“เชิญครับ”
เตชิตาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนดันประตูเข้าไปในห้องทำงาน ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เธอได้เข้ามาในห้องนี้แทบนับครั้งได้ แต่เพราะรุ้งลาวัณย์ยังไม่กลับมา จะให้เขารอก็ใช่ที่
“กาแฟของคุณค่ะ”
“วางไว้ตรงนั้นก่อน” เจ้าของห้องเอ่ยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอแทปเลต ทำให้เธอมีโอกาสลอบพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า
วันนี้เขาดูดีและภูมิฐานแปลกตาไปจากวันวานที่เธอเคยพบ ผิวคร้ามดูขาวขึ้นคงเพราะไปเรียนเมืองนอกมาหลายปี ใบหน้าคมคายเฉกเช่นบุรุษแท้ รับกับคิ้วเข้มดก และดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เรียวยาว ที่เวลาจ้องมองมานิ่งๆ ก็ทำให้ใจเธอสั่นไหวได้ทุกครั้ง
ดูเหมือนคนถูกลอบมองจะรู้สึกตัวจึงเงยหน้าจากแทปเลตจ้องมองกลับมา พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะ...ปะเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” คนถูกจับได้ว่าแอบมองเป็นฝ่ายตกประหม่าทำอะไรไม่ถูกเสียเอง
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“คะ” เตชิตาหันขวับ พอเห็นสายตาที่มองมา หัวใจเจ้ากรรมก็พลันเต้นโครมครามด้วยความหวัง
“ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ”
หัวใจไม่รักดีปลิวตกไปที่พื้นอีกหนพร้อมกับความหวังที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะจำกันได้ หรือทักทายกันเหมือนคนที่เคยรู้จัก ไม่ใช่ทำประหนึ่งคนแปลกหน้าเช่นนี้
“ด้วยความยินดีค่ะดอส” หญิงสาวฝืนเหยียดยิ้มทั้งที่หัวใจปวดแปลบ ก่อนรีบหันหลังเดินออกไปจากห้องนั้น
โดยที่ไม่ทันเห็นประกายตาอ่อนแสงที่ทอดมองตามหลังมาเงียบๆ ของคนในห้อง
ให้มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ...
ข่าวการมาของดอสคนใหม่กระจายไปทั่วทั้งโรงแรมในเวลาเพียงไม่นาน สิ่งที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเห็นจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาจนมีสาวๆ จากแผนกอื่นมาแอบด้อมๆ มองๆ ที่หน้าออฟฟิศฝ่ายเซลล์ทั้งวัน
ส่วนฝีมือการทำงานนั้น เตชิตาได้ยินจากรุ้งลาวัณย์ที่เข้าประชุมเช้ากับผู้บริหารมาก็ชมเปราะ และได้ยินว่าผู้จัดการทั่วไป หรือจีเอ็มของโรงแรมที่แสนจะเฮี้ยบยังชื่นชมดอสคนใหม่ บอกว่าเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีฝีมือและมีวิสัยทัศน์ไม่น้อย แว่วว่าทางส่วนกลางก็เล็งตัวเขาในตำแหน่งที่สูงกว่าในอนาคต และการถูกส่งมาทำงานที่นี่ก็คือการฝึกลับฝีมือเพิ่มประสบการณ์นั่นเอง
“น้องแตมพี่ฝากปริ้นท์เอกสารสรุปรายงานการประชุมให้หน่อยนะจ๊ะ พี่ส่งเมลล์ให้แล้ว”
“อ๋อ...นี่ค่ะ แตมปริ้นท์ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“แหม ทำงานไวดีจริง เข้าเล่มให้เรียบร้อยเลย ขอบใจนะจ๊ะ”
เตชิตายิ้มรับคำชม พลางสายตาเหลือบมองไปที่นาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเจ้าลูกชิ้นแล้ว ปกติเธอจะต้องไปรับลูกที่โรงเรียนเอง แต่ตอนนี้มาทำงานเต็มเวลา กว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น ไม่รู้ว่าป่านนี้ตารกาจะไปถึงโรงเรียนลูกชายหรือยัง
“พี่รุ้งต้องการให้ช่วยอะไรเพิ่มไหมคะ”
“ไม่มีจ้ะ พี่รอเสนอเอกสารให้นายเซ็นต์ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“พอดีแตมจะขอไปโทรศัพท์สักครู่น่ะค่ะ”
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ดูทางนี้ให้ แต่อย่านานมากนะจ๊ะ เพราะช่วงบ่ายเรามีประชุมกับดอสทั้งแผนก”
เตชิตารับคำ ก่อนถือโทรศัพท์มือถือเดินออกไป แต่ทว่าตอนที่เปิดประตูออฟฟิศ จู่ๆ ประตูก็ถูกดึงเปิดจากด้านนอกเข้ามาเสียก่อน ทำให้เธอเสียหลักเซถลำไปด้านหน้า
“ระวัง!”
“ว้าย!”
หญิงสาวอุทาน รีบหาที่ยึดเกาะไว้แต่ดันวืดคว้าอากาศ จึงเซล้มไปปะทะกับกำแพงอกของคนตรงหน้าเต็มแรง ยังดีที่มือมือใหญ่ตวัดคว้าเอวไว้ทัน เธอเลยไม่ต้องจับกบที่พื้น แต่ทว่ากลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาแทน
เตชิตารู้สึกราวกับถูกไฟชอร์ตจนชาไปทั้งร่าง ยามที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนคุ้นเคยและโหยหาตลอดมา
“คุณเป็นอะไรไหม...” เสียงเย็นชาห่างเหินกระชากสติเธอกลับมาอย่างฉับพลัน
“ปะ...เปล่าค่ะ ไม่เป็นอะไร ขอโทษนะคะ” เตชิตารีบผละออกจากอ้อมแขนอันอบอุ่นนั่น
เธอรู้สึกโกรธตัวเองค่าที่วันนี้ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย ตั้งแต่ได้พบเขาอีกครั้ง และทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเขาจะจำกันได้หรือไม่ แต่เธอก็ยังจะเสียอาการอยู่ได้
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”
“เดี๋ยว!” หญิงสาวชะงักค้าง
“คุณทำโทรศัพท์ตก” ไม่ว่าเปล่า เขายังโน้มตัวลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือที่พื้นให้ หากแล้วจังหวะนั้นเองภาพหน้าจอก็สว่างวาบขึ้นเป็นรูปเด็กชายหน้าตาน่ารัก ที่ทำให้เจ้าของโทรศัพท์ใจหายวาบรีบคว้าโทรศัพท์ไปจากมือเขาหมับอย่างเสียมารยาท
“เอ่อ...ขอโทษค่ะดอส”
“น้องชายคุณน่ารักดีนะ” แทนที่จะโกรธ อีกฝ่ายกับชมให้เธอใจหายวาบ
“ไม่ใช่น้อ...” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาส่งสายตาและค้อมศีรษะเป็นเชิงขอตัวอย่างสุภาพ ก่อนกดรับสายสำคัญแล้วเดินผละไป
“ครับ วินนี่ กลับจากฝรั่งเศสแล้วเหรอ...”
ชื่อนั้นทำให้เตชิตาสะดุดหูจนชะงักค้าง หัวใจปลิวไปที่ตาตุ่มดวงตาร้อนผ่าวยามที่ มองตามแผ่นหลังกว้างของเขา
วินนี่...วินรดา...
ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ