ใบหน้าและรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนนั่นยังคงเหมือนที่เธอเคยเห็นในวันนั้นไม่เปลี่ยน แต่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไป
ไม่ใช่...พี่เจที่เธอเคยรู้จัก แต่วันนี้เขาคือ คุณเจษภัทร เจ้านายคนใหม่ของเธอเสียแล้ว แถมที่สำคัญคือหัวใจของเราก็มีคนเข้าไปจับจอง ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้ พื้นที่ในหัวใจเขาก็ไม่ใช่ของเธอ มันไม่เคยเป็นของเธอ...
“ผมขอฝากตัวกับพวกเราทุกคนด้วยนะครับ หากมีอะไรที่ต้องการเสนอแนะ หรือปรึกษาเรื่องงานก็บอกกันได้เลยนะครับ เพราะตอนนี้เราคือทีมเดียวกันแล้ว”
นอกจากหน้าตาที่มีเสน่ห์แล้ว บุคลิกนิสัยใจคอของดอสคนใหม่ก็ดูจะเฟรนด์ลี่ผูกใจผู้ร่วมงานทั้งแผนกได้ไม่ยากเลย
“ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมกับหัวหน้าแผนกแล้วค่ะดอส นี่เป็นเอกสารที่ต้องใช้เข้าประชุม ยังพอมีเวลาอ่านอีกนิดหน่อยนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณรุ้ง” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนนึกได้ “อ้อ! จริงสิ...หลังประชุมเสร็จผมอยากได้รายงานการขายย้อนหลังของสามไตรมาสล่าสุดรวมถึงแผนงานต่างๆ ในปีนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ช่วงบ่ายสองฝากคุณรุ้งช่วยนัดประชุมทีมกับทุกคนในแผนกเรา ทุกคนเลยนะครับ รบกวนคุณช่วยจองห้องประชุมให้ด้วย”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวรุ้งจัดการให้ ส่วนเอกสารต่างๆ เดี๋ยวให้น้องแตมปริ๊นให้ แล้วจะรีบเอาเข้าไปวางที่โต๊ะดอสเลยนะคะ”
“น้องแตม...” ชายหนุ่มทวนคำ คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ
“อ๋อ น้องแตมคือเซลล์แอดมินคนใหม่ของเราค่ะ อ้าว...หายไปไหนแล้วล่ะ” รุ้งลาวัณย์แปลกใจเมื่อหันไปก็ไม่เห็นคนที่เอ่ยถึงเสียแล้ว
“งั้นผมขอฝากด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจใดๆ เขารับแฟ้มเอกสารจากเลขาคนใหม่และเข้าห้องทำงานส่วนตัวไปเพื่อเตรียมตัวเข้าประชุมกับฝ่ายบริหารของโรงแรม
เตชิตากุมหน้าอกซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นรัวๆ ขอบตาร้อนผ่าวๆ แต่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ เธอไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้าเขา แต่มันเป็นไปตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด แต่เกรงว่าหากต้องทำงานด้วยกัน เธอคงไม่อาจใช้วิธีหลบเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
“อ้าว น้องแตมอยู่นี่เอง! แล้วไปทำอะไรอยู่ใต้โต๊ะล่ะนั่น”
“ขอโทษค่ะพี่รุ้ง พอดีแตมทำแฟ้มตก เลยก้มเก็บเอกสารที่พื้นน่ะค่ะ” ข้อแก้ตัวไม่เข้าท่าแต่สมองเธอคิดได้เท่านี้จริงๆ
“อืม...แล้วเมื่อกี้ได้ยินที่ดอสสั่งงานไหมจ๊ะ”
“อ๋อๆ ได้ยินแล้วค่ะ เดี๋ยวแตมรีบจัดการให้นะคะ”
“ดีจ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวต้องเข้าประชุมแล้ววันนี่ท่าจะถกกันนาน อ้อ พี่ฝากเจ้านายใหม่ด้วย เผื่อต้องการอะไรก็บอกว่าเดี๋ยวพี่มานะ”
“ได้ค่ะ” เตชิตายิ้มรับ พลางชำเลืองไปทางประตูห้องทำงานของผู้จัดการคนใหม่ที่ปิดสนิท ดวงตาคู่สวยหม่นแสง
มันผ่านไปตั้งเกือบห้าปีแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ บางทีเธออาจจะกลัวเกินไป เอาน่ะ ขอเวลาตั้งหลักก่อนสักนิด อย่างน้อยก็ให้เธอได้ซ้อมยิ้มเวลาต้องเจอหน้าเขา หรือไม่ก็เตรียมคำทักทายกันก่อนก็ยังดี
ยังไม่ทันที่เธอจะคิดออกเลย จู่ๆ ประตูห้องทำงานของดอสคนใหม่ก็เปิดออกอีกครั้ง
“คุณรุ้งครับ...”
เตชิชาหัวใจแทบหยุดเต้น ร่างบางยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตมองเจ้านายคนใหม่ค้างนิ่ง หัวใจที่เต้นแรงคราวนี้แทบหลุดกระเด็นออกมานอกอก ใบหน้าเธอเกร็งจนเกือบสั่นยามที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรงหน้าในระยะเกือบเผาขน
ยามที่ดวงตาสองคู่สานสบกัน ชั่ววินาทีหนึ่งหัวใจของหญิงสาวก็พลันเต้นรัว ใบหน้าร้อนวูบวาบยามที่ตกอยู่ภายใต้สายตาคมกริบที่จ้องมองมาคู่นั้น หรือเขาจะจำเธอได้!
“อ้าว คุณรุ้งล่ะครับ”
คำถามนั้นผลักเธอจนตกจากหน้าผาแห่งความหวังทันใด
“พะ...พี่รุ้งไม่อยู่ค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบเงอะงะเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง “ดอสมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“คุณชื่อแตมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” เตชิตาตอบเสียงเบาหวิว ขอบตาแสบร้อน อย่าว่าแต่ชื่อเลย หน้าตาเธอเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่เธอควรจะดีใจสิยัยแตม แต่ทำไมนะทำไมมันจุกในหัวใจแปลกๆ
“อืม พอดีผมอยากได้กาแฟสักแก้ว คุณช่วยหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ เหมือนเดิมนะคะ” พูดไปแล้วเธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นคิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ริมฝีปากหยักพึมพำ
“เหมือนเดิม?”
“เออ...แตม เอ๊ย! ดิฉันหมายถึงดอสชอบกาแฟรสชาติแบบไหนคะ”
“อืม ลองชงเหมือนเดิมแบบที่คุณว่าก็ได้นะ” แม้เสียงที่เอ่ยจะปกติเหมือนที่เขาพูดกับทุกคน แต่ก็ฟังห่างเหินไม่เหมือนคนเคยรู้จักกัน แถมประกายตาที่มองมานั่น ทำให้เธอร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกำลังจับไข้
และแม้เขาจะกลับเข้าไปในห้องแล้ว ทิ้งให้เตชิตายังคงยืนนิ่งในท่าเดิม กาแฟรสชาติเหมือนเดิม แต่คนดื่มต่างหากที่เปลี่ยนไป
เขาไม่เหมือนเดิม...
ท่องไว้สิยัยแตมท่องไว้ คนตรงหน้าคือคุณเจ เขาไม่ใช่พี่เจที่เธอรู้จัก ไม่ใช่!
กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟในมือไม่ได้ช่วยดับความว้าวุ่นในอารมณ์ของหญิงสาวให้สงบเหมือนทุกครั้ง กาแฟรสชาติเหมือนเดิมที่เธอจำได้ขึ้นใจว่าเขาเคยชอบดื่ม แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยังชอบรสชาตินั้นอีกไหมนะ
“เชิญครับ”
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ