เข้าสู่ระบบ“ทำไมปะป๊าถึงไปกับเราไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เธอนั่งอยู่ในคาร์ซีทของตัวเองและมองกระเป๋าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ที่เต็มรถไปหมด
“ปะป๊าต้องทำงานใหญ่ค่ะน้องอัน ก็เลยมาอยู่กับเราไม่ได้” อารีรัตน์ตอบคำถามของลูกสาวในขณะที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหม่ที่เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่จะเลี้ยงดูอันนา บ้านชานเมืองที่ใกล้จากบ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอของเธอ
“แล้วปะป๊าจะมานอนกับเราไหมคะคุณแม่” เด็กน้อยช่างสงสัย คิดอะไรออกมาก็ถามหมดแม้จะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“แน่นอนค่ะ ถ้าปะป๊างานไม่ยุ่งปะป๊าจะมานอนกับเราค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นแม่ยังคงปกติเหมือนทุกครั้งที่อันนาได้ยิน แต่หนูน้อยอันนาจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ยังสดใสของคุณแม่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนมันแตกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่ก็คือแม่แม้จะเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกเสมอ
“น้องอันคิดถึงปะป๊า” ไม่มีวันไหนที่อันนาจะไม่ได้หอมแก้มปะป๊าก่อนนอน และวันนี้เธอก็ยังคิดว่าปะป๊าจะต้องตามไปหาเธอที่บ้านหลังใหม่และเล่านิทานให้เธอฟังก่อนนอนเหมือนทุกวัน
“คุณแม่คิดถึงปะป๊าไหมคะ” คำถามที่ไร้เดียงสาและถ่ายทอดความรู้สึกจากหัวใจว่าลูกสาวคิดถึงคนเป็นพ่อมากเพียงใด และคำถามนี้ทำให้เกราะความแข็งแกร่งของอารีรัตน์พังทลายลงมาทั้งที่พึ่งจะเริ่มสร้างขึ้น หยดน้ำตามากมายพรั่งพรูลงมาจากดวงตา เสียงสะอื้นถูกปิดไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป
“ค่ะ คุณแม่ก็คิดถึงปะป๊ามากเหมือนกัน”
คิดถึงเขามาก มากจนพื้นที่ในสมองมีแต่ใบหน้าของอินทิชตลอดเวลา พยายามที่จะไม่นึกถึงเขา ไม่อยากคิดว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขมากขนาดไหนที่ได้ชีวิตอิสระของตัวเองคืนไปและยิ่งอารีรัตน์พยายามที่จะไม่คิดถึงอินทัชมากเท่าไหร่เธอกลับยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นเท่านั้น
คิดถึงมากก็มีน้ำตาจำนวนมากไหลลงมาเช่นกัน เธอไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้ลูกเห็น แต่เธอก็คนที่เจ็บได้รู้สึกเป็นและเธอคือคนที่พึ่งจะถูกสามีที่เธอมอบกายถวายชีวิตให้ขอเลิก ต่อให้อยากทำตัวให้เข้มแข็งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
“เราต้องอยู่บ้านใหม่นานไหมคะคุณแม่” ยังคงมีคำถามต่อไปเรื่อย ๆ เพราะอันนายังรักบ้านหลังเดิมมาก
“ก็ จนกว่าอันนาจะโตค่ะ”
“ตอนนี้น้องอันก็โตแล้วนะคะ คุณแม่ดูสิคะ”
เสียงใส ๆ เรียกให้คุณแม่ต้องยอมละสายตาจากถนนสักครู่เพื่อมองมาที่เธอผ่านทางกระจกมองหลัง ภาพที่เห็นนั้นเรียกรอยยิ้มของอารีรัตน์ออกมาได้ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้หญิงโศกเศร้าคนนี้มีความสุขขึ้นมาในทันที
“จริงด้วย น้องอันของคุณแม่โตแล้วจริง ๆ” โตในที่นี้หมายถึงพุงกลม ๆ ของลูกสาว และอันนาใช้นิ้วจิ้มที่พุงของตัวเองให้คุณแม่ดู เพื่อบอกว่าพุงเธอโตก็เท่ากับว่าเธอคือเด็กโต เมื่อเห็นดังนั้นคนเป็นแม่จึงแย้งไม่ได้ทำได้แค่กลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้แล้วพูดคุยกับลูกน้อยต่อด้วยความเอ็นดู เด็กหนอเด็ก ลูกคือความสุขของเธอจริง ๆ ถ้าตอนนี้ไม่มีลูกอยู่ด้วยเธอต้องแย่แน่
“บ้านใหม่ไกลจัง” เสียงเล็กบ่นอุบก่อนจะกอดตุ๊กตาหมีแน่นขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกไปนอกกระจกรถ หยิบกล่องนมขึ้นมาดูดมองดูวิวไปด้วย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนเมื่อเจอกับแอร์เย็นฉ่ำภายในรถทำให้สุดท้ายอันนาก็ฝืนต่อไปไม่ไหวต้องยอมแพ้ต่อความง่วง
“สลบไปแล้วสินะ” อารีรัตน์พูดและยกยิ้มให้กับภาพน่ารักของลูกสาวที่ตอนนี้สลบไสลไปแล้วเรียบร้อย
ทั้งเอ็นดูและสงสารลูกที่ต้องย้ายบ้านอย่างกะทันหัน การโยกย้ายครั้งนี้คือความต้องการของเธอเองไม่ได้เป็นการผลักไสจากอินทัช เขาเสนอให้เธอกับลูกอยู่ในบ้านหลังนี้เหมือนเดิมและเขาจะเป็นคนย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแทน อาจจะกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขา
แต่อารีรัตน์ได้ปฏิเสธน้ำใจนี้ของอดีตสามีและขอเป็นคนก้าวออกมาเองโดยบอกเขาไปว่า เธอเองก็มีบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ครอบครัวซื้อเอาไว้และบ้านหลังนั้นก็อยู่ใกล้กับบ้านของมินตราเพื่อนสนิทของเธอ ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นและอารีรัตน์พูดให้เห็นภาพว่าเธอจะไม่เดือดร้อนและไม่มีทางพาลูกสาวไปลำบากแน่นอนจึงทำให้อินทัชยอมรับความต้องการของเธอและไม่เซ้าซี้อีก
“ขอให้เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีของเรานะลูก”
อารีรัตน์ต้องการพาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำของเราสามคนพ่อแม่ลูกเต็มไปหมด ในบ้านหลังนั้นมีเรื่องราวมากมายที่เป็นความทรงจำที่ดีของเธอและอินทัช
เรื่องราวที่เริ่มขึ้นตั้งแต่การเลือกบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอ ทุกความทรงจำคือความสุขที่อารีรัตน์จะไม่มีวันลืม แต่ในขณะนี้เธอไม่สามารถเอาภาพความสุขเหล่านั้นมาช่วยให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลาบอบช้ำนี้ไปได้ ตรงกันข้ามเลย หากเธอยังอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อก็มีแต่จะทำให้เธอทำใจได้ยากขึ้นและจะยิ่งทำให้เธอจมอยู่กับความทุกข์มากกว่าเดิม การเดินออกมาคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
“มาถึงแล้ว เก่งเหมือนกันนะเอิร์น” ขอชมตัวเองหน่อยเพราะครั้งนี้คือการขับรถที่ใช้เวลานานที่สุดตั้งแต่อารีรัตน์เคยขับรถมา เธอใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมงทั้งที่จริง ๆ แล้วระยะทางจากบ้านหลังนั้นมาที่บ้านหลังใหม่เป็นคนอื่นคงขับมาถึงภายในสองชั่วโมง
แต่เพราะเธอไม่ได้ขับรถด้วยตัวเองมานานและครั้งนี้มีอันนาอยู่บนรถด้วยจึงทำให้อารีรัตน์ขับช้ากว่าปกติ ความปลอดภัยต้องมาก่อน ถึงช้าแต่ก็ถึงนะและถึงอย่างปลอดภัยด้วยแม้จะเกือบเย็นแล้วก็ตาม
“ในที่สุดเพื่อนรักของมินก็เดินทางมาถึงสักที นี่ก็ลุ้นอยู่ว่าเอิร์นจะเป็นยังไงบ้าง เป็นห่วงจนมินนั่งไม่ติดแล้วเนี่ย” มินตรารีบตรงเข้ามาหาทันทีที่เห็นรถยนต์ของเพื่อนรักขับเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ซึ่งเป็นบ้านของอารีรัตน์ที่ไหว้วานให้มินตราแวะเวียนเข้ามาดูแลและจ้างให้คนเข้ามาทำความสะอาดให้ตลอดเวลาที่เธออาศัยอยู่ที่บ้านเรือนหอ
หลังจากได้รับสายโทรศัพท์ของอารีรัตน์ตั้งแต่ตีสี่และได้รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคู่ของเพื่อนสนิท แม้จะเป็นเรื่องที่ฉุกละหุกแต่มินตราก็รีบดำเนินการจ้างแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดทันทีและจัดเตรียมบ้านให้เรียบร้อยเพื่อรออารีรัตน์และหลานรักของเธอ ‘เพื่อนสาวต้องการพักใจ’
“เออเอิร์น เรื่องโรงเรียนมินถามผอ.ของโรงเรียนแล้วนะ เขาบอกว่ายังเปิดรับนักเรียนอยู่ พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้เอิร์นพาอันนาไปสมัครเรียนได้เลยนะจ๊ะ” มินตราพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมส่งเบอร์โทรศัพท์ของโรงเรียนอนุบาลให้อารีรัตน์ ‘โรงเรียนอนุบาลเติมฝัน...ผอ.ปณิธาน’“ดีจัง เอิร์นขอบใจมินมากเลยนะที่เป็นธุระเรื่องนี้ให้ อันนาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่จะได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับตังเม”คนเป็นแม่ที่มีลูกเกิดใกล้ ๆ กันก็พากันตื่นเต้นที่จะต้องหาโรงเรียนให้ลูกสาว ทางด้านอารีรัตน์จะตื่นเต้นและค่อนข้างเครียดเรื่องโรงเรียนมากหน่อยเพราะเดิมทีวางแผนไว้จะให้อันนาเรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านนั่นคือความคิดก่อนหน้าที่อินทัชจะขอเลิกกับเธอ ตอนนี้แผนทุกอย่างต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดและยอมรับเลยว่าเรื่องหาที่เรียนให้ลูกทำเอาอารีรัตน์นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน และเธอยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มีเพื่อนดีหากไม่ได้มินตราเป็นธุระเรื่องโรงเรียนให้อารีรัตน์ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาโรงเรียนที่เชื่อถือได้จากที่ไหน“โรงเรียนอนุบาลเติมฝันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มินคิดว่าที่ดีสุดในย่านนี้แล้ว เรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของบุคลากรในโรง
“แล้วดีพอในความหมายของมึงคือแบบไหนวะ แบบไหนที่เรียกว่าดี”“แบบกูไง” ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วก็ยกแก้วเหล้าที่บีบเกือบร้าวขึ้นมาดื่มต่อ“เหรอ ฮ่า ๆ โทษทีนะที่กูขำ” ชัชชัยอดขำพรวดออกมาไม่ได้ จะพูดว่าไงดีละ เขาคิดว่าเพื่อนของเขากำลังเยินยอตัวเองมากเกินไปหน่อย“ขำอะไรของมึงวะ นี่กูพูดจริง ๆ นะ ไม่มีใครดีสำหรับเอิร์นได้เท่ากูอีกแล้ว” ตั้งแต่เด็กก็ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนที่ดูจะเป็นคนดีในสายตาของอินทัช เพราะเหตุนี้ไงเขาถึงยอมเสียสละตัวเองมาแต่งงานกับอารีรัตน์“ถ้ามึงดีนักแล้วขอเลิกกับเขาทำไมวะ”“เอ้า ก็กูไม่ได้รักเอิร์นไงมึง คนขอเลิกมันก็จะมีกี่เหตุผลกันวะ แล้วกูก็บอกเอิร์นดี ๆ กูไม่ได้นอกใจหรือทำเรื่องเลว ๆ แล้วถึงมาขอเลิกเว้ย”“เออครับ มึงมันคนดี ประเสริฐจนยากจะหาชายใดมาเทียบได้ แล้วมึงได้ถามเขาไหม”“ถามอะไรวะ”“มึงเคลมว่าตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับน้องเอิร์น แล้วมึงได้ถามเขาไหมว่าในสายตาของเอิร์นมึงดีขนาดนั้นหรือเปล่า กูว่านะตอนนี้น้องเอิร์นคงมองว่ามึงเหี้ย...”“เฮ้ย ไอ้ชัช มึงหลอกด่ากูเหรอ”ไอ้เพื่อนเวร คนกำลังเคลิ้มและหลงใหลไปกับความดีในความคิดของตัวเองอยู่ แต่ไอ้นี่มันมาพูดซะความดี
“อืม...” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอียงคอไปด้วยขณะที่กำลังใช้ความคิดทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามและหาคำตอบเพื่อตอบคุณแม่ของเธอ“ปะป๊าทำงาน งานยุ่งมาก”เป็นเรื่องที่อันนาคุ้นชินมาตั้งแต่เธอเริ่ม ๆ จำความได้ เวลาทั้งวันเธอจะอยู่กับคุณแม่มากกว่าเพราะรู้ว่าที่ปะป๊าต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับเข้ามาตอนค่ำ ๆ ก็เพราะออกไปทำงานและถ้าวันไหนปะป๊าของอันนากลับช้ากว่าปกติคุณแม่ก็จะบอกว่าปะป๊างานยุ่งมากทำให้กลับบ้านช้า และอันนาจะได้เจอหน้าปะป๊าในเช้าวันถัดไป ปะป๊าจะคอยที่โต๊ะทานข้าวเพื่อรอป้อนมื้อเช้าให้เธอเสมอ“น้องอันไม่โกรธค่ะ เพราะปะป๊าทำงานหนักเพื่อดูแลน้องอันกับคุณแม่” คำตอบของอันนาทำให้อารีรัตน์ต้องอมยิ้มและรู้สึกเบาใจที่ลูกสาวเข้าใจว่าปะป๊าทำงานหนักก็เพื่อลูกคนนี้และดีใจมากที่อันนาจะไม่โกรธปะป๊า“วันนี้ปะป๊าก็งานยุ่งเหรอคะคุณแม่” เปลี่ยนมาเอียงคออีกข้างแล้วถามคุณแม่กลับไปบ้าง สีของท้องฟ้าทำให้อันนารู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่เธอต้องได้เจอหน้าปะป๊าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ ทำให้เด็กน้อยเข้าใจไปเองว่าที่ปะป๊ายังไม่กลับมาก็เพราะปะป๊างานยุ่ง“จ้ะ” อารีรัตน์เลือกที่จะตอบเออออไปในทางที่ลูกสาวของเธอกำลังเข
“พรุ่งนี้เอิร์นเข้าไปเริ่มงานได้เลยนะ มินบอกพนักงานในคาเฟ่ไว้แล้วว่าเอิร์นจะเข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีอะไรสงสัยหรือติดปัญหาอะไรก็ถามทุกคนในร้านได้เลย น้อง ๆ นิสัยดีทุกคนเพราะมินคัดมาเองกับมือ”มินตราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อารีรัตน์จะเข้ามาเป็นผู้จัดการคาเฟ่ให้เธอ คาเฟ่ของมินตราเป็นร้านกาแฟขนาดกลาง ไม่เล็กมากแต่ก็ไม่ใหญ่โตจนเกินไป เธอพึ่งเริ่มเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้นยังจัดว่าเป็นมือใหม่ แม้จะยังมือใหม่ก็ถือว่าเป็นร้านคาเฟ่ที่พึ่งเปิดแต่มีลูกค้าประจำหนาแน่น“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะมิน ถ้าเอิร์นไม่มีมินก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี”อารีรัตน์พูดจากใจจริงและรู้สึกขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มาก ๆ มินตราจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในเวลาที่ทุกข์ใจเสมอ อิงค์น้องของอินทัชก็ด้วยแต่ว่าตอนนี้อิงค์ทำงานอยู่ที่อเมริกาไทม์โซนต่างกันทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ แต่มินตราจะอยู่ใกล้เธอมากกว่าและอาจจะเพราะว่าเราเป็นคุณแม่เหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็มักจะเข้าใจกันได้ในทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา“ตอนนี้เอิร์นทำใจให้สบายนะไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือถ้ามีเรื่องอะไร
“เอิร์นมาช้ามากเลยใช่ไหม ขอโทษนะมิน” ทำหน้ารู้สึกผิดและก็ยอมรับผิดจริง ๆ เพราะเธอมาช้ามาก พอมาเห็นเพื่อนสาวอุ้มลูกน้อยวัยเดียวกันกับอันนารอเธออยู่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก“คิดมากน่า ไม่ได้ช้าขนาดนั้น”“ตังเม สวัสดีน้าเอิร์นค่ะคนเก่ง” มินตรายกมือขึ้นจัดผมหน้าม้าให้ลูกสาววัย 3 ขวบของเธอขณะบอกให้สวัสดีคุณน้าเอิร์นไปด้วยตังเมเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของมินตราที่เกิดจากเธอและไตร สามีที่ลืมเลือนเธอไปแล้ว มีเพียงทะเบียนสมรสเท่านั้นที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเธอมีสามีอยู่ ส่วนเจ้าตัวนั้นจะรู้หรือเปล่าว่าลูกและเมียอยู่ที่นี่“สวัสดีค่ะน้าเอิร์น” สองมือป้อม ๆ ยกขึ้นมาพนมแล้วก้มศีรษะไหว้เพื่อนของแม่มิน ตังเมมีเก้อเขินอยู่บ้างเพราะไม่ค่อยได้เจอน้าเอิร์นบ่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขินจนม้วนแต่ก็ยังไหว้สวยสมกับที่มินตราเคร่งเรื่องมารยาทกับลูกสาวของตัวเองเธอฝึกและอบรมตังเมเป็นอย่างดี“น่ารักจังเลยลูก ตังเม” ขอจิ้มแก้มหลานสาวสักทีให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วจึงแนะนำเด็กอีกคนให้รู้จักกัน“อันนาไหว้น้ามินด้วยนะลูก”“เมื่อวานก็ไหว้แล้วค่ะคุณแม่ วันนี้ต้องไหว้อีกเหรอคะ” ถ้าไม่ขี้สงสัยคงไม่ใช่อันนา และคำถามซื่อ ๆ ของเธอก็ทำเอา
“ทำไมปะป๊าถึงไปกับเราไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เธอนั่งอยู่ในคาร์ซีทของตัวเองและมองกระเป๋าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ที่เต็มรถไปหมด“ปะป๊าต้องทำงานใหญ่ค่ะน้องอัน ก็เลยมาอยู่กับเราไม่ได้” อารีรัตน์ตอบคำถามของลูกสาวในขณะที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหม่ที่เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่จะเลี้ยงดูอันนา บ้านชานเมืองที่ใกล้จากบ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอของเธอ“แล้วปะป๊าจะมานอนกับเราไหมคะคุณแม่” เด็กน้อยช่างสงสัย คิดอะไรออกมาก็ถามหมดแม้จะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว“แน่นอนค่ะ ถ้าปะป๊างานไม่ยุ่งปะป๊าจะมานอนกับเราค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นแม่ยังคงปกติเหมือนทุกครั้งที่อันนาได้ยิน แต่หนูน้อยอันนาจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ยังสดใสของคุณแม่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนมันแตกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่ก็คือแม่แม้จะเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกเสมอ“น้องอันคิดถึงปะป๊า” ไม่มีวันไหนที่อันนาจะไม่ได้หอมแก้มปะป๊าก่อนนอน และวันนี้เธอก็ยังคิดว่าปะป๊าจะต้องตามไปหาเธอที่บ้านหลังใหม่และเล่านิทานให้เธอฟั




![นางบำเรอ [5P]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


