เข้าสู่ระบบ“พี่ต้องการเลิกกับเอิร์น พี่ไม่อยากใช้ชีวิตแบบครอบครัวกับเอิร์นอีกแล้ว”
“พี่โอบ อะ เอิร์นไม่เข้าใจ”
“เอิร์นเป็นคนฉลาดนะ กับเรื่องแค่นี้ไม่น่าเข้าใจยาก” เขาไม่ได้จะว่าอะไรเธอ แต่อินทัชรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอยังทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
รู้ไหมว่ากว่าเขาจะทำใจกล้าที่จะทำร้ายความรู้สึกของเธอเขาต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหน ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่น่ารักสักนิดเขาก็คงทำเรื่องนี้ได้ง่ายกว่านี้ไปแล้ว แต่เพราะเธอเป็นคนดีไงเขาถึงได้ลำบากใจที่ต้องพูดอยู่เนี่ย แล้วพอพูดออกไปแล้วเธอก็ช่วยเข้าใจความต้องการของเขาเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม
“พี่โอบพูดว่าอยากเลิกกับเอิร์น” การที่จะต้องพูดทวนประโยคแสนโหดร้ายนั้นออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอารีรัตน์ เพราะคำว่าเลิกมันเหมือนคมมีดที่กรีดลงบนขั้วหัวใจของเธอ เคยได้ยินที่เขาพูด ๆ กัน คำว่าเลิก พูดเบา ๆ ก็เจ็บ ซึ่งมันเป็นจริงอย่างที่เขาพูดเพราะตอนนี้เธอกำลังเจ็บอยู่ เจ็บจนชาไปหมด
“ใช่ แต่ถ้าเราจดทะเบียนสมรสกันพี่คงพูดว่าขอหย่า ก็ยังดีที่เราไม่ต้องไปยุ่งยากเรื่องนั้น” หนึ่งในข้อดีของการที่เขาไม่อยากจดทะเบียนสมรสกับอารีรัตน์แต่แรก ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้ และที่อินทัชไม่อยากจดทะเบียนสมรสก็เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจแต่งงานนั้นคือความคิดที่ถูกต้อง ตอนนั้นคิดแค่ว่าลองแต่งดูก็ไม่เสียหายอะไร
“เอิร์นทำอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ พี่โอบบอกเอิร์นเถอะนะคะ ถ้ามีอะไรที่ทำให้พี่โอบไม่ชอบเอิร์นจะได้ปรับปรุงตัวเอง”
“เอิร์นไม่ได้ทำอะไรผิด พี่แค่ไม่อยากอยู่แบบนี้แล้ว การใช้ชีวิตแบบครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องการเลยเอิร์น”
เห็นอารีรัตน์เริ่มมีน้ำตาคลอ หัวใจของอินทัชก็กระตุกไหวขึ้นมาทันที เธอน่าสงสารมากแต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะเขาไม่อยากฝืนอีกต่อไปแล้ว อารีรัตน์เป็นภรรยาที่ดีเธอไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่เลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละเขาไม่ได้พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ เขาไม่ได้มีความสุขกับการมีครอบครัวเลยสักนิดเดียว
“พี่อยากใช้ชีวิตอิสระและเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้ ทุกวันนี้พี่เหมือนถูกตีกรอบด้วยคำว่าครอบครัว อะไรที่พี่อยากทำพี่ก็ทำไม่ได้เพราะมีคำว่าลูกกับเมียขวางอยู่ เอิร์นเข้าใจพี่บ้างนะ ที่ผ่านมาพี่ก็ทำเพื่อเอิร์นมามากแล้วและพี่ขอโทษที่ไม่สามารถทำเพื่อเอิร์นได้อีก”
“พี่ขอชีวิตของพี่คืน” สิ่งที่อินทัชบอกเขาไม่ได้กำลังมาขอความคิดเห็นจากเธอแต่เขาต้องการแจ้งให้ทราบ
“เอิร์น เอิร์นขอออกไปเตรียมเค้กให้น้องอันก่อนนะคะ” อารีรัตน์กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ม่านน้ำตาที่เอ่อออกมา เธอเสียใจมาก และมันไม่ง่ายที่ต้องแสร้งทำเหมือนว่าเธอไม่ได้ยินเรื่องที่สามีของเธอพูดออกมา
“เดี๋ยวสิเอิร์น”
“เอิร์นรับทราบความต้องการของพี่โอบแล้วค่ะ และถือว่าช่วยเอิร์นเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ วันนี้วันเกิดลูก พี่โอบช่วยทำเป็นรักเอิร์นต่อหน้าลูกได้ไหมคะ ทำเหมือน4ปีที่ผ่านมา เอิร์นไม่อยากให้เรื่องของเราทำให้อันนาต้องเสียใจ อย่างน้อยก็ขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน”
ความต้องการของเขา เธอได้ยินชัดเจนแต่ ณ เวลานี้ วันนี้คือวันเกิดของอันนาลูกสาวของเราสองคน เขาจะเบื่อเธอมากแค่ไหนแต่เขาต้องไม่ลืมว่าวันนี้คือวันที่ลูกของเรามีความสุข เขาทำลายความสุขของเธอได้แต่อารีรัตน์จะไม่ยอมให้อินทัชทำลายความสุขของลูก
เพราะฉะนั้น เธอจะต้องเดินกลับออกไปให้เหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน ขอให้เธอได้มีเวลาทำใจสักนิดแล้วเธอจะพร้อมคุยกับเรื่องนี้กับเขาอีกครั้ง
“ปะป๊ากับคุณแม่มาแล้ว ว้าวเค้กของน้องอัน”
อันนากระโดดโลดเต้นออกมาด้วยความดีใจเมื่อเธอเห็นเค้กวันเกิดปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เค้กก้อนนี้เป็นเค้กสองชั้นตกแต่งไปด้วยเจ้าหญิงที่เธอชอบเต็มไปหมดเลย เป็นเค้กที่วิเศษสำหรับเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนนี้มากและความดีใจที่ยิ้มจนแก้มแทบแตกของอันนาก็ทำให้คนเป็นพ่อและแม่ต้องฉีกยิ้มตามลูกสาวไปด้วย
“อธิษฐานก่อนเป่านะคะน้องอัน”
อารีรัตน์นั่งลงบนเข่าข้าง ๆ ลูกสาว มือข้างหนึ่งก็ช่วยรวบผมของอันนาไว้เพื่อกันไม่ให้ปอยผมของลูกไปโดนเทียนบนเค้ก
ส่วนอินทัชที่ทำหน้าที่ถือเค้กเข้ามาให้ลูกเขาเองก็นั่งลงเพื่อให้ความสูงอยู่ในระดับที่ลูกสาวตัวน้อยของเขาจะสามารถเป่าเทียนวันเกิดได้สะดวกสบาย
ฟู่ ฟู่ อันนาทำแก้มป่อง ๆ สูดลมเข้าปากแล้วเป่าลมออกแรง ๆ ไปที่เทียน ด้วยความที่เธอยังเด็กมากทำให้มีแรงไม่เยอะเท่าไหร่แต่น้องอันนาก็สู้ เธอไม่ยอมให้ปะป๊ากับคุณแม่ช่วย และความต้องการเอาชนะการเป่าเทียนวันเกิดด้วยตัวเองนี้ได้เรียกเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ทุกคนที่พากันยืนลุ้น ว่าหนูน้อยอันนาจะเป่าเทียนทั้งหมดดับได้สำเร็จหรือไม่
“สุขสันต์วันเกิดนะคะลูกสาวของแม่”
“ปะป๊ากับคุณแม่ขอให้น้องอันมีความสุขมาก ๆ และเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่น่ารักและสดใสแบบนี้ตลอดไปเลยนะครับลูก ขอให้น้องอันไม่เจ็บไม่ป่วยนะครับและพบเจอแต่เรื่องที่มีความสุขนะครับ คนเก่งของป๊า”
เป็นคำอวยพรที่ส่งมาพร้อมกล่องของขวัญจากคุณแม่ของเธอ ของขวัญที่อารีรัตน์และอินทัชตั้งใจเลือกมาให้ลูกสาวสุดที่รักและกล่องของขวัญนี้ทำให้ลูกสาวยิ้มตาหยี รีบยื่นมือออกมารับด้วยความดีใจ
“คุณแม่กับปะป๊า รักน้องอันมากที่สุดเลยนะคะ” ความสุขของลูกสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม แค่ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของลูกก็เหมือนเป็นสายน้ำชโลมหัวใจให้อารีรัตน์ยิ้มอย่างเป็นสุขออกมาได้แม้หัวใจของเธอนั้นจะเริ่มแตกร้าวเป็นเสี่ยง ๆ
“น้องอันรักคุณแม่กับปะป๊ามากที่สุดในโลกเลยค่ะ น้องอันอธิษฐานให้น้องอันมีคุณแม่กับปะป๊าอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปเลย” ไม่มีความรักไหนจะบริสุทธิ์ได้เท่าความรักของลูกอีกแล้ว อันนาโผตัวเขาไปกอดทั้งปะป๊าและคุณแม่ของเธอโดยที่อินทิชและอารีรัตน์ต่างพร้อมใจกันกอดลูกน้อยเอาไว้
ภาพที่คนอื่นเห็นคือภาพของพ่อแม่และลูกกอดกันกลม เป็นภาพที่น่ารักและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นรักใคร่ของครอบครัวนี้ เป็นภาพที่ไม่ว่าจะครอบครัวไหนก็อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ใครจะไปรู้ ว่าภาพที่ดูอบอุ่นนี้กำลังซ่อนความเจ็บปวดของคนที่ทำหน้าที่เป็นคุณแม่เอาไว้ ภาพที่ทุกคนเห็นว่าเรารักกัน ภาพนี้จะเป็นภาพสุดท้ายที่จะมีเราสามคน ภาพที่อารีรัตน์จะเรียกว่าครอบครัว
อารีรัตน์และอินทัชพร้อมใจกันหอมแก้มนุ่ม ๆ ของลูกคนละข้าง ทว่า สายตาของทั้งสองนั้นกำลังมองสบลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน สายตาของเขาที่ตอนนี้ยังพอหลงเหลือคำว่ารักให้เธอได้เห็นบ้างแม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นเพียงการแสดงออกมาเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเขารักเธอ
เธอจะซึมซับสายตาแบบนี้และอ้อมกอดที่ยังมีกอดของสามีที่เธอรักเอาไว้ในหัวใจ เธอจะเก็บไออุ่นนี้เอาไว้ก่อนที่มันจะกลายเป็นไออุ่นสุดท้ายที่เธอได้รับจากคนที่เธอเรียกเขาว่า สามี
“เออเอิร์น เรื่องโรงเรียนมินถามผอ.ของโรงเรียนแล้วนะ เขาบอกว่ายังเปิดรับนักเรียนอยู่ พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้เอิร์นพาอันนาไปสมัครเรียนได้เลยนะจ๊ะ” มินตราพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมส่งเบอร์โทรศัพท์ของโรงเรียนอนุบาลให้อารีรัตน์ ‘โรงเรียนอนุบาลเติมฝัน...ผอ.ปณิธาน’“ดีจัง เอิร์นขอบใจมินมากเลยนะที่เป็นธุระเรื่องนี้ให้ อันนาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่จะได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับตังเม”คนเป็นแม่ที่มีลูกเกิดใกล้ ๆ กันก็พากันตื่นเต้นที่จะต้องหาโรงเรียนให้ลูกสาว ทางด้านอารีรัตน์จะตื่นเต้นและค่อนข้างเครียดเรื่องโรงเรียนมากหน่อยเพราะเดิมทีวางแผนไว้จะให้อันนาเรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านนั่นคือความคิดก่อนหน้าที่อินทัชจะขอเลิกกับเธอ ตอนนี้แผนทุกอย่างต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดและยอมรับเลยว่าเรื่องหาที่เรียนให้ลูกทำเอาอารีรัตน์นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน และเธอยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มีเพื่อนดีหากไม่ได้มินตราเป็นธุระเรื่องโรงเรียนให้อารีรัตน์ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาโรงเรียนที่เชื่อถือได้จากที่ไหน“โรงเรียนอนุบาลเติมฝันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มินคิดว่าที่ดีสุดในย่านนี้แล้ว เรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของบุคลากรในโรง
“แล้วดีพอในความหมายของมึงคือแบบไหนวะ แบบไหนที่เรียกว่าดี”“แบบกูไง” ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วก็ยกแก้วเหล้าที่บีบเกือบร้าวขึ้นมาดื่มต่อ“เหรอ ฮ่า ๆ โทษทีนะที่กูขำ” ชัชชัยอดขำพรวดออกมาไม่ได้ จะพูดว่าไงดีละ เขาคิดว่าเพื่อนของเขากำลังเยินยอตัวเองมากเกินไปหน่อย“ขำอะไรของมึงวะ นี่กูพูดจริง ๆ นะ ไม่มีใครดีสำหรับเอิร์นได้เท่ากูอีกแล้ว” ตั้งแต่เด็กก็ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนที่ดูจะเป็นคนดีในสายตาของอินทัช เพราะเหตุนี้ไงเขาถึงยอมเสียสละตัวเองมาแต่งงานกับอารีรัตน์“ถ้ามึงดีนักแล้วขอเลิกกับเขาทำไมวะ”“เอ้า ก็กูไม่ได้รักเอิร์นไงมึง คนขอเลิกมันก็จะมีกี่เหตุผลกันวะ แล้วกูก็บอกเอิร์นดี ๆ กูไม่ได้นอกใจหรือทำเรื่องเลว ๆ แล้วถึงมาขอเลิกเว้ย”“เออครับ มึงมันคนดี ประเสริฐจนยากจะหาชายใดมาเทียบได้ แล้วมึงได้ถามเขาไหม”“ถามอะไรวะ”“มึงเคลมว่าตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับน้องเอิร์น แล้วมึงได้ถามเขาไหมว่าในสายตาของเอิร์นมึงดีขนาดนั้นหรือเปล่า กูว่านะตอนนี้น้องเอิร์นคงมองว่ามึงเหี้ย...”“เฮ้ย ไอ้ชัช มึงหลอกด่ากูเหรอ”ไอ้เพื่อนเวร คนกำลังเคลิ้มและหลงใหลไปกับความดีในความคิดของตัวเองอยู่ แต่ไอ้นี่มันมาพูดซะความดี
“อืม...” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอียงคอไปด้วยขณะที่กำลังใช้ความคิดทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามและหาคำตอบเพื่อตอบคุณแม่ของเธอ“ปะป๊าทำงาน งานยุ่งมาก”เป็นเรื่องที่อันนาคุ้นชินมาตั้งแต่เธอเริ่ม ๆ จำความได้ เวลาทั้งวันเธอจะอยู่กับคุณแม่มากกว่าเพราะรู้ว่าที่ปะป๊าต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับเข้ามาตอนค่ำ ๆ ก็เพราะออกไปทำงานและถ้าวันไหนปะป๊าของอันนากลับช้ากว่าปกติคุณแม่ก็จะบอกว่าปะป๊างานยุ่งมากทำให้กลับบ้านช้า และอันนาจะได้เจอหน้าปะป๊าในเช้าวันถัดไป ปะป๊าจะคอยที่โต๊ะทานข้าวเพื่อรอป้อนมื้อเช้าให้เธอเสมอ“น้องอันไม่โกรธค่ะ เพราะปะป๊าทำงานหนักเพื่อดูแลน้องอันกับคุณแม่” คำตอบของอันนาทำให้อารีรัตน์ต้องอมยิ้มและรู้สึกเบาใจที่ลูกสาวเข้าใจว่าปะป๊าทำงานหนักก็เพื่อลูกคนนี้และดีใจมากที่อันนาจะไม่โกรธปะป๊า“วันนี้ปะป๊าก็งานยุ่งเหรอคะคุณแม่” เปลี่ยนมาเอียงคออีกข้างแล้วถามคุณแม่กลับไปบ้าง สีของท้องฟ้าทำให้อันนารู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่เธอต้องได้เจอหน้าปะป๊าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ ทำให้เด็กน้อยเข้าใจไปเองว่าที่ปะป๊ายังไม่กลับมาก็เพราะปะป๊างานยุ่ง“จ้ะ” อารีรัตน์เลือกที่จะตอบเออออไปในทางที่ลูกสาวของเธอกำลังเข
“พรุ่งนี้เอิร์นเข้าไปเริ่มงานได้เลยนะ มินบอกพนักงานในคาเฟ่ไว้แล้วว่าเอิร์นจะเข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีอะไรสงสัยหรือติดปัญหาอะไรก็ถามทุกคนในร้านได้เลย น้อง ๆ นิสัยดีทุกคนเพราะมินคัดมาเองกับมือ”มินตราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อารีรัตน์จะเข้ามาเป็นผู้จัดการคาเฟ่ให้เธอ คาเฟ่ของมินตราเป็นร้านกาแฟขนาดกลาง ไม่เล็กมากแต่ก็ไม่ใหญ่โตจนเกินไป เธอพึ่งเริ่มเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้นยังจัดว่าเป็นมือใหม่ แม้จะยังมือใหม่ก็ถือว่าเป็นร้านคาเฟ่ที่พึ่งเปิดแต่มีลูกค้าประจำหนาแน่น“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะมิน ถ้าเอิร์นไม่มีมินก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี”อารีรัตน์พูดจากใจจริงและรู้สึกขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มาก ๆ มินตราจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในเวลาที่ทุกข์ใจเสมอ อิงค์น้องของอินทัชก็ด้วยแต่ว่าตอนนี้อิงค์ทำงานอยู่ที่อเมริกาไทม์โซนต่างกันทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ แต่มินตราจะอยู่ใกล้เธอมากกว่าและอาจจะเพราะว่าเราเป็นคุณแม่เหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็มักจะเข้าใจกันได้ในทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา“ตอนนี้เอิร์นทำใจให้สบายนะไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือถ้ามีเรื่องอะไร
“เอิร์นมาช้ามากเลยใช่ไหม ขอโทษนะมิน” ทำหน้ารู้สึกผิดและก็ยอมรับผิดจริง ๆ เพราะเธอมาช้ามาก พอมาเห็นเพื่อนสาวอุ้มลูกน้อยวัยเดียวกันกับอันนารอเธออยู่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก“คิดมากน่า ไม่ได้ช้าขนาดนั้น”“ตังเม สวัสดีน้าเอิร์นค่ะคนเก่ง” มินตรายกมือขึ้นจัดผมหน้าม้าให้ลูกสาววัย 3 ขวบของเธอขณะบอกให้สวัสดีคุณน้าเอิร์นไปด้วยตังเมเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของมินตราที่เกิดจากเธอและไตร สามีที่ลืมเลือนเธอไปแล้ว มีเพียงทะเบียนสมรสเท่านั้นที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเธอมีสามีอยู่ ส่วนเจ้าตัวนั้นจะรู้หรือเปล่าว่าลูกและเมียอยู่ที่นี่“สวัสดีค่ะน้าเอิร์น” สองมือป้อม ๆ ยกขึ้นมาพนมแล้วก้มศีรษะไหว้เพื่อนของแม่มิน ตังเมมีเก้อเขินอยู่บ้างเพราะไม่ค่อยได้เจอน้าเอิร์นบ่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขินจนม้วนแต่ก็ยังไหว้สวยสมกับที่มินตราเคร่งเรื่องมารยาทกับลูกสาวของตัวเองเธอฝึกและอบรมตังเมเป็นอย่างดี“น่ารักจังเลยลูก ตังเม” ขอจิ้มแก้มหลานสาวสักทีให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วจึงแนะนำเด็กอีกคนให้รู้จักกัน“อันนาไหว้น้ามินด้วยนะลูก”“เมื่อวานก็ไหว้แล้วค่ะคุณแม่ วันนี้ต้องไหว้อีกเหรอคะ” ถ้าไม่ขี้สงสัยคงไม่ใช่อันนา และคำถามซื่อ ๆ ของเธอก็ทำเอา
“ทำไมปะป๊าถึงไปกับเราไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เธอนั่งอยู่ในคาร์ซีทของตัวเองและมองกระเป๋าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ที่เต็มรถไปหมด“ปะป๊าต้องทำงานใหญ่ค่ะน้องอัน ก็เลยมาอยู่กับเราไม่ได้” อารีรัตน์ตอบคำถามของลูกสาวในขณะที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหม่ที่เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่จะเลี้ยงดูอันนา บ้านชานเมืองที่ใกล้จากบ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอของเธอ“แล้วปะป๊าจะมานอนกับเราไหมคะคุณแม่” เด็กน้อยช่างสงสัย คิดอะไรออกมาก็ถามหมดแม้จะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว“แน่นอนค่ะ ถ้าปะป๊างานไม่ยุ่งปะป๊าจะมานอนกับเราค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นแม่ยังคงปกติเหมือนทุกครั้งที่อันนาได้ยิน แต่หนูน้อยอันนาจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ยังสดใสของคุณแม่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนมันแตกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่ก็คือแม่แม้จะเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกเสมอ“น้องอันคิดถึงปะป๊า” ไม่มีวันไหนที่อันนาจะไม่ได้หอมแก้มปะป๊าก่อนนอน และวันนี้เธอก็ยังคิดว่าปะป๊าจะต้องตามไปหาเธอที่บ้านหลังใหม่และเล่านิทานให้เธอฟั







