เซี่ยซูเหยารีบเตรียมของเมื่อพ่อของนางอนุญาตและจะพาเข้าป่าไปจับปลาอีกครั้ง เซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนรับจ้างชาวบ้านทำงานวันละสิบอีแปะ ทำทั้งหมดห้าวันจึงได้เงินมาหนึ่งร้อยอีแปะ ซึ่งเซี่ยซูเหยาปวดใจไม่น้อย เงินที่ได้รับน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงงานที่ได้ทำไป
ข้าวสาร 1 จิน เกือบสามร้อยอีแปะ ทั้งสองต้องทำงานมากกว่าครึ่งเดือนเพื่อซื้อข้าวสารให้นางกิน แล้วคนอื่นในบ้านกินเพียงน้ำข้าวต้มที่เหลืออยู่เท่านั้น หากนางไม่ใช่ผู้ตักข้าวเอง
เซี่ยซูเหยาไม่เข้าใจพ่อของนางเลย ทุกวันหากเข้าป่าล่าสัตว์ไปขายและเหลือไว้กินในบ้าน อย่างน้อยวันหนึ่งก็ได้เงินไม่ตำกว่าห้าสิบอีแปะ ทั้งยังใช้เวลาไม่นานและพักเหนื่อยได้ตลอด
รับจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านไม่เพียงแต่ต้องใช้แรง ยังได้รับเงินที่สมควรจะได้รับน้อยมาก สู้เข้าป่าหาอาหารมากินดีกว่าได้เงินเพียงน้อยแล้วอดกิน
แต่นางก็ไม่ได้ถามอันใดต่อ เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้นค่อยถาม เซี่ยซูเหยารอให้เซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนหยุดพักหนึ่งวันหลังออกไปรับจ้าง และวันต่อมานางถึงอ้อนท่านพ่อเพื่อขอให้พาเข้าป่าอีกครั้ง ซึ่งท่านก็ตกลง
“วันนี้พี่คงไม่ได้ไปด้วย อาเหยาระวังตัวดี ๆ นะ!” เซี่ยซูเจี๋ยกำชับน้องสาว
“อาเหยารับทราบ”
เซี่ยซูเจี๋ยต้องซักผ้าของนางและคนในบ้านทั้งหมดเพราะนางเห็นว่าพ่อของนางกับน้องชายเหนื่อยจากการทำงาน ส่วนน้องสาวนั้นถูกยึดเสื้อตั้งแต่ถอดวางแล้ว
ไหนจะต้องเก็บผักในแปลงมาเตรียมเอาไปขายอีก เซี่ยซูเจี๋ยจึงตัดสินใจอยู่รอที่บ้าน
“อาเจี๋ยเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พ่อกับซูเหยียนจะดูแลน้องสาวของเจ้าอย่างดี บางทีอาเหยาจะเป็นตัวนำโชคของบ้านเราก็ได้ ฮ่า ฮ่า”
หลังจากที่พาลูกสาวเข้าป่าและวันต่อมาต้องออกไปรับจ้าง เซี่ยห้าวไห่จะใช้เวลายามกลับบ้านเข้าไปดูกับดักสัตว์ที่วางเอาไว้ ไม่ก็จะเข้าไปจับปลา แต่เขากลับไม่เห็น วันนี้เมื่อลูกสาวมาขอเขาจึงอนุญาตให้ไปด้วย
“ข้าขอให้ได้ปลากลับมาเยอะ ๆ เจ้าค่ะ” เซี่ยซูเจี๋ยยิ้มอ่อน
หลายวันก่อนที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่มาที่บ้าน ตกเย็นพ่อของนางจึงนำปลาที่เหลืออยู่ในห้องครัวไปให้กับสกุลเซี่ยสายรอง และให้เหตุผลว่าเป็นการกตัญญูต่อผู้อาวุโส ยังไงปู่รองกับย่ารองสกุลเซี่ยยังมีชีวิตอยูา ต่อให้พวกนางเป็นสายหลักแต่ก็ทำอันใดข้ามหน้าข้ามตาไม่ได้
“แน่นอน! อาเจี๋ยจะได้กินปลาทอด!”
เซี่ยห้าวไห่พาลูกชายเข้าไปตามเวลาเดิมของทุกวัน ก่อนจะกลับมาถึงบ้านยามเฉิน จากนั้นจึงลงมือกินข้าวและพักเล็กน้อย ก่อนเซี่ยห้าวไห่จะพาเซี่ยซูเหยียนกับเซี่ยซูเหยาเข้าไปจับปลาอีกรอบ และครั้งนี้น่าจะได้กุ้งติดมือกลับมาด้วย เซี่ยซูเหยียยชอบมันมาก
ลูกสาวคนโตมีของโปรดเป็นอาหารที่ทำมาจากปลา ไม่ว่าจะเป็นทอด นึ่ง หรือต้ม ก็เป็นของโปรดของนาง ลูกชายคนรองที่กินอะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก ดูท่าจะติดใจฝีมือของน้องสาวคนเล็กอย่างเซี่ยซูหยา วันนี้เลยขอเซี่ยห้าวไห่จับกุ้งกลับมาด้วย ส่วนลูกสาวคนเล็กอย่างเซี่ยซูเหยาชอบที่สุดนั่นก็คือไก่ตุ๋น ที่ยามนี้น่าจะเปลี่ยนมาเป็นไก่ย่างสมุนไพร เพราะอย่างน้อยในห้าวันก็จะมีไก่ย่างสมุนไพรไปแล้วสี่วัน
“ท่านพ่อ อาเหยาขอเดินดูรอบ ๆ ได้หรือไม่” เซี่ยซูเหยาเอ่ยถามพ่อของนางที่กำลังขุดหลุมช่วยลูกชาย
นี้เป็นหลุมดักปลาที่เคยทำเหมือนรอบก่อน และเซี่ยซูเหยาก็ต้องการจะไปขุดไส้เดือนมาด้วยจึงเอ่ยขอ
“ได้สิ แต่อย่าไปไกล แล้วก็ระวังตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าเซี่ยห้าวไห่คิดไปเองหรือเปล่าที่ลูกสาวของเขาแข็งแรงขึ้น เซี่ยห้าวไห่นอนคิดอยู่หลายวันว่ายังไงลูกสาวก็ต้องขอติดตามเข้าป่ามาอีกครั้ง จึงยอมอย่างง่ายดาย
เซี่ยซูเหยาหยิบตะกร้าเล็กเท่าชามที่ให้เซี่ยห้าวไผ่สานให้ก่อนจะมายังป่าแห่งนี้ นางต้องการทำมาเพื่อใส่ไส้เดือนโดยเฉพาะ จะให้สะพายตะกร้าเล็กที่ใหญ่เกินตัวไปก็ลำบากเปล่า ๆ
บริเวณเดิมยังมีหลุมดินถูกขุดอยู่เซี่ยซูเหยาลืมไปสนิทเลยว่าควรที่จะไปขุดบริเวณใหม่ จะได้ไม่เป็นที่สังเกตของชาวบ้านที่จะมาล่าสัตว์หรือพักอยู่บริเวรนี้
เซี่ยซูเหยาเดินห่างจากจุดเดิมที่เคยขุดประมาณ 3 จั้ง ก่อนจะรีบลงมือขุดเพราะก่อนนางจะแยกตัวมาหลุมดักปลาก็ใกล้เสร็จแล้ว หากนางช้าพ่อของนางจะมาเห็นเสียก่อน อันที่จริงมันก็ไม่เป็นความลับ แต่เซี่ยซูเหยาคิดว่ายังไม่ถึงเวลา
ตัวนางป่วยมาตั้งแต่เด็กจึงเก็บตัวอยู่ภายในห้อง ความรู้ก็ไม่มีเพราะพ่อของนางเอาเงินไปซื้อสมุนไพรมาให้ แม้แต่หนังสือคัดลอกเล่มเดียวก็ไม่มีเงินซื้อ และแน่นอนว่าแค่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็เป็นไปได้ยาก นางจะบอกว่าเอาวิธีนี้มาจากไหนก่อน
รอบนี้เซี่ยซูเหยาขุดไส้เดือนไปมากกว่ายี่สิบตัว ครึ่งหนึ่งนางจะโปรยลงในหลุมดักปลา ส่วนอีกครึ่งจะโปรยเหมือนกันแต่จะโปรยทีหลัง พอได้เหยื่อครบเซี่ยซูเหยาก็กลับไปยังจุดนั่งพักของนาง นางรอให้เซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนไปจับกุ้งก่อน ถึงจะนำไปโปรยลงหลุม
เซี่ยซูเหยาอยากกินปลาย่างเกลือว่าจะทำแต่ก็ได้รู้ว่าพ่อของนางนำไปให้ญาติสกุลเซี่ยหมดแล้ว นางโกรธมากแต่คำพูดของพี่สาวมันทำให้นางคิดได้ ต่อให้แยกบ้านหรือแยกสายสกุลเซี่ย แต่บรรพบุรุษยังเป็นบรรพบุรุษเดียวกัน ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างนับถือบรรพบุรุษมาก และการที่จะต่อว่าหรือท้าทายผู้อาวุโสเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
เซี่ยห้าวไห่ได้ยินลูกสาวบอกว่าง้างมีดเพื่อป้องกันตัวเองจากการโดยตบ จึงนำปลาที่เหลือไปให้เพื่อให้นางซือหลิงไม่เอาความ อย่างน้อยก็น่าจะสงบไปได้หลายวัน
โบร๋ววววว
เซี่ยซูเหยาตัวแข็งทื่อ นางออกมาปลดทุกข์ไกลจากที่นั่งพักพอสมควร ก่อนจะกลับเลยแวะมาล้างมือที่แม่น้ำ แต่แล้วกลับได้ยินเสียงของคำราม ในความทรงจำที่มีในหมู่บ้านไม่มีใครเลี้ยงสุนัข แล้วเสียงคำรามมากจากไหน
นอกจากเสียว่าจะเป็นหมาป่าที่พ่อของนางสั่งห้ามเข้าใกล้ เพระาหมาป่ามันดุร้ายมาก แต่นางเป็นคนรักสัตว์จึงลังเล และรีบวิ่งหาเสียงที่ดังขึ้น นางได้ยินเสียงร้องของลูกสุนัข
เอ๋ง
เซี่ยซูเหยาเดินหาไม่นานก็เจอกลับต้นเสียง นางเห็นหมาป่าเพศเมียขนดำแซมขาวเดินวนเวียนอยู่บนโขดหิน พลางร้องคำรามอย่างกระวนกระวาย
ก่อนสายตาจะมองไปยังจุดที่หมาป่ามอง นางเห็นลูกหมาป่าเกาะโขดหินบริเวณน้ำไหลอยู่สามตัว! สองตัวใหญ่มีขนสีดำทั้งตัว แต่ตัวเล็กมีขนสีขาว
กรรซ์!
เซี่ยซูเหยาเดินถอยหลังเมื่อแม่หมาป่ามองเห็นนาง ดูเหมือนจะหวงลูกน้อยที่รอคอยความช่วยเหลือ ในใจก็อยากวิ่งหนี แต่นางก็อยากช่วยเด็ก ๆ
“ข้า…ข้าจะช่วยลูกของเจ้า”
เซี่ยซูเหยาพูดต่อรองกับหมาป่าตัวใหญ่ที่พร้อมขย้ำนางทั้งตัว นางเชื่อว่าด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ แม่หมาป่าจะยอมให้นางเข้าใกล้เด็ก ๆ
มองดูแล้วที่แม่หมาป่าไปช่วยลูกไม่ได้คงเป็นเพราะบนขามีรอยบาดแผล และลูกหมาป่าอยู่ในจุดที่ลงไปไม่ได้ เซี่ยซูเหยาเห็นว่าน้ำไม่ได้ลึกมากจึงหันไปขอบคุณแม่หมาป่าที่ยอมหลีกทางให้
“ขอบคุณ”
ก้าวแรกที่ก้าวลงน้ำ น้ำก็ถึงอกนางแล้ว แต่ก็ถอยไม่ได้ เพียงแค่ต้านน้ำไปได้ไม่ถึง 2 จั้ง นางก็ถึงตัวลูกหมาป่า น่าจะคลอดได้ไม่นานเพราะยังตัวเล็กกันอยู่
เซี่ยซูเหยาตัดสินใจจับเจ้าตัวที่เล็กสุดยัดใส่อกนาง ก่อนจะโอบลูกหมาป่าขนดำทั้งสองตัวขึ้นไปบนริมน้ำที่เย็นมาก
เซี่ยซูเหยารีบปล่อยลูกหมาป่าออกจากอ้อมแขนแล้วรีบคลานออกมาเมื่อแม่หมาป่าวิ่งมาหาลูก ต่อให้ไม่มีท่าทีจะทำร้ายนางแต่ก็น่ากลัวอยู่ดี
บรู๋ววววว
แม่หมาป่าคำรามก่อนจะหมอบลงพื้นมาหานาง เหมือนเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกของมันเอาไว้ เซี่ยซูเหยายิ้มทั้งน้ำตา
ก่อนที่จะชะงักเมื่อแม่หมาป่าคาบลูกหมาป่าขนสีขาวมาวางไว้ข้างหน้าของนาง แล้วรีบวิ่งไปหาลูกหมาป่าขนสีดำพลางพากันวิ่งหายไป
แม่หมาป่ายกลูกให้นางงั้นหรือ? ไม่เสียเวลาคิดมาก เซี่ยซูเหยารีบอุ้มลูกหมาป่าก่อนจะรีบกลับไปที่พักของนาง
ลับหลังเซี่ยซูเหยาแม่หมาป่าที่นางคิดว่าเข้าป่าไปแล้วเดินออกมาจากพุ่มไม้กับลูกหมาป่าอีกสองตัว ก่อนทั้งสามจะหมอบตัวลงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เซี่ยซูเหยาคิดว่าแค่ช่วยชีวิตลูกหมาป่านางจึงอุ้มลูกหมาป่ากลับมาอย่างสบายใจ แต่นางลืมไปว่าพ่อของนางกับพี่ชายคนรองรออยู่
“อาเหยา!”
เซี่ยห้าวไห่ร้องออกมาด้วยความร้อนใจ เมื่อสักครู่เขาได้ยินเสียงร้องของหมาป่าที่น่าจะตัวใหญ่ จึงพาลูกชายขึ้นมาจากน้ำ และให้ลูกชายขึ้นไปรอบนต้นไม้ ส่วนเขารีบเก็บของหากลูกสาวยังไม่กลับมา เขาจะรีบออกตามหา ซึ่งเซี่ยห้าวไห่ก็เห็นลูกสาวกลับมาด้วยร่างกายที่เปียกโชค
“ท่านพ่อ”
เซี่ยซูเหยาชะงัก นางลืมไปได้อย่างไรกันว่าเสียงของหมาป่าพ่อของนางก็ต้องได้ยิน แต่ในเมื่อมาขนาดนี้แล้ว
“ท่านพ่อจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” ของที่วางเรียงกันถูกเก็บใส่ตะกร้าหมดแล้ว
“ใช่”
“ลูกหมาป่า!”
เซี่ยซูเหยียนที่ปีนลงจากต้นไม้อุทานเมื่อเห็นสิ่งที่น้องสาวนำกลับมาด้วย เขาเข้าป่าตั้งแต่สิบหนาวจึงไม่แปลกที่จะรู้จัก
“อาเหยา!” เซี่ยห้าวไห่รีบสำรวจลูกสาว เพราะเห็นลูกสาวกลับมาจึงอุ่นใจและไม่ได้สังเกตถึงสิ่งที่ลูกสาวนำกลับมาด้วย
“ท่านพ่อ อาเหยาไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เมื่อครู่อาเหยาช่วยชีวิตลูกหมาป่าเอาไว้ แม่หมาป่าเลยทิ้งลูกให้อาเหยาหนึ่งตัว” เซี่ยซูเหยายิ้มกว้างพลางเอาลูกหมาป่าตัวน้อยออกมาให้ทั้งสองดู
“อาเหยาว่าอย่างไรนะ? หมาป่า เป็นไปได้อย่างไร หมาป่าอยู่ในป่าลึก” เซี่ยห้าวไห่เป็นกังวล
“อาเหยาไม่ได้เข้าป่าลึกนะเจ้าคะ!”
“รีบกลับบ้านกันเถอะ ค่อยคุย”
เซี่ยห้าวไห่กลัวว่าจะมีหมาป่าหรือสัตว์ตัวใหญ่ออกมาอีก รีบพาลูกทั้งสองออกจากป่าทันที และตะกร้ายังเต็มไปด้วยปลาและกุ้ง
เช้าวันนี้ในเมืองหลวงแคว้นหนานมีการถกเถียงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนของคนสกุลเจิ้ง ว่ากันว่าวันนั้นภรรยาทั้งสามคนของอดีตเสนาบดีเจิ้งที่ล่วงลับไปแล้วคลอดบุตรพร้อมกันหนึ่งฮูหยินใหญ่ภรรยาเอกของเสนาบดีเจิ้งคลอดบุตรชายออกมาเป็นคนที่สอง บุตรชายของนางจึงกลายเป็นคุณชายรองไปโดยปริยาย หากไม่เกิดเรื่องถูกไล่ออกจากสกุลครานั้นคงได้ขึ้นเป็นเสนาบดีเจิ้งคนปัจจุบัน แทนพี่ชายที่เป็นบุตรอนุสองฮูหยินรองที่คลอดบุตรสาวคนเล็กพร้อมเสียชีวิตลงระหว่างคลอดบุตรสาวออกมา จากการสอบถามหมอที่ทำคลอด หมอผู้นั้นกล่าวว่าฮูหยินรองเสียเลือดมาก อีกทั้งเด็กขาดอากาศหายใจจึงไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้สามคืออนุสามที่คลอดบุตรชายคนโตของสกุลเจิ้งก่อนฮูหยินทั้งสอง กล่าวได้ง่ายๆ ก็คือคุณชายใหญ่เจิ้ง หรือประมุขสกุลเจิ้งคนปัจจุบันนั่นเองทว่าเรื่องที่ถกเถียงในวันนี้ก็คือบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งนั้นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินรอง! ส่วนบุตรแท้ๆ ของนางนั้นเป็นบุตรสาวที่คลอดออกมาแล้วเสียชีวิต หมอทำคลอดกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งในยามนั้นเสียเลือดมากและไม่มีโอกาสที่จะมีบุตรได้อีก จึงทำการสลับเปลี่ยนตัวเด็กทั้งยังสังหารฮูหยินรองทิ้ง ซึ่งเรื่องนี
ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่กำลังช่วยสหายสะสางฎีกาต้องรีบกลับตำหนักบูรพาทันทีเมื่อได้ยินว่าน้องสาวมีใบหน้าเศร้าหมองมาจากจวนสกุลเจิ้ง พอๆ กับผู้เป็นสามีอย่างรองแม่ทัพเจิ้งที่ตามพี่ภรรยาไปด้วยตำหนักบูรพาเดิมทีเป็นตำหนักขององค์รัชทายาทที่จะได้รับตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัดไป ทว่าฮ่องเต้หมิงหลงอันกลับไม่ยอมให้องค์รัชทายาทเข้าไปอยู่และสร้างตำหนักใหม่ให้แทน ในระหว่างนี้องค์รัชทายาทก็ต้องอยู่ในตำหนักเดิมของพระองค์ไปก่อนส่วนตำหนักบูรพาถูกยกให้เป็นจวนสกุลเซี่ยที่มีรองแม่ทัพเซี่ยเป็นประมุขสกุล ซึ่งองค์รัชทายาทไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เพราะหากเขายอมรับตำหนักใหม่ยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการตำหนักแบบใด และเรื่องนี้เหล่าขุนนางก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน อาจเป็นเพราะแต่ละคนล้วนเป็นขุนนางที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้หมิงหลงอันเพียงผู้เดียวก็ได้ยิ่งยามนี้จวนสกุลเซี่ยเพิ่งถูกองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่สั่งทุบไป และจะสร้างเป็นสวนดอกไม้เพื่อรำลึกถึงคนที่เสียชีวิตแทน ทำให้สามพี่น้องไม่ได้ย้ายไปพักที่นี่ อีกอย่างความทรงจำต่างๆ คงไม่ดีสำหรับผู้รอดชีวิตในวันนั้นรองแม่ทัพเจิ้งกระโดดลงจากรถม้าด้วยความเร่งรีบ เมื่อสอบถามนางกำนั
เสียงการเคลื่อนไหวที่ข้างนอกห้องนอนทำให้เซี่ยซูเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้นบนที่นอน ตั้งแต่แต่งงานมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ วันนี้นางตื่นสายมากๆ ได้ยินว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งกลับมาจากเยี่ยมบุตรชายที่นอกเมืองหลวง นางผู้เป็นหลานสะใภ้จึงต้องไปยกน้ำชาเพื่อแสดงความเคารพสักหน่อย“องค์หญิง”“ยามใดแล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามคนสนิทที่เข้ามาช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้น ทั้งยังยกอ่างล้างหน้ามาให้ผู้เป็นฮูหยินน้อยสกุลเจิ้งหมาดๆ นางพยักหน้า“ยามซื่อแล้วเพคะ ท่านเขยกล่าวว่าไม่ต้องปลุกท่าน บ่าวจึงรอให้ท่านตื่นเอง”“ยามซื่อ!”สามวันมานี้เหลาอาหารอิ้งเยว่เกิดเรื่องขึ้น นางจึงต้องจัดการปัญหาต่างๆ จะให้สามีจัดการให้ก็ไม่ได้ เขาไม่รู้เรื่องในเหลาอาหารทั้งยังมีเพียงนางที่แก้ปัญหาได้ จึงต้องนอนดึกและตื่นเช้ามาตลอดสามวัน เพียงทว่าเมื่อคืนนางคงจะเหนื่อยจริงๆ จึงหลับลึกมากชนิดที่ว่าคนข้างกายลุกไปก็ยังไม่รู้สึกตัว“เพคะ”“เขาล่ะ” นางหมายถึงสามีของนางที่ไม่เห็นหน้าเมื่อตื่นนอน“ท่านเขยออกไปพบองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินว่าพระองค์ป่วยหนักหลังจากถูกฝ่าบาททิ้งงานไว้ให้หลายวัน” หลิวซิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างขบขัน เมื่อองค์รัชทายาทถูกบิดาและบรรด
วันที่สิบเจ็ด เดือนสอง รัชศกหมิงปีที่ยี่สิบเอ็ด แคว้นหนานมีงานมงคลครั้งใหญ่โดยมีฮ่องเต้หมิงหลงอันเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง หรือก็คือองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ ที่สมรสกับรองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน คุณชายรองเจิ้งแห่งสกุลเจิ้งแม้จะมีเสียงกล่าวว่าไม่เหมาะสมบ้าง แต่ใครจะสนกันล่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวไม่ปราถนาที่จะแต่งงานเร็วๆ นี้ ทั้งได้ยินว่านางจะออกบวชชีที่อารามนอกเมือง หากรอพี่สาวแต่งงาน องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ผู้เป็นน้องสาวก็คงไม่ได้แต่งงานแล้วชีวิตนี้ฮ่องเต้หมิงหลงอันมีราชโองการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่แต่งให้รองแม่ทัพเจิ้งรั่วซาน โดยที่ไม่ต้องลดบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์หญิงอันดับหนึ่ง ยังเป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วเช่นเดิม ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเป็นคนโปรดเพียงใด ขนาดองค์หญิงรอง องค์หญิงสี่ที่แต่งไปกับเชื้อพระวงศ์แคว้นอื่นยังต้องลดบรรดาศักดิ์ลงเลยเสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้นที่หน้าห้องแต่งตัวของผู้เป็นเจ้าสาว ทำให้เซี่ยซูเหยาที่แต่งตัวอยู่อดที่จะมองดูไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าคนสนิทของนางเดินทางมาถึงแล้ว“องค์หญิง”“ฟางไฉ่!”ฟางไฉ
เสียงหัวเราะท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบสร้างความสุขให้แก่นางกำนัลและองครักษ์ในตำหนักบูรพาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งอากาศยังเย็นสบาย“ได้ยินมาว่าพี่หญิงถูกชินอ๋องแคว้นหลิงตามเกี้ยวหรือขอรับ” ซื่อจื่อหมิงซูเหยียนที่นั่งตรงข้ามกล่าวถามองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ชะงักมือที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย หวนนึกถึงคนผู้หนึ่งที่ตามเกี้ยวมาตลอดห้าปีอย่างขบขัน“อืม”“พี่หญิงยังไม่ใจอ่อนให้เขาอีกหรือเจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาผู้นั่งข้างๆ พี่สาวเอ่ยถามบ้าง“ใจอ่อนอันใด นางมาปรึกษาข้าว่าอยากบวชชีอยู่เลย”แค่กๆหลายคนถึงกับน้ำพุ่งออกจากปากเมื่อได้ยินคุณหนูเจ็ดเย่กล่าว ทั้งยังหันมององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ที่นั่งจิบน้ำชาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเป็นตาเดียว“ฮ่าๆ เหตุใดสีหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” นางเพียงอยากบวชชีก็เท่านั้นเองเซี่ยซูเหยามองพี่สาวอย่างอึ้งๆ หลายปีที่ผ่านมาชินอ๋องผู้นั้นยังพิชิตใจพี่หญิงของนางไม่ได้อีกหรือ นางคิดว่าเขาจะตามเกี้ยวพี่สาวจนยอมตกลงแล้วเสียอีก“แล้วชินอ๋องแคว้นหลิงเล่า”“ชินอ๋องผู้นนั้นหรือ พี่ไล่เขากลับแคว้นหลิงแล้ว เชื้อพระวงศ์สองแคว้นควรเกี่ยวดอง
ต้นไม้สั่นไหวไปตามสายลมที่พัดมาเอื่อย ๆ บนเนินเขาเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงมาก ทั้งยังเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ทั่วทั้งเนินเขาไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ เพราะเป็นพื้นที่ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวซือจ่างกงจู่ที่ได้รับพระราชทานมาในยามที่ได้รับตำแหน่งองค์หญิงเจิ้นกั๋วม้าสองตัวถูกบังคับตามกันขึ้นไปยังเนินเขาที่มีเหล่าองครักษ์รออยู่ตีนเขา เสียงหัวเราะของสองพี่น้องช่างทำให้ฟางไฉ่และผู้ที่ติดตามมาตั้งแต่เมืองเฟิงยิ้มกว้าง หลายปีที่ผ่านมาองค์หญิงของพวกเขาร่าเริงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนก็จริงทว่าโดดเดี่ยวนักเมื่ออยู่เพียงลำพังเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เคยเรียกว่าคุณชาย คุณหนู ยามนี้กลายเป็นองค์หญิงและซื่อจื่อกันหมดแล้ว ยิ่งแต่ละคนเติบโตการมีบรรดาศักดิ์ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วหมิงเมี่ยวลี่จ่างกงจู่ผู้เป็นพี่สาวคนโต ยามนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือนั่นก็คือการเป็นศิษย์ของหมอเทวดาหญิง ทั้งยังมีชื่อเรียกว่าองค์หญิงเทพธิดาจากการช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน กลับมาหาน้องสาวเพียงปีละครั้งเท่านั้นซื่อจื่อหมิงซูเหยียนพี่ชายคนรองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องและยามนี้เ