“แม่ขา...บ้านนี้ของเราหรือคะ”
เด็กหญิงกระซิบถามเหมือนไม่แน่ใจ...เป็นบ้านที่เธอเคยเห็น จากหนังสือบ้านสวยที่ผิดกันไกลกับบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงที่ปลูก อยู่กลางทุ่ง...อยู่ท่ามกลางลมแรงแดดจ้า และบางเวลาก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำใสยามน้ำหลากมา ต้องอยู่แต่บนบ้านดูสายน้ำหมุนคว้างก่อนจะ ลดแห้งไป เหลือแต่โคลนสกปรก
“ก็ของเราน่ะซิ”
เมษาตอบ...แต่ใจของหล่อนยังไม่พอใจเท่านี้ บ้านหลังนี้ยังเล็กเกินไป...ยังไม่ใหญ่โตพอ แต่ได้ขั้นแรกเท่านี้ก่อนก็นับว่ายังดี...ดีกว่า ต้องหอบหิ้วลูกไปซุกอยู่ตามห้องเช่า
“ชอบไหมล่ะลูก”
“เขาให้เราหรือคะ”
“ก็ให้เราอาศัยอยู่” หล่อนตอบไม่ปิดบัง “นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าลูก จะมีความสามารถทำให้เทปของเขาขายได้ไหม...ถ้าเทปขายได้ เราจะได้มากกว่านี้”
“ขิมทำได้”
เธอบอกด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวเอง เธอร้องเพลงได้ไพเราะ มีเสียงที่เหมือนสวรรค์ประทานมาให้ และเธอก็ร้องได้เข้ากับจังหวะ เธอรู้จังหวะของเพลง รู้ตัวโน้ต...เธอได้เรียนมาบ้างจากชั่วโมงพิเศษ ของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังซึมซาบอยู่ในสายเลือดของเธอเสียแล้ว
“ลูกต้องทำให้ดีที่สุดด้วย...ไม่ใช่แค่ทำได้เฉยๆ”
“ค่ะ...แม่”
เธอรับคำ...เธอจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังเสียใจกับเธอเป็นอันขาด พิจิกาสอนลูกให้รู้ในความสามารถของตัวเองและเมษาก็ปลูกฝัง ให้เธอเชื่อมั่นในสิ่งที่เธอมีอยู่อีกด้วย
“ลูกไปพักก่อนนะ...แม่จะต้องไปเจรจาอีก คืนนี้แม่อาจจะกลับ มาดึก แม่เชื่อว่าลูกจะต้องอยู่สุขสบายที่นี่”
ห้องนอนใหญ่กว้าง เตียงนอนใหญ่และฟูกที่นอนนุ่มหนากับผ้าปูและปลอกหมอนสวยเข้าชุดกัน...ยังจะเครื่องทำความเย็นและกลิ่นหอมรื่น มันเหมือนสวรรค์เมื่อเด็กหญิงโถมตัวลงบนที่นอนแล้วกลิ้งเกลือก อยู่เช่นนั้น ดูเหมือนเธอจะลืมเสียสนิทว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีก เธอชอบที่นี่ ชอบมาก...และยิ่งเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู เห็นเสื้อผ้าแขวนอยู่ในตู้ เธอก็เบิกตากว้าง มันดูงดงามเหลือเกิน
“แม่ขา...เหมือนฝัน” เธอร่ำร้องดวงตาวับวาว และเธอ ก็เขย่งปลายเท้า หยิบชุดหนึ่งออกมาทาบกับลำตัวแล้วหมุนตัวเอง หน้ากระจกด้วยท่าของนักเต้นระบำ “ขิมใส่ชุดนี้ได้ไหมคะ”
“ได้ซิลูก...มันของลูกทั้งนั้น” เมษาอ่อนโยนเสมอกับลูกสาว ของหล่อน พิจิกาเป็นเหมือนดวงแก้วล้ำค่าของหล่อน “แม่จะช่วย”
หล่อนมองดูเด็กหญิงเบื้องหน้าด้วยความพอใจอย่างลึกซึ้ง เด็กหญิงในกระโปรงชุดสวยหวานสีฟ้าของผ้าไหมแก้ว และลูกไม้สีขาวลวดลายละเอียดทำให้พิจิกาดูงามยิ่ง
“เหมือนนางฟ้าค่ะ”
เสียงอีกเสียงแทรกขึ้นมา แล้วทั้งแม่ลูกก็หันมาทางประตู ที่เปิดออกอย่างเงียบกริบ...หญิงวัยยี่สิบเจ็ดยืนอยู่ตรงนั้น แต่งตัวเรียบๆ ด้วยเสื้อขาวกระโปรงสีน้ำเงิน ผมเกล้าเรียบ
“พิมพา...ดิฉันเป็นแม่บ้านของบ้านนี้ และทางเสี่ยมอบให้ดิฉัน มาเป็นคนสนิทของคุณเมษา และคอยดูแลคุณขิม”
เมษาทำตาโต...ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะระรื่น “คนของฉันงั้นหรือแน่ใจนะจ๊ะ”
“ค่ะ...เป็นหน้าที่ของดิฉัน” พิมพาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ยื่นมือ มาจับแขนพิจิกาเอาไว้ “ดิฉันจะดูแลคุณขิมเอง คุณจะต้องไปงานคืนนี้รับรองว่าดิฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
****************************************************
พิจิกาได้เรียนหนังสือแต่ไม่ใช่จากโรงเรียน มีการจ้างครู มาสอนพิเศษที่บ้านเพื่อจะให้ได้เตรียมตัวพร้อมสำหรับ การสอบเทียบ...เสี่ยเจ้าของห้างแผ่นเสียงให้ความเห็นว่า เธอมีสติปัญญาพอเพียงที่จะเรียนเอาเอง และนอกจากนั้น เขาก็ยังให้เธอได้เรียนดนตรีเพิ่มเติม
“เสี่ยเป็นคนหัวก้าวหน้า”
ทนายหนุ่มคนหนึ่งบอกกับเมษา...เขาชื่อทรงวุฒิ เขาถูกมอบหมายเข้ามาอธิบายเรื่องสัญญาที่จะผูกมัดพิจิกาเอาไว้ และเมษา ก็พอใจทรงวุฒิมาก ดูเขาเป็นคนหนุ่มรื่นเริงแจ่มใส แม้วัยเขาจะอ่อนกว่าหล่อนถึงเก้าปี...ทรงวุฒิจบนิติศาสตร์เมื่ออายุสิบเก้า เขาเรียนเก่งมาก แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งออกมาอีกด้วย ทรงวุฒิเรียนต่อ เนติบัณฑิตและหวังว่าเขาจะรุ่งโรจน์ในงานด้านนี้...เขาทำงานให้กับเสี่ยมาได้ถึงสองปี ด้วยความสามารถและตรงไปตรงมา...เมื่อเขาถูกเลือก ให้มาเป็นที่ปรึกษาของเมษา หล่อนก็บอกกับเขาหน้าตาเฉย
“ฉันอยากจ้างคุณด้วยเงินของฉัน...มาทำงานให้ฉันดีกว่า วันข้างหน้าลูกสาวฉันจะต้องเป็นนักร้องดัง แกต้องมีมือที่เก่งอยู่ประสานทางด้านหลัง...คุณมีแววที่ฉันเห็น”
ทรงวุฒิไม่ได้ลังเลเลย เขาไม่สนใจกับเงินเล็กน้อยที่เมษา หาให้เขาได้ แต่เขาพอใจตัวหล่อน...การได้เห็นหล่อนในครั้งแรกก็ทำให้เลือดลมในกายของเขาร้อนแรงและฉีดพล่าน เขาอยากอยู่ใกล้หล่อน ทุกขณะนับจากได้พบกันแล้ว เขารู้จังหวะชีวิตของตัวเองอีกด้วยว่าควรจะก้าวเดินไปทางไหน...เขามีสายตาที่แยกแยะได้ออกมาว่าอะไรเป็นอะไร และเขาก็เห็นแววศิลปินจากเด็กหญิงตัวน้อยนิด...ไม่ใช่เฉพาะเสียงของ พิจิกา แต่รูปโฉมของพิจิกาจะส่งให้เธอไปยืนได้แถวหน้าถ้าหากทุกอย่างพร้อม...ทรงวุฒิทำงานให้กับเสี่ยมาสองปี เขาไม่ได้เรียนมาทางด้านโฆษณา แต่เขาก็เข้าใจถ่องแท้ถึงหัวใจของการโฆษณา และเขาศึกษามันมาอย่างละเอียดยิบ เขาอาจจะอยู่ในวงการนี้ได้ต่อไป เสี่ยมีโครงการดีๆ ในสมองอีกมาก แต่ตอนนี้เสี่ยก็ต้องรอเวลา...มรดกกองกลางนั่นเองยังไม่ได้ถูกแบ่ง เสี่ยมีพี่น้องหลายคนที่กินอยู่ในกงสี หากได้แบ่งเป็นส่วนสัดเมื่อใด ทรงวุฒิเชื่อว่าคนอย่างเสี่ยจะต้องยืนผงาดเป็นอินทรีตัวใหญ่...ไม่ใช่แค่นกกระจอกตัวเล็กกับรังน้อยนิดเหมือนเช่นเดี๋ยวนี้
เสี่ยกำลังเติบกล้าไปในเส้นทางของดนตรีทั้งที่เสี่ยไม่รู้เรื่องดนตรีเลยสักนิด เสี่ยร้องเพลงไม่เป็น เล่นดนตรีไม่ได้ และไม่รู้จักเครื่องดนตรี สักอย่าง แต่เสี่ยก็รักเสียงเพลง ชอบฟังเพลง บอกได้ในแรกฟังเพลง ว่านักร้องคนไหนจะอยู่รอดหรือคนไหนจะไป...เหมือนเมื่อแรกที่เสี่ย ได้ยินเสียงใสๆ ของพิจิกาจากตลับเทป...เสี่ยดีดนิ้วแรงๆ แล้วยิ้มแจ่มใส พร้อมกันนั้นเสี่ยก็มีโครงการหลายอย่างสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กพร้อมกับทุ่มเทแบบว่าเท่าไหร่เท่ากัน เขาเสียอีกถึงจะมั่นใจก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเสี่ยเสี่ยงออกจะมากเกินไปกับเงินลงทุน “จะทำการใหญ่ต้องลงทุน ต้องเสียไปบ้าง ก่อนจะได้...ไม่มีใครได้โดยไม่เสียอะไรเลย...แล้วคนที่ไม่เคยเสียอะไรเลยก็ไม่เคยจะได้” พูดจบแล้วเสี่ยก็หัวเราะฮ่าๆ ชอบอกชอบใจ...เสี่ยสนับสนุนเขา ให้เข้ามาทำงานให้เมษาด้วยซ้ำ “ไปทำงานให้คุณเมเถอะ แกเป็นแม่ที่รักลูกมากๆ อั๊วอายุ ปูนนี้แล้ว มีลูกแล้วหลายคนยังรักลูกได้ไม่เท่าแกรักยัยขิม เรื่องเงินเดือนแกให้ลื้อได้เท่านั้น แต่อั๊วจะเพิ่มให้เอง ท่าทางแกชอบลื้อเหมือนกันนะ” นั่นทำให้ทรงวุฒิขวยเขิน เพราะเ
“แม่ขา...บ้านนี้ของเราหรือคะ”เด็กหญิงกระซิบถามเหมือนไม่แน่ใจ...เป็นบ้านที่เธอเคยเห็น จากหนังสือบ้านสวยที่ผิดกันไกลกับบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงที่ปลูก อยู่กลางทุ่ง...อยู่ท่ามกลางลมแรงแดดจ้า และบางเวลาก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำใสยามน้ำหลากมา ต้องอยู่แต่บนบ้านดูสายน้ำหมุนคว้างก่อนจะ ลดแห้งไป เหลือแต่โคลนสกปรก “ก็ของเราน่ะซิ” เมษาตอบ...แต่ใจของหล่อนยังไม่พอใจเท่านี้ บ้านหลังนี้ยังเล็กเกินไป...ยังไม่ใหญ่โตพอ แต่ได้ขั้นแรกเท่านี้ก่อนก็นับว่ายังดี...ดีกว่า ต้องหอบหิ้วลูกไปซุกอยู่ตามห้องเช่า “ชอบไหมล่ะลูก” “เขาให้เราหรือคะ” “ก็ให้เราอาศัยอยู่” หล่อนตอบไม่ปิดบัง “นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าลูก จะมีความสามารถทำให้เทปของเขาขายได้ไหม...ถ้าเทปขายได้ เราจะได้มากกว่านี้” “ขิมทำได้” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวเอง เธอร้องเพลงได้ไพเราะ มีเสียงที่เหมือนสวรรค์ประทานมาให้ และเธอก็ร้องได้เข้ากับจังหวะ เธอรู้จังหวะของเพลง รู้ตัวโน้ต...เธอได้เรียนมาบ้างจากชั่วโมงพิเศษ ของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังซึมซาบอยู่
รถยนต์คันนั้นแล่นจากไป ทิ้งฝุ่นให้ปลิวฟุ้งขึ้นมาจาก ท้องถนนที่เป็นเพียงทางโรยกรวดทับลงไปบนลูกรัง...เมียหนึ่ง ลูกสาวอีกหนึ่งได้ไปจากชีวิตของเขาแล้ว...โอมยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ริมหน้าต่าง เขาอยากจะลุกขึ้นแต่แข้งขาของเขาก็ไม่ได้เป็นใจ เอาเสียเลย มันยังอ่อนเปลี้ย ต้องรวบรวมกำลังใจอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นได้...เขาจะต้องยืนหยัดต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะดี หรือจะร้ายแค่ไหน...เขาก็ยังต้องสู้กับชีวิต การจากไปของ คนสองคนไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าชีวิตของเขาจะต้องหยุดนิ่ง เพียงเท่านี้ และเมื่อเขาออกมาถึงประตู ก็มีรถอีกคันแล่นสวนเข้ามา เป็นรถสองแถวที่รับเด็กนักเรียนมาส่งบ้าน...ครูสาวท่าทางเรียบร้อย ลงมาจากรถก่อน ดูหล่อนมีจิตวิญญาณเป็นครูตั้งแต่เส้นผมไปจรด ปลายเท้านั่นทีเดียว...ดวงหน้าของหล่อนเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางใดๆ โดยสิ้นเชิง โอมรับลูกชายมาจากวงแขนของหล่อน ลูกชายเขาอายุสี่ขวบกว่าเกือบจะห้าขวบ...อายุเท่านี้แต่ลูกชายเขาได้กำพร้าแม่ไปแล้ว เนื้อตัวตันๆ นั่นทำให้อ้อมแขนของเขาหนักอึ้ง คางสากๆ ของเขาถูไถกับแก้มนิ่มเนื้อของเด็กชายจนแกเบือนหน้าหนี หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปหมด
“พ่อขา” เสียงเรียกนั้นเบาแผ่วเหมือนลังเล เหมือนไม่แน่ใจ...แม่ไม่ให้ เธอเข้ามาหาเขา แต่เหมือนในจิตใต้สำนึกลึกๆ บอกว่าเธอควรจะเข้ามาที่นี่ มาเพื่อลาเขาให้ถูกต้องหลังจากที่เธอได้เป็นต้นเหตุของเรื่องบ้านแตกหนนี้...เธอเป็นคนเริ่มต้นกระตุ้นแม่ให้เห็นด้วยที่จะให้เธอเป็นนักร้อง ได้อัดแผ่น แม่ผู้เฝ้ารอคอยมานานนักตั้งแต่ในชีวิตของตัวเอง แต่แม่ไม่เคยมีโอกาสดังว่านั้น แม่เคยเป็นนักร้องตามร้านอาหาร...แม่มีเสียงดี แต่แม่ก็โชคร้าย ...พวกเขาบอกให้แม่รอ...รอ...รอ แม่ก็หลงเชื่อแล้วสุดท้าย มันก็ไร้ค่า แม่เจอพ่อของขิมเข้าเสียก่อน แม่ก็เลยแต่งงาน แล้วแม่ก็ไม่มีโอกาสเหลือเลย แม่ต้องมาจมอยู่ที่นี่กับไร่แคบๆ วัวอีกจำนวนหนึ่ง แม่เป็นเมียเกษตรกรจมปลักอยู่กับความยากจน… “ขิมจะไปแล้ว” เธอเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา...จับมือของเขามากุมเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเธอ ให้กำเนิดชีวิตของเธอ ที่โรงเรียนแม่ชีนั้นสอนเธอในสิ่งดีๆ มากมาย และเธอก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาด ผลการเรียนของพิจิกาอยู่ในเกรดสี่เสียเป็นส่วนมาก แต่เรื่องร้องเพลงก็เป็นสิ่งที่เธอ ไม่อยากจะรอคอ
“แม่จะไปกับหนูจ้ะ” น้ำเสียงนั้นเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกิน แล้ววงแขนเรียวก็โอบรัด ร่างของเด็กหญิงอายุสิบสองเอาไว้...มีความรักใคร่อย่างลึกซึ้งสอดแทรก แต่สำหรับเขาที่มองดูอยู่ห่างๆ รู้ได้ลึกซึ้งและเท่าทันว่าเธอไม่เพียงแต่รัก แต่หล่อนหลงลูก...เหมือนพิจิกาจะเป็นชีวิตจิตใจ และเป็นดวงวิญญาณทั้งหมดของเธอทีเดียว “ไปเสียจากที่นี่...แม่เบื่อที่นี่เต็มทน” หล่อนกวาดตาไปรอบๆ แววตาของหล่อนบ่งบอกและหล่อนก็ทำให้เขาไหวสะท้าน...สิบสองเกือบจะสิบสามปีที่เขาได้เรียนรู้ว่าเมื่อความรักจืดจางลง มันก็นำมาแต่ความเบื่อหน่าย เขายังรักหล่อนเสมอ...ยังรัก ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย แต่หล่อนเหมือนจะไม่เหลือความรักยิ่งใหญ่นั้นเอาไว้อีก “ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น…บ้านนอกคอกนาแท้ๆ” “เป็นอันว่าคุณจะไป” “ใช่” คางของหล่อนเชิดขึ้น หล่อนเพิ่งจะอายุสามสิบปีนี้ ยังสาวพริ้งสำหรับการมีลูกสาววัยสิบสอง...อีกหน่อยเมื่อพิจิกาเป็นสาว เมษา ก็จะเป็นเหมือนพี่สาวมากกว่าแม่ของเธอแน่นอน “ลูกของเมควรจะได้รับสิ่งดีๆ ลูกมีโอกาสก้าวหน้า