แล้วเดี๋ยวก็ทำได้ นี่ทำให้ป้านึกถึงสมัยคุณวีเป็นเด็ก รายนั้นก็ชอบเล่นกีตาร์เหมือนกันและก็เล่นเก่งด้วยนะแต่งเพลงเองตั้งหลายเพลง เคยมาเล่นให้ป้าฟังบ่อย ๆ แต่เสียดายที่เดี๋ยวนี้คุณเขางานยุ่งไม่มีเวลามาทำอะไรพวกนั้นแล้ว” แววตาแห่งความสุขดูเศร้าลงเมื่อพูดถึงประมุขของบ้านที่ต้องมารับภาระอันหนักหน่วงหลังจากนายใหญ่ของบ้านนั้นเสียชีวิตลง
“จริงเหรอคะ พลอยพึ่งรู้นะคะว่าคุณวีเล่นกีตาร์เป็น”
“จริงสิจ๊ะ ไม่ใช่แต่กีตาร์นะแต่ยังเล่นเครื่องดนตรีเป็นอีกหลายอย่างเลยแหละแต่ป้าไม่รู้จักหรอกเครื่องดนตรีที่เขาเล่นน่ะ นอกจากดนตรีก็ยังมีกีฬา พอโตมาก็เป็นนักธุรกิจที่เก่งอีกเรียกว่าเก่งรอบด้านก็ว่าได้” ป้าณีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมความสามารถของเจ้านายหนุ่มที่เลี้ยงดูมาแต่เล็ก ชาร์วีถือว่าเป็นผู้ชายที่เก่งรอบด้านมาตั้งแต่เด็กเพราะถูกถ่ายทอดมาจากคนเป็นพ่อและตอนนี้ความสามารถที่มีก็ทำให้ชาร์วีขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงที่สุดทุกด้านในสิ่งที่เขามี
พลอยใสที่มีความชื่นชมในตัวเจ้าของบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเมื่อได้ยินในสิ่งที่ป้าณีบอกก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมขึ้นไปอีก จนเผลอคิดไม่ได้ว่าถ้าถึงตอนที่เธอเรียนจบหากเธอมีโอกาสไปช่วยงานแบ่งเบาภาระของเขาบ้างก็คงจะดี แต่พลอยใสก็ต้องรีบสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวเพราะเพียงแค่คิดเธอก็รู้สึกผิดแล้ว ชาร์วีคือผู้มีพระคุณที่เธอไม่ควรเทียบตัวเสมอท่านแม้แต่คิดก็ไม่ควร
“เย็นนี้มีอะไรทานบ้างครับ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังมาแต่ไกล พร้อมชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมไปทั้งหน้าตาและความสามารถไม่แพ้เจ้าของบ้านเดินเข้ามาในครัว
“เมนูโปรดคุณธารานั่นแหละค่ะ แล้วนายล่ะคะไม่ลงมาพร้อมกัน” ป้าณีหันไปตอบเจ้าของคำถามที่ตอนนี้เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ หม้อต้มที่กำลังตุ๋นกระดูกอ่อนซี่โครงหมูในน้ำซุปรสจัดจ้านที่ธาราชอบทาน
“แล้วเมนูไอ้เจ้าของบ้านล่ะครับ เดี๋ยวมันก็โวยวายอีกว่าป้าณีเอาใจผมคนเดียว” ธาราใช้คำพูดที่ชินปากเหมือนทุกวันโดยลืมไปว่ายังมีเด็กสาวยืนอยู่ในครัวไม่ใช่มีเพียงแค่เขาและแม่บ้านแค่สองคน
“คุณธารา”
“พลอยขอนำอาหารไปจัดขึ้นโต๊ะเลยนะคะ” เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรอยู่ฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง พลอยใสจึงเลี่ยงออกมาด้านนอกเพื่อไม่ให้บรรยากาศข้างในอึดอัดรวมทั้งตัวเธอด้วย