เข้าสู่ระบบงานเลี้ยงวันเกิดที่แสนสุขของลูกสาวได้ผ่านไปได้ด้วยดี งานนี้อินทัชได้รับคำชมและคำขอบคุณจากลูกสาวเป็นการหอมแก้มเกือบทุกสิบนาที เขาเองก็จำไม่ได้ว่าโดนอันนาหอมแก้มไปกี่ครั้งแต่ที่จำได้แน่ ๆ คือคราบครีมเค้กที่เปื้อนเต็มสองแก้ม
ลูกสาวกินเค้กหนึ่งคำก็จะหันมาหอมแก้มของเขาหนึ่งทีและอันนาไม่ลำเอียงเพราะลูกรักแม่และพ่อเท่ากัน ทำให้อารีรัตน์คุณแม่ที่น่ารักได้รับคำขอบคุณเป็นการหอมแก้มเหมือนกันกับอินทิช
“เอิร์นพาลูกเข้านอนเรียบร้อยแล้วค่ะ อันนาขึ้นเตียงก็สลบทันที แกคงเหนื่อยจากการวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ พี่โอบอยากปิดไฟนอนเลยไหมคะ”
อารีรัตน์ทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนที่เธอทำมาตลอด 4 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่กับอินทัชในฐานะสามีและภรรยา และถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าวันนี้มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมเธอก็เลือกที่จะทำเป็นไม่พูดถึงมัน อารีรัตน์ยอมทำทุกอย่างให้คำว่าครอบครัวยังคงเป็นครอบครัวแบบนี้ตลอดไป
“พี่อยากคุยกับเอิร์นเรื่องนั้นต่อ”
อินทัชรู้ว่าอารีรัตน์พยายามที่จะไม่คุยเรื่องนี้กับเขา แต่เขาคงให้ผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ไม่อย่างนั้นเธอก็จะหาเรื่องบ่ายเบี่ยงเพื่อที่จะซื้อเวลาของเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ และอินทัชคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย ไม่ได้หมายถึงตัวของเขาแต่หมายถึงเธอ ยิ่งอยากยื้อเขาไว้นานเท่าไหร่ คนที่จะเจ็บปวดมากที่สุดก็คือตัวเธอเอง
“อย่าพยายามยื้อพี่ไว้เลยเอิร์น เพราะพี่ไม่สามารถทนอยู่แบบนี้ได้แล้วจริง ๆ”
“พี่โอบไม่รักลูกเหรอคะ”
“พูดอะไรแบบนั้น! พี่แค่ไม่ได้รักเอิร์นแต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่รักลูกนะ” ถ้าไม่รักไม่อยากมีลูกแล้วเขาจะปล่อยให้เธอท้องทำไม อันนาคือลูกของเขาที่เขาตั้งใจทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดว่าเขาไม่รักลูก
“พี่โอบ...”
อารีรัตน์เหมือนคนที่ถูกของแข็งกระแทกเข้าที่ศีรษะของเธออย่างรุนแรง คำว่าพี่ไม่ได้รักเอิร์น คำนี้เหมือนกระชากสติและวิญญาณของเธอออกจากร่างกายไปแล้ว เหมือนลมหายใจของเธอได้หยุดทำงานไปในนาทีนั้น เขาหมดรักเธอตั้งแต่ตอนไหนหรือเขาไม่ได้รักเธอมาตั้งแต่ต้น ในความใจสลายก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เธอเหลือแรงได้หายใจอยู่บ้าง เขายังรักลูกของเขา ยังไม่ใจร้ายจนถึงขั้นไม่ต้องการเราทั้งสองคน
“พี่โอบไม่เคยรักเอิร์นเลยเหรอคะ” เอ่ยถามเขาทั้งน้ำตา กลั้นหายใจรอฟังคำตอบที่เธอเริ่มกลัว
“พี่ก็พยายามแล้วเอิร์น แต่พี่รักเอิร์นแบบคนที่เขารักกันไม่ได้ พี่มองเอิร์นเป็นคนรักไม่ได้จริง ๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพี่เคยคิดนะว่าพี่จะสามารถเปลี่ยนมารักเอิร์นแบบนั้นได้ พี่ลองแล้ว สุดท้ายพี่ก็ฝืนใจของตัวเองไม่ได้”
ฟังแล้วอาจจะดูว่าเขาเป็นคนที่ใจร้ายที่พูดอะไรออกมาไม่นึกถึงความรู้สึกของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียของตัวเอง ซึ่งอินทัชยอมรับว่าเขาใจร้ายกับอารีรัตน์จริง เขากับเธอแต่งงานอยู่ด้วยกันมา 4 ปีมีลูกที่น่ารักด้วยกันหนึ่งคน เขารักลูกมาก แต่ว่าความรักที่เขามีให้อารีรัตน์นั้นไม่เคยข้ามเส้นจากคำว่าน้องสาวได้เลยสักครั้ง
ในวันที่เขาตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นอินทัชกล้าพูดได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้รักอารีรัตน์แบบคนรัก ที่เขาแต่งงานกับเธอก็เพราะความหวังดี เขาแต่งเพราะอยากช่วยเหลือให้เธอไม่ต้องไปเจอผู้ชายที่ไม่ดีและอีกอย่างเขาเองก็อยากลองสัมผัสชีวิตคู่ดูบ้าง ไหน ๆ ตอนนั้นหัวใจของเขาก็ไม่ได้อยากเปิดใจรับใครเข้ามาอยู่แล้ว
“ถ้าเอิร์นต้องไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก ก็มาแต่งกับพี่ดีกว่า อย่างน้อยเราสองคนก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เอิร์นรู้ว่าพี่นิสัยยังไงและพี่ก็รู้จักนิสัยของเอิร์นดี”
“แต่พี่โอบไม่ได้รักเอิร์นแบบนั้นนี่คะ”
“ตอนนี้ไม่ แต่เราอยู่ด้วยกันไป ไม่แน่นะพี่อาจจะรักเอิร์นแบบคนรักก็ได้”
แต่ตอนนี้อินทัชรู้แล้วว่าเมื่อไม่ได้รักแต่แรกจะให้มาเปลี่ยนใจเป็นรักในภายหลังก็ไม่ได้ ไม่รักก็คือไม่รัก เขาไม่น่าทำเหมือนว่าการแต่งงานเป็นเรื่องขายของเลย เสียเวลาทั้งเขาและอารีรัตน์ และตอนนี้เขากำลังแก้ไขให้เราทั้งคู่ได้เดินทางบนเส้นทางที่ชีวิตของเราต้องการ
ความต้องการในชีวิตของเธอคือแบบไหนอันนี้เขาคงไม่รู้ได้แต่ของเขาแน่นอนว่าไม่ใช่คำว่าครอบครัว เขาเหมาะที่จะอยู่คนเดียวอย่างอิสระมากกว่าแต่เขาจะไม่ทิ้งอันนา ลูกคือสิ่งล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตของเขา
และที่เขายังพยายามอุ้มคำว่าครอบครัวเอาไว้นานถึง 4 ปีก็เพราะเห็นแก่ลูก เขาพยายามฝืนไปต่อแต่นานวันเข้าหัวใจของอินทัชก็เรียกร้องช่วงชีวิตที่หายไปของเขา ชีวิตที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป หลังจากเรียนจบเขาก็ยุ่งอยู่กับการทำธุรกิจ ทุ่มเทให้งานเต็มร้อยใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าธุรกิจจะเลี้ยงตัวเองได้แล้วหลังจากนั้นเขาก็แต่งงานทันที
“ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับเอิร์น ถ้าจะแต่งกับคนแบบนั้นสู้ให้เอิร์นมาแต่งงานกับผมดีกว่าครับ”
“ผมดูแลเอิร์นได้”
“แต่งงานกับพี่ดีกว่าเอิร์น”
คิดย้อนกลับไปถึงตอนนั้น เขาพลาดจริง ๆ เขาทิ้งความโสดช่วงเวลาสนุกของชีวิตตัวเองแล้วตัดสินใจพลาดมาแต่งงาน ความขี้สงสารและใจดีเป็นเหตุแท้ ๆ และเขาจะไม่โทษอารีรัตน์เพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาเองที่เอ่ยปากจะแต่งงานกับเธอ
“พี่โอบไม่ได้มีคนอื่นใช่ไหมคะ” เส้นเสียงที่สั่นเครือ ถามเขาออกไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว และต่อให้ตอนนี้เจ็บเจียนตายแต่ก็ยังอยากถามเพื่อให้ตัวเองได้กระจ่างว่าแท้จริงแล้วเหตุผลที่เขาอยากจบความสัมพันธ์กับเธอทั้งที่เราอยู่กินกันมา 4 ปีนั้นไม่ได้เป็นเพราะในหัวใจของอินทัชกำลังมีคนอื่นเข้ามาใช่หรือไม่
อารีรัตน์ไม่กล้าคิดว่าใครจะเข้ามาแทนที่เธอและก็ยอมรับว่าตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เธอคิดเสมอว่าในหัวใจของเขาต้องรักเธอบ้าง ต้องมีสักเศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจที่มีเธออยู่ในนั้น ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้เริ่มขึ้นตอนแต่งงานแต่เรามีความผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กและเพราะความใกล้ชิดกันมาตั้งแต่ประถมทำให้เธอแอบรักเขามาโดยตลอด อารีรัตน์คิดว่าเธอยังแอบรักเขามานานได้ มันก็ต้องมีบ้างสิที่เขาจะมองเธออย่างคนรักบ้าง
“พี่ไม่ได้มีใคร พี่คิดว่าชาตินี้พี่ขออยู่คนเดียวหรืออยู่กับลูกแค่สองคนดีกว่า”
“พี่โอบไม่ได้มีคนอื่น”
“อืม” อินทัชพยักหน้ารับและเขาไม่ได้โกหกเรื่องนี้เพราะเขาไม่ได้มีใคร ไม่ได้กำลังสนใจใคร เขาแค่ต้องการชีวิตของเขาคืน
“และไม่ต้องกลัวว่าพี่จะมองหาผู้หญิงคนใหม่ พี่จะทุ่มเทหัวใจของพี่ให้อันนาคนเดียว” เขาอยากได้อิสระที่ไม่ต้องมีคำว่าเมียห้อยท้าย แต่หัวใจของอินทัชก็ไม่คิดที่จะเปิดใจคบกับใครคนไหนเพราะเขารู้จักตัวเองดีและพอได้แต่งงานได้ลองใช้ชีวิตแบบครอบครัวก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจมาก ว่าเขาชอบอยู่คนเดียวและหัวใจของเขากับชีวิตของเขาจะทุ่มเทให้ลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น
อยู่แบบโสดที่แปลว่าสามารถเลี้ยงลูกได้ นี่คือสิ่งที่อินทัชตั้งใจจะเป็นนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
“พี่โอบไม่ได้รักเอิร์น”
“ใช่”
“แต่รู้ใช่ไหมคะ ว่าเอิร์นรักพี่โอบ รักแบบคนรัก เอิร์นรักพี่โอบมากนะคะ” พร่ำบอกคำว่ารักที่เขาไม่ได้ต้องการจะฟัง สะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นสะท้าน ร้องไห้ปลดปล่อยความเจ็บปวดที่เธอเกินจะต้านไหวให้มันไหลออกมาเป็นหยดน้ำตา
“พี่รู้ แต่เอิร์นจะเป็นน้องสาวของพี่เสมอ”
อินทัชมองดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้มีน้ำตาเจิ่งนองจนรู้สึกสงสาร เขาไม่สามารถรักอารีรัตน์เหมือนคนรักอย่างที่เธอต้องการได้แต่เขาสามารถรักเธอแบบน้องสาวของเขาอีกคนได้เพราะเราสองคนก็เริ่มต้นกันมาแบบนั้น ไม่ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรอารีรัตน์ยังคงเป็นน้องสาวที่เขารักและหวังดีเสมอ
“เออเอิร์น เรื่องโรงเรียนมินถามผอ.ของโรงเรียนแล้วนะ เขาบอกว่ายังเปิดรับนักเรียนอยู่ พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้เอิร์นพาอันนาไปสมัครเรียนได้เลยนะจ๊ะ” มินตราพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมส่งเบอร์โทรศัพท์ของโรงเรียนอนุบาลให้อารีรัตน์ ‘โรงเรียนอนุบาลเติมฝัน...ผอ.ปณิธาน’“ดีจัง เอิร์นขอบใจมินมากเลยนะที่เป็นธุระเรื่องนี้ให้ อันนาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่จะได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับตังเม”คนเป็นแม่ที่มีลูกเกิดใกล้ ๆ กันก็พากันตื่นเต้นที่จะต้องหาโรงเรียนให้ลูกสาว ทางด้านอารีรัตน์จะตื่นเต้นและค่อนข้างเครียดเรื่องโรงเรียนมากหน่อยเพราะเดิมทีวางแผนไว้จะให้อันนาเรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านนั่นคือความคิดก่อนหน้าที่อินทัชจะขอเลิกกับเธอ ตอนนี้แผนทุกอย่างต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดและยอมรับเลยว่าเรื่องหาที่เรียนให้ลูกทำเอาอารีรัตน์นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน และเธอยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มีเพื่อนดีหากไม่ได้มินตราเป็นธุระเรื่องโรงเรียนให้อารีรัตน์ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาโรงเรียนที่เชื่อถือได้จากที่ไหน“โรงเรียนอนุบาลเติมฝันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มินคิดว่าที่ดีสุดในย่านนี้แล้ว เรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของบุคลากรในโรง
“แล้วดีพอในความหมายของมึงคือแบบไหนวะ แบบไหนที่เรียกว่าดี”“แบบกูไง” ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วก็ยกแก้วเหล้าที่บีบเกือบร้าวขึ้นมาดื่มต่อ“เหรอ ฮ่า ๆ โทษทีนะที่กูขำ” ชัชชัยอดขำพรวดออกมาไม่ได้ จะพูดว่าไงดีละ เขาคิดว่าเพื่อนของเขากำลังเยินยอตัวเองมากเกินไปหน่อย“ขำอะไรของมึงวะ นี่กูพูดจริง ๆ นะ ไม่มีใครดีสำหรับเอิร์นได้เท่ากูอีกแล้ว” ตั้งแต่เด็กก็ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนที่ดูจะเป็นคนดีในสายตาของอินทัช เพราะเหตุนี้ไงเขาถึงยอมเสียสละตัวเองมาแต่งงานกับอารีรัตน์“ถ้ามึงดีนักแล้วขอเลิกกับเขาทำไมวะ”“เอ้า ก็กูไม่ได้รักเอิร์นไงมึง คนขอเลิกมันก็จะมีกี่เหตุผลกันวะ แล้วกูก็บอกเอิร์นดี ๆ กูไม่ได้นอกใจหรือทำเรื่องเลว ๆ แล้วถึงมาขอเลิกเว้ย”“เออครับ มึงมันคนดี ประเสริฐจนยากจะหาชายใดมาเทียบได้ แล้วมึงได้ถามเขาไหม”“ถามอะไรวะ”“มึงเคลมว่าตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับน้องเอิร์น แล้วมึงได้ถามเขาไหมว่าในสายตาของเอิร์นมึงดีขนาดนั้นหรือเปล่า กูว่านะตอนนี้น้องเอิร์นคงมองว่ามึงเหี้ย...”“เฮ้ย ไอ้ชัช มึงหลอกด่ากูเหรอ”ไอ้เพื่อนเวร คนกำลังเคลิ้มและหลงใหลไปกับความดีในความคิดของตัวเองอยู่ แต่ไอ้นี่มันมาพูดซะความดี
“อืม...” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอียงคอไปด้วยขณะที่กำลังใช้ความคิดทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามและหาคำตอบเพื่อตอบคุณแม่ของเธอ“ปะป๊าทำงาน งานยุ่งมาก”เป็นเรื่องที่อันนาคุ้นชินมาตั้งแต่เธอเริ่ม ๆ จำความได้ เวลาทั้งวันเธอจะอยู่กับคุณแม่มากกว่าเพราะรู้ว่าที่ปะป๊าต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับเข้ามาตอนค่ำ ๆ ก็เพราะออกไปทำงานและถ้าวันไหนปะป๊าของอันนากลับช้ากว่าปกติคุณแม่ก็จะบอกว่าปะป๊างานยุ่งมากทำให้กลับบ้านช้า และอันนาจะได้เจอหน้าปะป๊าในเช้าวันถัดไป ปะป๊าจะคอยที่โต๊ะทานข้าวเพื่อรอป้อนมื้อเช้าให้เธอเสมอ“น้องอันไม่โกรธค่ะ เพราะปะป๊าทำงานหนักเพื่อดูแลน้องอันกับคุณแม่” คำตอบของอันนาทำให้อารีรัตน์ต้องอมยิ้มและรู้สึกเบาใจที่ลูกสาวเข้าใจว่าปะป๊าทำงานหนักก็เพื่อลูกคนนี้และดีใจมากที่อันนาจะไม่โกรธปะป๊า“วันนี้ปะป๊าก็งานยุ่งเหรอคะคุณแม่” เปลี่ยนมาเอียงคออีกข้างแล้วถามคุณแม่กลับไปบ้าง สีของท้องฟ้าทำให้อันนารู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่เธอต้องได้เจอหน้าปะป๊าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ ทำให้เด็กน้อยเข้าใจไปเองว่าที่ปะป๊ายังไม่กลับมาก็เพราะปะป๊างานยุ่ง“จ้ะ” อารีรัตน์เลือกที่จะตอบเออออไปในทางที่ลูกสาวของเธอกำลังเข
“พรุ่งนี้เอิร์นเข้าไปเริ่มงานได้เลยนะ มินบอกพนักงานในคาเฟ่ไว้แล้วว่าเอิร์นจะเข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีอะไรสงสัยหรือติดปัญหาอะไรก็ถามทุกคนในร้านได้เลย น้อง ๆ นิสัยดีทุกคนเพราะมินคัดมาเองกับมือ”มินตราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อารีรัตน์จะเข้ามาเป็นผู้จัดการคาเฟ่ให้เธอ คาเฟ่ของมินตราเป็นร้านกาแฟขนาดกลาง ไม่เล็กมากแต่ก็ไม่ใหญ่โตจนเกินไป เธอพึ่งเริ่มเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้นยังจัดว่าเป็นมือใหม่ แม้จะยังมือใหม่ก็ถือว่าเป็นร้านคาเฟ่ที่พึ่งเปิดแต่มีลูกค้าประจำหนาแน่น“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะมิน ถ้าเอิร์นไม่มีมินก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี”อารีรัตน์พูดจากใจจริงและรู้สึกขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มาก ๆ มินตราจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในเวลาที่ทุกข์ใจเสมอ อิงค์น้องของอินทัชก็ด้วยแต่ว่าตอนนี้อิงค์ทำงานอยู่ที่อเมริกาไทม์โซนต่างกันทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ แต่มินตราจะอยู่ใกล้เธอมากกว่าและอาจจะเพราะว่าเราเป็นคุณแม่เหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็มักจะเข้าใจกันได้ในทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา“ตอนนี้เอิร์นทำใจให้สบายนะไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือถ้ามีเรื่องอะไร
“เอิร์นมาช้ามากเลยใช่ไหม ขอโทษนะมิน” ทำหน้ารู้สึกผิดและก็ยอมรับผิดจริง ๆ เพราะเธอมาช้ามาก พอมาเห็นเพื่อนสาวอุ้มลูกน้อยวัยเดียวกันกับอันนารอเธออยู่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก“คิดมากน่า ไม่ได้ช้าขนาดนั้น”“ตังเม สวัสดีน้าเอิร์นค่ะคนเก่ง” มินตรายกมือขึ้นจัดผมหน้าม้าให้ลูกสาววัย 3 ขวบของเธอขณะบอกให้สวัสดีคุณน้าเอิร์นไปด้วยตังเมเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของมินตราที่เกิดจากเธอและไตร สามีที่ลืมเลือนเธอไปแล้ว มีเพียงทะเบียนสมรสเท่านั้นที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเธอมีสามีอยู่ ส่วนเจ้าตัวนั้นจะรู้หรือเปล่าว่าลูกและเมียอยู่ที่นี่“สวัสดีค่ะน้าเอิร์น” สองมือป้อม ๆ ยกขึ้นมาพนมแล้วก้มศีรษะไหว้เพื่อนของแม่มิน ตังเมมีเก้อเขินอยู่บ้างเพราะไม่ค่อยได้เจอน้าเอิร์นบ่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขินจนม้วนแต่ก็ยังไหว้สวยสมกับที่มินตราเคร่งเรื่องมารยาทกับลูกสาวของตัวเองเธอฝึกและอบรมตังเมเป็นอย่างดี“น่ารักจังเลยลูก ตังเม” ขอจิ้มแก้มหลานสาวสักทีให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วจึงแนะนำเด็กอีกคนให้รู้จักกัน“อันนาไหว้น้ามินด้วยนะลูก”“เมื่อวานก็ไหว้แล้วค่ะคุณแม่ วันนี้ต้องไหว้อีกเหรอคะ” ถ้าไม่ขี้สงสัยคงไม่ใช่อันนา และคำถามซื่อ ๆ ของเธอก็ทำเอา
“ทำไมปะป๊าถึงไปกับเราไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เธอนั่งอยู่ในคาร์ซีทของตัวเองและมองกระเป๋าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ที่เต็มรถไปหมด“ปะป๊าต้องทำงานใหญ่ค่ะน้องอัน ก็เลยมาอยู่กับเราไม่ได้” อารีรัตน์ตอบคำถามของลูกสาวในขณะที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหม่ที่เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่จะเลี้ยงดูอันนา บ้านชานเมืองที่ใกล้จากบ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอของเธอ“แล้วปะป๊าจะมานอนกับเราไหมคะคุณแม่” เด็กน้อยช่างสงสัย คิดอะไรออกมาก็ถามหมดแม้จะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว“แน่นอนค่ะ ถ้าปะป๊างานไม่ยุ่งปะป๊าจะมานอนกับเราค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นแม่ยังคงปกติเหมือนทุกครั้งที่อันนาได้ยิน แต่หนูน้อยอันนาจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ยังสดใสของคุณแม่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนมันแตกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่ก็คือแม่แม้จะเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกเสมอ“น้องอันคิดถึงปะป๊า” ไม่มีวันไหนที่อันนาจะไม่ได้หอมแก้มปะป๊าก่อนนอน และวันนี้เธอก็ยังคิดว่าปะป๊าจะต้องตามไปหาเธอที่บ้านหลังใหม่และเล่านิทานให้เธอฟั







