คนถูกสอนสั่ง ฟังวาจาของคนที่อ่อนวัยกว่า นี่เธอต้องให้เด็กอย่างเขามาสั่งสอนแล้วหรือ
“ฉันจะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งนั้น”
“งั้นผมจะหย่ากับคุณ”
อารดาเม้มปากแน่น มองคนตรงหน้าราวกับว่าเธอเป็นเพียงแมวตัวน้อยๆ แล้วเขาคือราชสีห์ตัวใหญ่แต่วัยขบเผาะ
“มาแต่งงานกับฉันเพราะอะไรกันแน่นะ”
“สักวันหนึ่งผมจะบอก ผมไม่ได้ต้องการแค่ภรรยา แต่ต้องการผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวและมีหัวใจโอบอ้อมอารี จากที่ย่าพร้อมสาธยายความดีงามของคุณให้ผมฟัง ผมไม่ลังเลเลยที่จะยอมแต่งงาน เพราะฉะนั้น อย่าทำให้ผมผิดหวังสิ” มิใช่เพียงร้องขอ แต่ปลายนิ้วแข็งแรงเลื่อนไปหาปลายคางของสาวเจ้า บีบมันเบาๆ แต่ถูกอารดาปัดทิ้ง
“ฉันจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร”
“งั้นพรุ่งนี้เราไปหย่ากัน และคุณ...จะไม่ได้เงินสักบาทจากย่าพร้อม”
“นี่รู้เหรอ?” เธอประหลาดใจที่เขารู้เรื่องนี้ด้วย
“ก็...พอจะรู้มาบ้าง ไม่มีผู้หญิงที่ไหนยอมแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเจอหน้าหรอก ถ้าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาข้องเกี่ยว”
เธอมุ่นคิ้วเมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้น
“แอบฟังฉันคุยกับคุณพ่อสินะ”
“เปล่าแอบฟัง แค่เดินไปแถวนั้นแล้วได้ยินเข้าพอดี”
อารดาประหลาดใจล้นเหลือ ไม่กี่ชั่วโมงที่ผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าความลับของเธอจะไม่เป็นความลับหลายเรื่องเลย
ศรัณมองผู้หญิงอย่างอารดา หล่อนไม่เหมือนผู้หญิงที่เขาเคยเจอเลย บางที...วิธีนี้อาจจะได้ผล
“พ่อแม่ผมเสียตอนผมจะเข้ามหาวิทยาลัย ทุกเช้าผมต้องเข้าสวนไปคุมคนงานทำงาน แล้วค่อยแต่งตัวไปเรียน ปีแรกผมทำสวนขาดทุนย่อยยับ ผมไม่รู้เรื่องงานของพ่อแม่เลย ผมเป็นเด็กที่ทำเป็นแค่ขอเงินน่ะ แต่พอพ่อแม่จากไปเพราะอุบัติเหตุ ผมเลยต้องพึ่งตัวเอง ผมไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้อง คนงานที่สนิทกับพ่อแม่มากที่สุดคอยสอนงานผม”
อารดานั่งฟังเงียบๆ พอเขาพูดจบก็อดเอ่ยแทรกไม่ได้
“ทำไมไม่ขายสวนกล้วยไปล่ะ ถ้าทำไม่ไหว”
“ย่าของคุณจะซื้อ แต่ท่านบอกให้ผมลองทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยมาขายอีกที ท่านสอนผมเรื่องค้าขาย ย่าคุณเป็นคนสำคัญที่ช่วยผมไว้เช่นกัน”
“ทำสวนกล้วย ยากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ยากหรอก ถ้าผมเคยทำสักนิด แต่ตอนนั้น...กางเกงในผมยังซักเองไม่เป็นเลย”
อารดาฟังสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องเอ่ยอธิบาย เขากำลังพยายามทำอะไรอยู่นะ เปิดใจให้เธอใช่ไหม
“มีความลับบางอย่างที่ยังบอกคุณไม่ได้”
“ทำไม”
“บอกคุณตอนนี้ คุณอาจทิ้งผมไป”
“ฉันคงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ถ้าไม่ได้แต่งกับฉัน คุณก็อาจจะแต่งกับคนอื่น”
เขายิ้มให้อารดา ยิ้มสดใสใส่ตาสาวเจ้า
“พอได้เห็นคุณ ผมก็ไม่อยากแต่งกับคนอื่นแล้ว ถึงคุณจะ...อายุมากไปนิดก็เถอะ”
คิ้วมนๆ ของอารดาขมวดเข้าหากัน
“ว่าฉันแก่เหรอ”
เขายิ้มจนตาหยี อารดามองค้อน และนั่นทำให้เธอต้องแตะลูบใบหน้าของตัวเอง เธอค้อนให้ใครเป็นด้วยหรือนี่ อา...ไม่ชินกับตัวเองจริงๆ
“เราสองคนต้องเรียนรู้กันให้มาก เพื่อความสัมพันธ์ที่มั่นคงในวันข้างหน้า ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ ผมเองก็จะทำทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ความเป็นคุณเช่นกัน”
“ทำไม...ต้องทำอย่างนั้น ถ้าคุณหมายถึงเรื่องความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา ถ้าคุณต้องการ ตามข้อตกลงแล้วคุณสามารถทำได้ และฉัน...ก็คงขัดไม่ได้อย่างแน่นอน”
“ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์ที่ไร้ความรู้สึกมันเย็นชาเกินไป คุณจะมีความสุขได้จริงเหรอ ถ้าต้องย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดว่ากำลังนอนกับคนแปลกหน้า ผม...ไม่อยากเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณ”
คำพูดนั้นช่างอ่อนหวาน อารดารู้สึกเช่นนั้น เป็นความโรแมนติกของผู้ชายที่กำลังเข้าหาผู้หญิง หรือเพราะเขาต้องการอย่างนั้นจริงๆ กันแน่นะ
“อายุ...ยี่สิบหกจริงเหรอ”
เขายิ้มเมื่อคนถามคล้ายจะอึ้งกับสิ่งที่เขาเอ่ย
“ถึงผมอายุยังน้อย แต่ผมโชกโชนมากเลยขอบอก”
หญิงสาวตาเบิกโต
“หมายถึงประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์น่ะ ผมผ่านมาเยอะ ทั้งสุขและทุกข์ เดาว่า...เจ้าหญิงบนหอคอยอย่างคุณคงไม่เคยพบเจอแน่นอน”
อารดานึกขัน เจ้าหญิงบนหอคอยอย่างนั้นหรือ ท่าจะจริงกระมัง มิใช่ในแง่ที่ฐานะสูงส่งอะไรหรอกนะ แต่เพราะความโดดเดี่ยวและอ้างว้างต่างหาก เจ้าหญิงบนหอคอยมีมากกว่าใครทีเดียว และน่าหัวเราะนัก ที่ในนิทานมิได้กล่าวถึงความจริงข้อนี้เลย
“โลกของฉันกว้างยาวเท่าพื้นที่ในลิ้นชัก มันมืดและไม่ค่อยน่าอยู่เลย อย่าทำเหมือนว่าอยากเข้าใจฉัน มันไม่สนุกหรอกศรัณ”
เธอตัดสินใจเอ่ยความจริงให้เขารู้ ความรู้สึกของเธอบอกว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนดี เมื่อก่อนตอนที่ย่าเล่าเรื่องเขาให้ฟัง เธอคิดว่าคงเอ่ยเกินจริงไปนิด แต่พอได้พบเจอ ความจริงใจที่เขาสื่อทำให้เธอละอายใจ เธอไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับคนอย่างเธอ เราสองคนอาจแต่งงานเป็นสามีภรรยากันได้ในทุกทาง แต่ว่าด้านความรู้สึก เธอไม่มั่นใจเลยว่าจะมีความรักต่อเขา เธอไม่รู้ว่าในอนาคตจะรักเด็กคนนี้ได้อย่างไร
คนเป็นมารดาเริ่มสติแตก ทำไมลูกที่เฝ้าฟูมฟักดูแลถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้นะ อรุณฉายคือความภาคภูมิใจของเธอ จะมาเป็นแบบนี้ไม่ได้!คนเป็นลูกส่ายหน้าอีกครา เธอไม่รู้จะตอบมารดาอย่างไรดี“หมายความว่าไง ออม...บอกมาลูก ท้องกับใคร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ” โอภาสยังคุยดีกับลูกสาว ตอนนี้ท่านมั่นใจว่ามีสติมากกว่าโฉมชบา“หนู...หนูไม่รู้ เราเจอกันที่บาร์ หนู...ไม่รู้จักเขา ไม่รู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ”“ออม!? นังลูกบ้า! นังลูกไม่รักดี! แกพูดอะไรออกมาฮะ!?”โฉมชบามิใช่แค่ร้องด่าแต่แลหาของใกล้มือ เจอขวดน้ำหอมของอรุณฉายก็คว้ามาปาใส่ร่างเจ้าตัว อรุณฉายไม่ลุกหนี ไม่ตอบโต้ด้วยซ้ำ“ไปเรียกมันมา ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันต้องมารับผิดชอบแก ฉันไม่ยอมให้แกท้องโย้ประจานตัวเองหรอก ฉันอายชาวบ้านเขาได้ยินไหม!?”“แม่คะ หนูแค่ท้องนะคะแม่ หนูไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อย แม่...ช่วยหนูเลี้ยงแกได้ไหม...ฮึกๆ หนูไม่มีใครแล้ว เขาไม่รับผิดชอบ เขาไม่รับผิดชอบหนู แม่รู้บ้างไหม!?”“กรี๊ดดด!!! นังลูกสิ้นคิด! แกคิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ
อรุณฉายน้ำตาไหลพราก ปาดน้ำตาแห่งความอึดอัดใจแล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เธอไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ทำแท้งไปดีกว่า จะได้จบๆ ไป“คิดเสียว่าวันนี้ไม่ได้เจอฉันก็แล้วกัน” บอกเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวจากมา ชนนท์ตามเธอมาติดๆ เขาพยายามรั้งเธอไว้ เรียกชื่อเธอ ดึงแขนเธอ แต่ว่า...ไม่ได้พูดสักคำว่าอยากยอมรับลูกเธอ แล้วเธอจะยอมเขาไปทำไม“อย่าเพิ่งไปสิ! อย่าเพิ่งใจร้อนได้ไหม ค่อยๆ คิดก่อน” เขาเอ่ยอ้าง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองเมื่อชนนท์พูดเสียงดัง“ฉันไม่อยากรอ ฉันรอไม่ได้ ฉันเครียดรู้ไหม ฉันเพิ่งยี่สิบเอ็ดและฉันไม่เคยท้องมาก่อน ฉันทั้งกลัวทั้งสับสนไม่ต่างจากนาย และอย่ามาพูดว่าให้ฉันใจเย็นๆ ถ้ามาเป็นฉัน นายจะเย็นได้ไหมล่ะ ลองมาเป็นฉันดูไหม!”เธอผลักเขาออกเต็มแรง วิ่งไปขึ้นรถของตัวเองอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่ก่อไว้ เธอขับรถออกมาด้วยความเร็ว บางทีนะ...บางทีการทำแท้งอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ชนนท์มองตามรถของอรุณฉาย ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เขากลับไปที่โต๊ะ หยิบมือถือมาต่อสายหาหล่อนแต่หล่อนไม่ยอมรับเลย หล่อนหน
“หมายความว่าไง” เธอสวนทันควัน ไม่ชอบใจเสียงนี้ของตัวเองเลย มันเหมือนเสียงนางมารร้ายอย่างไรก็ไม่รู้“ก็...ในฐานะที่เธอเป็นแม่ของฟีฟ่า ในตอนที่เลิกกัน ผมควรให้อะไรเธอบ้าง...อย่างเช่นค่าเลี้ยงดูอะไรอย่างนี้”อารดาหันหลังให้สามีทันควัน เรื่องอะไรต้องเอาเงินไปให้คนอื่นด้วย ถึงเขาจะมีเงินมากมาย แต่ต้องเอาไปให้เมียเก่า เธอก็ไม่ชอบนะ แค่ต้องออกค่ากินค่าเช่าบ้านให้ เธอก็คิดว่ามากพอแล้ว“ไม่รู้! แล้วแต่เถอะ!” เสียงห้วนๆ หลุดออกจากปาก เธอหงุดหงิดเพราะเสียงตัวเองอีกแล้วศรัณยกมือยอมแพ้ในนาทีนั้น“ครับ! แล้วแต่...แล้วแต่แสดงว่าไม่โอเค ไม่โอเคก็ไม่ให้แล้วกัน ให้เท่าที่ให้ได้นั่นแหละ”รอยยิ้มสมใจปรากฏที่ใบหน้าของอารดา หญิงสาวพอใจยิ่งนักกับการตัดสินใจของสามี เธอขยับไปโอบร่างเขา ไม่พอใจก็ปีนขึ้นนั่งบนตัก ศรัณกอดเอวเธอไว้“วันนี้จะทำอะไรดีครับ”“เข้าสวนพร้อมรัณดีไหม”เขาส่ายหน้าพรืด “อยู่บ้านสอนหนังสือฟีฟ่าดีกว่า เพราะวันนี้แม่เขาไม่อยู่ คงไม่ได้แวะไปหากัน น้ามา
คนเป็นลูกบ่นให้มารดาขณะรอเจ้าบ้านให้ลงมาที่โต๊ะอาหาร ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นคราวโน้น เธอรู้สึกว่าน้าชายของเธอเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดจากับมารดาเท่าไหร่ หรือหากพูด ก็พูดตามมารยาท ไม่ได้ดูเกรงอกเกรงใจเท่าที่ควร มันแปลกไปจนเธอรู้สึกได้ เรื่องนั้นที่ทำให้อารดาฟิวส์ขาด คงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในบ้านนี้เปลี่ยนไป เธอไม่สนหรอก ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่อารดาไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ดีใจมากแล้ว เจ้าหล่อนลาออกจากงานอีก ยิ่งเข้าทางเธอเลย“ตักข้าวเถอะพุดซ้อน”โอภาสบอกพุดซ้อนตอนที่นั่งลงยังหัวโต๊ะ โฉมชบาช่วยขยับเลื่อนจานกับข้าวไปตรงหน้าสามี มองสมาชิกในครอบครัวที่เหลือน้อยลงแล้วรู้สึกแปลกๆ ต่อให้ไม่ค่อยได้รักใคร่ปรองดองกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังชอบใจให้ทุกคนอยู่กันครบ ไม่ใช่หายไปทีละคนสองคนอย่างนี้“คิดถึงยัยอุ่นเหมือนกันนะคะ”โฉมชบาเอ่ยขึ้น พี่สาวของสามีเลยได้เลิกคิ้วสูง“เพิ่งรู้ว่าหล่อนก็เอ็นดูลูกเลี้ยงนะแม่โฉม”โฉมชบาคอแข็งขึ้นมา เชิดหน้าใส่อรดีอย่างไม่เคยทำมาก่อน“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้เอ็นดูอะไรยัยอุ่นมากมาย แต่ฉันมั
[15]เวรกรรมมาเป็นตัวๆ_______________ในเดือนถัดมาเสียงสั่นครืดๆ ดังขึ้นเมื่อมีข้อความเด้งเข้ามาในไลน์ ชนนท์ทิ้งกายลงบนเตียงหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อย เวลานี้สามทุ่มเข้าไปแล้ว แต่คนที่ส่งข้อความมาเหมือนอยากให้เขารู้ว่าตอนนี้เพิ่งหัวค่ำเท่านั้น ผู้หญิงในชุดสายเดี่ยวเปิดเปลือยเนินทรวง กับกางเกงขาสั้นแทบจะเห็นแก้มก้น ถือแก้วค็อกเทลสีสวยอยู่ในมือ หล่อนยิ้มยั่วเข้าอยู่หน้าจอ‘ส่งมาทำไมมิทราบ’เขาพิมพ์ข้อความส่งไป อรุณฉายแทบจะตอบกลับมาในทันที ราวกับเฝ้ารออยู่‘อ้อ...ขอโทษที ส่งผิดน่ะ ว่าจะส่งไปให้พี่เขย’‘ออม!?’‘อะไร’‘ที่เคยเตือนไว้ลืมแล้วเหรอ อย่ายุ่งกับพี่รัณ แล้วนี่...เธอมีเบอร์เขาตั้งแต่เมื่อไหร่’‘เรื่องของฉัน!’ อรุณฉายโต้กลับ เขาโง่เหรอ เธอแค่แกล้งบอกไป ไม่นึกว่าเขาจะเชื่อจริง‘เธอมันบ้า โรคจิต แล้วก็
วันอาทิตย์ที่แสนสดใสวันนี้อารดาอยู่บ้านกับเจ้าเด็กน้อย เธอกำลังสอนหนังสือเจ้าตัวเล็กอยู่ แต่ไม่รู้สอนกันอย่างไร พอแวบลงมาเอาขนมขึ้นไปให้ ไม่กี่นาทีเจ้าตัวแสบดันหนีหาย เธอได้แต่เม้มปากแน่นๆ เด็กน้อยคงอยากเล่นซนมากกว่าถูกเธอสอนหนังสือกระมัง“ฮือ...ฮือ...ยาย...ยายค้าบ! ฮือออ...”เสียงร้องดังแว่วมาจากในสวน อารดาวิ่งลงมาจากห้องของเด็กน้อย เท้าเรียวๆ ก้าวไปตามทางเดิน ได้ยินเสียงร้องระงมของเจ้าเด็กน้อยชัดขึ้นทุกขณะ การอยู่กับฟีฟ่า บางคราก็ทำให้เธอคลายเหงา แต่บางคราก็ทำให้เธอปวดหัวได้ โดยเฉพาะตอนที่เขานั่งเค้เก้อยู่บนพื้นและมีเลือดไหลอาบขาอย่างนี้“แม่อุ่น! ฮึกๆ แม่อุ่น...ฮือออ...”“ฟีฟ่า!?” หัวใจเธอหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ยามเห็นเด็กน้อยมีเลือดออก เจ้าตัวเอาแต่เบ้ปากร้องระงม“ฮึกๆ แม่อุ่น...ฮึก ฟีฟ่าเจ็บ ฮือออ...”อารดาส่ายหน้ารัวๆ“แล้วเข้ามาทำไมในนี้ นึกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเสียอีก”เด็กน้อยปาดน้ำตายามอารดานั่งลงแล้วพลิกดูรอยแผลที่ขาให้“กระแต”