“นั่นไงน้องสาวฉัน”
“ว่าไงนะ”
เปรมินทร์ถามก่อนจะหันกลับไปจ้องบนเวทีอีกครั้งอย่างไม่ต้องการให้เสียเวลาพร้อมเอ่ยต่อ
“ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลย”
“อ๋อ ไม่ใช่คนที่นายเคยเจอหรอก นี่น้องสาวคนเล็ก”
“น้องสาวคนเล็กงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มหันมามองเพื่อนอีกครั้งแล้วถามย้ำ
“คนไหน”
ตอนนี้กิตติกรเองก็หันมามองเพื่อนเช่นกัน เขายิ้มกว้างขณะตอบ
“คนซ้ายมือ คนที่อยู่ทางซ้ายมือของเราน่ะ”
คำบอกของเพื่อนทำให้เปรมินทร์เหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างลืมตัว นางฟ้าคนนั้นคือน้องสาวคนเล็กของเพื่อนสนิทเขาเอง เขาได้รู้จักกิตติกรตอนเรียนที่อเมริกาแล้วอยู่คณะเดียวกัน การเป็นคนไทยด้วยกันทำให้ทั้งคู่ปรึกษาช่วยเหลือกันและกันระหว่างเรียนมาตลอด เปรมินทร์รู้เพียงว่ากิตติกรมาจากครอบครัวผู้ดีเก่าจากนามสกุลของเขาเท่านั้น ด้วยความที่ทั้งสองคบหากันด้วยใจมากกว่า ก็เลยไม่มีการพูดคุยหรือถามไถ่เกี่ยวกับประวัติครอบครัวของกันและกันมากนัก ต่างก็รู้เท่าที่อีกฝ่ายบอกหรือไม่ก็พูดขึ้นในบางครั้ง เขารู้ว่ากิตติกรมีพี่น้องนับรวมตัวเองด้วยกันสี่คน เป็นผู้ชายสองผู้หญิงสอง รายละเอียดอื่นเขาไม่สนใจ ก็เหมือนกับกิตติกรที่รู้แค่ว่าเปรมินทร์เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้านายทางเหนือ
ชายหนุ่มหันกลับไปมองบนเวทีอีกครั้งด้วยท่าทางที่ปกปิดได้อย่างมิดชิด ไม่มีทีท่าใดๆ ให้สังเกตได้ แม้ว่าในใจจะกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกระรื่นอย่างแปลกประหลาด ทั้งสมองก็เริ่มสนใจนึกอยากทำความรู้จักน้องสาวคนสวยของเพื่อนขึ้นมา
“น้องนายสวยดีนะ”
“หืม?”
เมื่อกิตติกรทำท่าทางสะดุดใจกับคำพูดของเขาเปรมินทร์จึงรู้ตัวว่าพูดตรงเกินไป
“ฉันหมายถึงรำสวย”
“นายดูเป็นด้วยเหรอ ถึงบอกได้ว่าสวย”
กิตติกรแซวเพื่อนขำๆ ทั้งที่รู้ดีว่าเปรมินทร์กำลังหมายถึงอะไร เพราะผู้ชายที่ไม่เคยเสพนาฏศิลป์หรือสัมผัสถึงแก่นความงดงามคงไม่เห็นอะไรโดดเด่นไปมากกว่าหน้าตาของนางรำ
“เอาน่า ฉันเคยดูฟ้อนมาลัยมาก่อนก็แล้วกัน ถึงพูดได้”
“จริงเหรอ”
“งั้นสิ”
เปรมินทร์ตอบเพื่อนอย่างหนักแน่นจริงจัง กิตติกรจึงยอมพยักหน้าเข้าใจ
“ก็คงจริง ไม่งั้นนายคงไม่รู้ว่านี่เรียกว่าฟ้อนมาลัย”
การแสดงจบลงและได้รับเสียงปรบมือดังลั่นเช่นที่เปรมินทร์เคยได้ดูฟ้อนมาลัยชุดนี้ และเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกอิ่มเอมกับการรับชมยิ่งนัก
“ฉันจะรอดูการแสดงของสมาคมของเจ้าแม่นายก่อน แล้วอีกสักพักจะไปหาน้องก้อยตรงที่นัดเจอกัน นายจะกลับพร้อมฉันเลยหรือเปล่า มีธุระอะไรต่ออีกไหม ถ้าว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
กิตติกรชวนคุยขณะที่การแสดงชุดต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น
“ฉันก็อยากคุยกับนายนานกว่านี้อีกหน่อยเหมือนกัน แต่มีนัดคุยกับลูกค้าตอนบ่ายโมง ขอโทษทีนะ แล้วค่อยโทรนัดกันอีกทีแล้วกัน”
“งั้นเหรอ...เสียดายว่ะ อุตส่าห์บังเอิญมาเจอในวันว่างของฉันแท้ๆ แล้วนี่นายจะอยู่กรุงเทพฯ ถึงอาทิตย์หน้าหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันต้องรีบบินกลับคืนนี้เลย”
เปรมินทร์บอกพร้อมกับตบไหล่อีกฝ่าย
“เฮ้อ...งั้นก็ช่างเถอะ เอาไว้คราวหน้าก็ดีเหมือนกัน เพราะวันนี้ยังไงฉันก็ไปกินข้าวกับนายในที่ที่มีอาหารตาเยอะแบบหนุ่มโสดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะต้องพาน้องก้อยไปด้วย ไว้สะดวกกว่านี้ก็ดีเหมือนกัน”
ในขณะที่กิตติกรบอกแบบนั้นเปรมินทร์ก็ชักเสียดาย แม้จะคิดว่าตนเองไม่ได้สนใจน้องสาวเพื่อนมากมาย นอกจากชอบมองของสวยงามตามประสาหนุ่มโสด แต่พอเห็นโอกาสที่อาจได้ทำความรู้จักกันหลุดมือก็นึกเซ็งในใจอยู่เหมือนกัน
แต่ก็ดีแล้ว ผู้หญิงที่เป็นน้องของเพื่อนไม่เหมาะที่จะคบหา เพราะเปรมินทร์ยังไม่ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ชีวิตคู่’ สาวๆ ก็เพียงสีสันสำหรับเขา ยอมรับว่าเสน่ห์อันล้นเหลือของเขามักดึงดูดผู้หญิงเสมอ ฉะนั้นการอยู่ห่างๆ โดยไม่รู้จักกับน้องสาวของเพื่อนก็ถือว่าดี หากพบกันแล้วเขาเผลอดีด้วยจนเธอมาหลงเข้า เขากับเพื่อนจะมองหน้ากันลำบาก
“ถ้าฉันลงมากรุงเทพฯ อีกฉันจะโทรหานาย นายเองก็เหมือนกัน ขึ้นเหนือก็อย่าลืมโทรหาฉันด้วย”
“โอเคเพื่อน”
สองหนุ่มหล่อต่างตบไหล่กันและกันยืนยันคำมั่น ขณะที่คนรอบข้างหลายคนสนใจการแสดงบนเวที บางคนก็มองหนุ่มหล่อบาดใจสองคนที่ดูดีกว่าพระเอกหรือนายแบบทั่วไปด้วยซ้ำ รวมทั้งนักข่าวของนิตยสารฉบับหนึ่งที่มาเก็บภาพบรรยากาศของงานแล้วบังเอิญรู้ว่าสองหนุ่มเป็นใคร ก็เก็บภาพทั้งคู่เอาไปประกอบเพิ่มความน่าสนใจในคอลัมน์อีกด้วย
=====
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให