ทันทีที่ซ่งเฉินซีมาถึง เขาสั่งให้สาวใช้ทุกคนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมปลาบกวาดมองใบหน้าพวกนางเป็นรายตัว กระทั่งไปหยุดยังสาวใช้ที่เขาจำได้ว่า นางคือคนที่ยกสุรามาให้เขาและเฟิ่งเสวียนจีก่อนเกิดเรื่อง “พ่อบ้านเจิง สาวใช้คนนั้นเข้ามาทำงานที่จวนตั้งแต่เมื่อไหร่” “เรียนคุณชายใหญ่ นางเข้ามาทำงานที่จวนได้ราวครึ่งเดือนแล้วขอรับ” “พาตัวนางไปสอบสวน” ซ่งเฉินซีไม่ถามต่อให้มากความ เอ่ยสั่งองครักษ์ให้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปยังคุกของจวนด้วยท่าทางสงบนิ่ง ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายพลันบังเกิด สาวใช้คนที่เป็นเป้าหมายลุกพรวดขยับขาออกวิ่งด้วยความรวดเร็ว “จับตัวนางไว้! ห้ามให้หนีไปได้เด็ดขาด!” เสียงตะโกนคำสั่งของซ่งเฉินซีก้องกังวาน องครักษ์มือดีหลายคนพุ่งเข้าล้อมสาวใช้ ผู้ต้องสงสัยสีหน้าเคร่งเครียดสายตาคมวาวราวอสรพิษ นางสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุม หยิบมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อกวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง คมมีดเฉียดแก้มหนึ่งในองครักษ์ไปเพียงคืบ เสียงคมอาวุธกระทบกันดัง เคร้ง! องครักษ์อีกคนใช้ดาบสกัดไว้ทัน คมดาบและมีดสั้นเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟเล็กๆ ความตึงเครียดปะทุขึ้นจนลมหายใจของทุกคนถี่รัว “ใครส่งเจ้า
“อ๊ะ ขออภัยเพคะท่านอ๋อง สงสัยว่าซินเอ๋อร์จะเมาแล้ว “เสียงหวานติดยานคางเล็กน้อยฟังแล้วเหมือนคนเมาจริงๆ คนตัวโตลอบยกมุมปากสีหน้าอ่อนลงหลายส่วน หาได้ถือโทษชายาตัวน้อย แต่กลับพอใจที่นางเป็นฝ่ายเอนกายมาพิงอกกว้างของเขา นิ้วแกร่งยกขึ้นมาเคาะหน้าผากมนด้วยความเอ็นดู ทำทีเป็นเอ็ดนางอย่างไม่จริงจังนัก “รู้ว่าคออ่อนแต่ยังดื่มเยอะ คอยดูเถอะกลับถึงตำหนักข้าจะลงโทษพระชายาเสียให้เข็ด” มู่ซูซินที่โดนเขาหยอกกลับเขินจนตัวแทบแตก ที่บอกว่าจะลงโทษเสียให้เข็ดหมายความว่าอย่างไร… ท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่เป็นที่สังเกตของใครหลายคน บรรดาหญิงสาวต่างลอบมองด้วยสายตาริษยา แม้ว่าฉีอ๋องจะน่ากลัวแต่รูปโฉมกลับหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ กระทั่งองค์รัชทายาทยังรูปงามสู้ไม่ได้ ยามเห็นฉีอ๋องมีสีหน้าอ่อนโยน พวกนางหลายคนถึงกับใจสั่น “ฉีอ๋องช่างน่าเสน่หาเหลือเกิน” ผิดกับเฟิ่งหวังเหว่ยที่กำจอกสุราในมือแน่นจนเกิดเสียงแตกร้าวยามเห็นภาพบาดตา เกิดความไม่ยินยอมอยู่ลึกๆในอก ดวงเนตรอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เป็นนิจเปลี่ยนเป็นเย็นชา เหลือบมองไปทางเสนาบดีคลังแวบหนึ่ง ส่วนผู้ที่เป็นเป้าสายตา หลังคาดโทษชายาตัวน้อยเสร็จ มือแกร่งก็ยกกาสุราขึ้นมารินให
ที่นั่งภายในหอจัดเลี้ยงถูกกำหนดไว้ตามสถานะ องค์รัชทายาทเฟิ่งหวังเหว่ยจึงได้นั่งยังตำแหน่งสูงสุด จากนั้นจึงลดหลั่นกันลงมา เสนาบดีคลังฉู่ซิวหมิงและฮูหยินเอกก็มาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน หากปราศจากเงาของบุตรชายและบุตรสาว นอกเหนือจากองค์รัชทายาทและฉีอ๋องที่เป็นจุดเด่นในงานเลี้ยงวันนี้ พระชายาเอกฉีอ๋องก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกจับตามอง ผู้ที่มาร่วมงานต่างรอคอยว่าเมื่อไหร่มู่ซูซินจะถอดผ้าคาดปิดหน้าออก ทว่าจนแล้วจนรอดนางยังคงนั่งนิ่งแผ่นหลังเหยียดตรงสง่างาม ให้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้นมีชีวิต ในที่สุดช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง เมื่อองค์หญิงห้าเดินเข้างานมาพร้อมคนสกุลไป๋ หลังทักทายเจ้าภาพตามมารยาท นางแสร้งถามหามู่ซูซินกับพระเชษฐาที่กำลังยืนสนทนาอยู่กับซ่งเฉินซี “ไม่ทราบว่าวันนี้ฉีอ๋องพาพระชายามาด้วยรึเปล่าเพคะ น้องอยากทำความรู้จักและสร้างความคุ้นเคยกับพี่สะใภัเสียหน่อย ฉีอ๋องคงไม่ว่าอะไรน้องกระมัง” ร่างสูงมองน้องสาวนิ่งๆอยู่ชั่วอึดใจ ทำเฟิ่งเจียซิ่วรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมา “งานสำคัญขนาดนี้ข้าย่อมพานางมาด้วย ตอนที่เจ้าไปทักทายนางก็ทำตัวให้เหมาะสม…จำให้มั่นว่านางคือชายาของข้า” องค์หญิงห้าชะงักเ
หลังเสวยมื้อเย็นที่เรือนอู่ถงเสร็จสรรพ เฟิ่งเสวียนจีก็ตีมึนขอนอนค้าง ณ เรือนของชายาหน้าตาเฉย เจ้าของเรือนหมดคำจะกล่าว จำต้องปล่อยให้คนตัวโตเอาแต่ใจนอนค้างกับนางอย่างที่เขาประสงค์ โดยมีข้อตกลงว่า ห้ามเอาเปรียบหรือล่วงเกินนางอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ มิฉะนั้นแล้วนางจะย้ายไปนอนที่อื่น ขอแค่ให้ได้นอนกอดนางเฟิ่งเสวียนจีจึงยอมรับปากโดยละม่อม เดี๋ยวเขาค่อยไปตะล่อมขอจุมพิตนางอีกที ลี่มี่ที่ได้ยินความคิดสามีของนางทาส ยกอุ้งเท้าฟูนุ่มขึ้นมาปิดหน้าด้วยความละเหี่ยใจ มันไม่เข้าใจว่าไยฉีอ๋องถึงต้องท่ามาก หากการได้นอนกอดซินเอ๋อร์แล้วหลับสบาย ก็แค่บอกนางไปตรงๆเสียก็สิ้นเรื่อง แล้วที่ชอบล่วงเกินมู่ซูซินอยู่เนืองๆ นั่นเป็นเพราะตนโปรดปรานนาง แต่กลับชอบอ้างว่าถูกฝ่ายหญิงล่อลวง แมวภูตอย่างมันเห็นแล้วปวดหัว เมี้ยว! ราวยามเหม่า (05:00-06:59) สาวใช้ก็มาส่งเสียงปลุกเจ้านายอยู่หน้าห้อง ด้วยว่าวันนี้มู่ซูซินต้องเตรียมตัวไปงานวันคล้ายวันเกิดของอัครมหาเสนาบดีซ่งเถียนเวย เสื้อผ้าหน้าผมจึงต้องเป๊ะ ตามที่มู่ซูซินชอบพูด อีกทั้งวันนี้ถือเป็นวันเปิดตัวพระชายาเอกฉีอ๋องอย่างเป็นทางการ จะทำให้ฉีอ๋องขายหน้าไม่ได้เด็ดขา
ร่างนุ่มนิ่มดิ้นยุกยิกไม่เป็นสุขอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ใบหน้างามบึ้งตึงฉายชัดว่าไม่พอใจที่ถูกเขาอุ้มไปมาทำราวกับนางเป็นตุ๊กตามีชีวิต “ท่านอ๋องปล่อยซินเอ๋อร์ลงก่อนเถิดเพคะ ใกล้แค่นี้ซินเอ๋อร์เดินเองได้จะทรงอุ้มทำไมล่ะเพคะ” นางไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย แล้วเรือนตัวเองมีทำไมไม่นอน จะหอบสังขารมาถึงเรือนของนางทำไม เป็นโรคขาดความอบอุ่นหรืออย่างไรไม่ทราบ ทีตอนก่อนแต่งตั้งใจกำจัดนางทิ้ง แต่พอมาตอนนี้กลับติดนางหนึบ คิดแล้วปวดหัวกับท่านอ๋องยุคจีนโบราณนี่เสียจริง! ยมทูตจอมสะเพร่านั่นอีกตน จะส่งนางมาเกิดในยุคนี้ก็ไม่รู้จักบอกกันก่อน ลิลลี่หงุดหงิด! อาจเป็นเพราะมู่ซูซินมีระดูจึงทำให้นางอารมณ์ขึ้นง่าย ภายในใจกำลังก่นด่าคนตัวโตเสียๆหายๆไปหลายคำ ลามไปถึงยมทูตตัวต้นเหตุ ฮัดชิ้ว! ยมทูตเจ้ากรรมจามออกมาเสียงดังขณะเดินทางไปรับวิญญาณที่เพิ่งหมดบุญ สาวใช้สองลี่ที่เดินไปยกของว่างและชาสมุนไพร มาให้เจ้านายและเหวินกงกงกินเล่นระหว่างเดินหมาก ยืนนิ่งมองฉีอ๋องอุ้มชายาเดินเข้าเรือนนอนด้วยสีหน้างวยงง “ท่านอ๋องกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทรงอุ้มพระชายาเข้าห้องไปทำอะไรน่ะ” อย่าบอกนะว่ากลับมาถึงก็จะลวนลามพระชายาอย่างที
หยวนเลี่ยงที่กำลังรับมือชายชุดดำอีกคน ชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อได้ยินถ้อยคำจากน้ำเสียงคุ้นหู เป็นเหตุให้เขาพลาดถูกกระบี่แทงเข้าที่ไหล่ขวาจนดาบในมือหลุดร่วง ก่อนจะถูกชายชุดดำซัดฝ่ามือเข้าไปกลางลำตัว หยวนเลี่ยงกระอักเลือดคำโตออกมาทันที ชิ้ง! คมกระบี่สีเงินวาววับพาดอยู่บนลำคอของหยวนเลี่ยงต่อจากนั้น “อย่าขยับถ้าไม่อยากตาย” ถานหนิวถือโอกาสตอนที่ร่างสูงในชุดสีดำที่ตนปะทะด้วยเหลือบมองหยวนเลี่ยง เขาขยับตัวใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่รวดเร็วหลบหนีจากตรงนั้น ร่างสูงในชุดสีดำดึงผ้าปิดหน้าช่วงล่างลง รอยยิ้มเย็นประดับบนใบหน้าหล่อเหลา คล้ายถูกใจที่ถานหนิวเผ่นหนี “คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ ไม่เจียมตัว!” สิ้นคำร่างสูงตระหง่านพลันแวบหายไปจากตรงนั้นราวภูติผี เคลื่อนที่รวดเร็วไล่ตามถานหนิว เปล่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายประหนึ่งจอมมารกำลังเย้ยหยัน “ฮ่าๆๆๆ วิ่งช้าแบบนี้ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกสัตว์ร้าย” การไล่ล่าเกิดขึ้นได้เพียงสองเค่อ ทว่าสำหรับผู้ถูกล่ากลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นวันๆ เรี่ยวแรงของถานหนิวถดถอยลงเรื่อยๆ การใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่เพื่อหลบหนีช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เปิดโอกาสให้ผู้ไล่ล่าเริ่มโจมตีจากระยะ