Chapter 4
“พี่ปั้นสิบให้กูดูแลมึง กูไปไม่ได้หรอกถ้ากูไปแล้วใครจะดูแลมึงล่ะ”
“ไม่ต้องมาดูแลกู!” ปั้นจั่นผลักบ่าฉันแรง ๆ เจ็บวะ! เจ็บเชี่ย ๆ ที่เห็นคนที่รักทำแบบนี้
“ปั้นจั่น”
“คำว่าเพื่อนมันจบลง ตั้งแต่มึงบอกว่ารักกูแล้วแหละ”
“มันต้องจบอยู่แล้วเพราะกูคิดกับมึงมากกว่าเพื่อน ให้กูคิดกลับไปเป็นเพื่อนกูทำไม่ได้จริง ๆ”
“มึงจะไปไหนก็ไปหมอกต่างคนต่างอยู่ ต่อไปนี้เลิกข้องเกี่ยวกัน”
“มึงคิดหรือเปล่า? ก่อนที่มึงจะพูดออกมา”
“กูคิดดีแล้ว”
“ไหนมึงบอกว่าเราจะไม่ทิ้งกันไงไอ้ปั้นจั่น”
“คำพูดนั้นกูเคยพูดกับเพื่อนกู ตอนนี้มึงไม่ใช่แล้ว”
“มึงต้องการแบบนั้นใช่ไหมปั้นจั่น? มึงต้องการให้กูออกไปจากชีวิตมึงใช่ไหม? มึงแค่พูดออกมาเลย กูจะได้ไม่ต้องทนกับความรู้สึกเจ็บปวดที่กูต้องมองมึงพลอดรักกับคนอื่น กูจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับมึงอีก”
ฉันพูดพร้อมกับจ้องหน้าปั้นจั่นด้วยความเจ็บปวด ถ้าเขาพูดออกมาว่า ต้องการให้ฉันออกไปจากชีวิตเขาฉันก็จะไป มันคงไม่มีอะไรเจ็บไปมากกว่านี้แล้วแหละ
ฉันควรจะออกไปจากชีวิตของปั้นจั่นตั้งนานแล้ว เพราะความรักงี่เง่าของฉัน ที่ฉันต้องทนมองดูคนที่ฉันรักรักกับคนอื่น เพราะคำว่าเพื่อนที่เขามอบให้ฉัน เพราะฉันกลัวที่จะเสียเขาไป
“มึงไปไหนก็ไป ในเมื่อมึงคิดกับกูมากกว่าเพื่อนแล้ว กูกับมึงคงกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วแหละ” คำพูดของเขาทำเอาฉันชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สุดท้ายแล้วเขาต้องการให้ฉันออกไปจากชีวิตของเขาจริง ๆ
“ได้ ในเมื่อมึงต้องการแบบนี้ กูจะทำให้มึง ต่อไปนี้มึงก็คิดเสียว่ากูเป็นแค่อากาศธาตุที่ไร้ตัวตน มึงอยากจะใช้ชีวิตยังไงมึงก็ใช้ไปเลย ถ้าจะให้ดีมึงก็ไปอ้อนวอนกราบตีนริสา ให้มันกลับมาหามึงด้วยแล้วกัน” ฉันพูดเสียงสั่นเครือปนสะอื้นก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องทันที ฉันรีบวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์ แล้วปล่อยน้ำตามันไหลอาบแก้ม ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้ฉันก็จะทำให้ ฉันนั่งรถเมล์ไปบริษัทเพื่อยื่นใบลาออก เพื่อยุติเรื่องทุกอย่าง
“พี่ปั้นล่ะคะ” ฉันถามพี่อินทิรา วันนี้พี่อินทิรา นั่งอยู่ในห้องของพี่ปั้นสิบ
“ติดประชุมด่วน มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
“หมอกมายื่นใบลาออกค่ะ”
“ทำไมล่ะ มีปัญหากับใครหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
“ต้องการแบบนี้จริง ๆ หรือหมอก มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบอกพี่ได้นะ” พี่อินทิราพูดกับฉัน ในขณะที่ฉันยื่นใบลาออกให้พี่เขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพื่อนหมอกให้ไปช่วยงานค่ะ” ฉันโกหก ฉันไม่มีเพื่อนที่ไหนบอกทั้งนั้นแหละ ฉันอยากจะตัดขาดกับปั้นจั่น ในเมื่อมันเกิดเรื่องแบบนี้แล้ว ฉันก็ควรเดินออกมา ถ้าฉันยังทำงานอยู่ที่นี่ ฉันก็ยังจะเจอเขา มันยิ่งทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่าเดิม ฉันเลือกถอยดีกว่า เผื่อทุกอย่างมันดีขึ้น
“อืม อินเสียดายคนเก่ง ๆ แบบหมอกจัง หมอกทำงานเก่ง ออกแบบสวย พี่อยากให้หมอกอยู่ต่อ”
“หมอกอยู่ไม่ได้ค่ะ ขอโทษพี่อินด้วยจริง ๆ”
“จ้ะ ถ้าหมอกไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วอินก็จะไม่บังคับ เอาเป็นว่าอินจะบอกปั้นสิบให้นะ”
“ค่ะ ส่วนเรื่อง เอ่อ… เรื่องที่พี่ปั้นให้หมอกดูแลปั้นจั่น หมอกขอโทษที่หมอกทำให้ไม่ได้”
”ไม่เป็นไร เดี๋ยวอินบอกให้”
”ค่ะ งั้นหมอกขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ”
“จ้ะ!” ฉันเดินออกมาแล้วมาเก็บของของตัวเอง ทำแบบนี้ก็ดีนะ จะได้เลิกวุ่นวายกันสักที
“ไปไหนหมอก” พี่ธานินทร์เพื่อนพี่ปั้นสิบถามฉัน ขณะที่ฉันเก็บของลงกล่อง
“หมอกลาออกแล้วค่ะพี่”
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
“อืม แล้วไปทำไหนล่ะ?”
“หมอกจะไปทำกับเพื่อนค่ะ” โกหกครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งที่สอง เฮ้อ! เหนื่อยใจจัง ไม่อยากจะโกหกเลยแต่มันจำเป็น
“อืม โชคดีนะ”
“ค่ะ ไปแล้วนะหวาน” ฉันพูดกับเพื่อนร่วมงาน
“อืม โชคดี”
ฉันเดินออกมาจากบริษัทแล้วมานั่งที่ป้ายรถเมล์ เพื่อขึ้นรถกลับห้องของตัวเอง ผ่านไปสักพักรถเมล์สายที่ฉันประจำก็มา ฉันรีบขึ้นเพราะกลัวไม่มีที่นั่งกลัวคนนั่งเต็มหมด
และแล้วคนเต็มอย่างที่ฉันคิดเลย ฉันวางกล่องลงพื้นแล้วยืนโหนรถเมล์อย่างจำใจ
ฉันต้องรีบหางานให้เร็วที่สุด ฉันเป็นคนมีความสามารถ ฉันคงหางานได้ไม่ยาก
ฉันลงจากรถเมื่อรถเมล์มาจอดป้ายที่ฉันต้องการ ฉันเดินเข้ามาในซอยห้องเช่า พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองเพื่อเรียกกำลังใจของตัวเอง ฉันทำถูกแล้วใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ถ้าฉันจะตัดฉันควรเลิกยุ่งกับปั้นจั่นทุกอย่าง
ฉันเปิดประตูห้องของตนเองแล้ววางกล่องเอาไว้ ฉันนั่งลงบนเตียงน้ำตาสีใสไหลรินอาบแก้ม เมื่อคำพูดของปั้นจั่นลอยวนอยู่ในหัว คำว่าเพื่อนของฉันมันพังทลาย เมื่อฉันคิดกับเขามากกว่าเพื่อน ฉันอดทนเก็บความรู้สึกตั้งหลายปี ฉันอดทนต่อไปไม่ได้จริง ๆ
Rrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็กดรับ
“ฮัลโหล”
(“เป็นจั่งได่หมอก สบายดีบ่ลูก”)
“สบายดีจ้ะ”
(“แม่บ่ทันมีเงินค่าปุ๋ยแหม่หล่า เงินออกส่งมาให้แม่แหน่เด้อ”)
“จ้า แล้วพ่อไปไส”
(“ไปเกี่ยวหญ้า”)
“บอกอีพ่อกับน้ำค้างแหน่เด้อว่าหมอกคิดฮอด”
(“จ้า เฮ็ดงานสาลูก”) ฉันกดวางก่อนจะทิ้งตัวลงนอน เงินที่ฉันทำงานค้างไว้ ฉันจะส่งไปบ้าน อีกไม่กี่เดือนก็ได้เกี่ยวข้าวแล้ว แม่ของฉันต้องใช้เงินเยอะกว่านี้แน่
พรุ่งนี้ฉันจะไปสมัครงานแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรูปฉันกับปั้นจั่นที่เคยถ่ายด้วยกันเรียนมหาลัย ฉันลุกขึ้นแล้วเก็บมันไว้ในตู้ ฉันต้องตัดใจให้ได้ ในเมื่อเขาต้องการให้ฉันเลิกยุ่งกับเขาฉันก็จะทำ
ฉันเปิดกระเป๋าตังค์ของตัวเอง ตอนนี้เงินทั้งเนื้อทั้งตัวมีไม่ถึง800 อีก10 วัน เงินที่ฉันทำงานกับบริษัทพี่ปั้นสิบก็จะออกฉันจะส่งกลับบ้าน ฉันลบเบอร์โทรปั่นจั่น บล็อคไลน์ บล็อคเฟซ
วันต่อมาฉันเริ่มออกไปหางาน ฉันสมัครงานหลายที่ แต่ก็รอสัมภาษณ์ เฮ้อ! เหนื่อยใจจัง
ผ่านไป1อาทิตย์
เงินที่ฉันมีก็เริ่มหมด ฉันคิดถูกหรือคิดผิดวะที่ลาออก งานแม่งก็หายาก ฉันทรุดกายลงนั่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย ฉันหิวจนไส้จะขาดแล้ว
“เล็กน้ำตกค่ะ”
“ได้ครับ” ฉันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สักพักก๋วยเตี๋ยวก็มาเสิร์ฟ ขณะที่ฉันกำลังตักเครื่องปรุง ฉันก็ดูรายชื่อบริษัทที่เขารับสมัครพนักงานด้วย เหลืออีกบริษัทที่ไม่ไกลจากห้องพักของบริษัทฉันเป็นบริษัทสุดท้าย ฉันรีบกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเดินเข้าไปสมัครงาน ในใจได้แต่ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าไปด้วย
“มาสมัครงานเหรอคะ?”
“ค่ะ”
“เชิญข้างในเลยค่ะ” ผู้หญิงหน้าตาสระสวยผายมือเชิญฉันเข้าไปข้างใน
“สวัสดีค่ะ” ฉันยังมือไหว้ชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองหน้าเหมือนกันเป็นอย่างมาก มองจนแทบจะเป็นคนเดียวกัน แต่แตกต่างที่บุคลิก คนหนึ่งจะยิ้มแย้มส่วนอีกคนจะไม่ค่อยยิ้ม
“เชิญนั่งครับ”
“ค่ะ”
“คุณมาสมัครงานใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ นี่เอกสารของฉันค่ะ” ฉันยื่นเอกสารให้ผู้ชายทั้งสอง
“เอาเป็นว่าเรารับคุณทำงานเลย คุณพักอยู่ที่ไหนครับ?”
“ไม่ไกลค่ะ ว่าเเต่คุณจะไม่ดูเอกสารของฉันหน่อยหรือคะ?”
“ไม่ครับ ผมรู้ว่าคุณเคยทำงานบริษัทเจเจกรุ๊ป ทางบริษัทของเรามีห้องพักให้พนักงาน ถ้าอยากทำงานที่นี่ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่นั้น”
“พนักงานทุกคนต้องย้ายไปอยู่ที่นั้นเหรอคะ?”
“ใช่” ทั้งสองตอบพร้อมกัน
“เอ่อ…” ฉันลังเล รู้สึกแปลก ๆ กับเหตุการณ์ตอนนี้ แต่ถ้าฉันไม่ตกลง ฉันกลัวจะไม่ได้งาน ครอบครัวทางบ้านของฉันก็ต้องใช้เงิน
“ถ้าตกลงผมสองคนจะจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้คุณสามเดือน เผื่อคุณต้องการใช้เงิน นี่เงินเดือนล่วงหน้า” เขายื่นซองสีขาวให้ฉัน มีที่ไหนวะจ่ายเงินเดือนล่วงหน้า เอาวะในเมื่อเลือกไม่ได้ ฉันก็ต้องทำ
“ทำไมมันแปลก ๆ คะ”
“แปลกอะไร? พนักงานทุกคนผมก็ให้ไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
“มันแปลกตรงจ่ายล่วงหน้า”
“พนักงานทุกคนผมก็ทำแบบนี้”
“ค่ะ ว่าเเต่คุณทั้งสองชื่ออะไรคะ?”
“ผมชื่อสายฟ้า ส่วนคนที่นั่งหล่อ ๆ ชื่อพายุ”
“ค่ะ ฉันชื่อม่านหมอกนะคะ”
“ครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมให้คนงานไปขนมาวันนี้”
“เอ่อ… คือ”
“เอาเป็นว่าตามนี้ อย่ามาเรื่องมาก” คนที่ชื่อพายุพูดขึ้น ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไป
ฉันเรื่องมากตรงไหนวะ?...
วันเวลาผ่านไปอีก3เดือนค่ะ ฉันกลับมาใช้ชีวิตเป็นครอบครัวกับปั้นจั่นที่กรุงเทพโดยที่พ่อของฉันไม่ขัดข้องประการใดค่ะ ฉันมีความสุขมากๆเลยค่ะ ที่พ่อของฉันไม่เกลียดปั้นจั่นเหมือนแต่ก่อน ปั้นจั่นคงจะทำให้ท่านเห็นว่าเขายังมั่นคงกับฉัน เพราะเขาแสดงออกว่าเขารักฉันกับลูกตอนที่ไปบ้านพ่อแม่ฉันถึงแม้ว่าฉันกับเขาจะเลิกรากันไปถึง 10 ปีปั้นจั่นไม่มีใคร ฉันเองก็ไม่มีเหมือนกัน พ่อก็คงจะใจอ่อนให้เขา และสิ่งที่เขากระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือเขาไปหาอันนาอยู่เสมอ เขาไม่เคยรับผู้หญิงคนอื่นเข้ามาแทรกเลยความรักครั้งใหม่สดใสอีกครั้ง ฉันเลือกที่จะอภัยเพราะมันถึงเวลาที่ควรอภัยแล้ว เขาปรับปรุงตัวและไม่มีใคร ถึงมันจะเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย แต่ฉันก้าวผ่านและอภัยให้เขาแล้วฉันยังมั่นคง ไม่มีใครลืมรักแรกได้ ฉันไม่เคยลืมและไม่มีใคร ไม่ใช่ว่าตลอดระยะเวลา10ปีฉันเฝ้ารอเขานะคะ ฉันไม่ได้รอเขาหรอก แต่ฉันไม่สามารถรับใครเข้ามาในหัวใจได้ฉันรับน้ำค้างมาอยู่ที่บ้านแล้วนะคะ ถึงแม้ว่าตอนแรกเธอจะไม่อยากมา อิดออดมากเลยค่ะเพราะเธออยากอยู่ใกล้คุณพายุ แต่ในเมื่อฉันกลับมาอยู่กับปั้นจั่นแล้ว ฉันก็ไม่อยากให้น้
ม่านหมอกเเสงแดดอุ่นๆแผ่เข้ามากระทบร่าง ฉันซุกหน้ากับอกแกร่งของปั้นจั่น อกที่คุ้นเคยอกนี้มันอุ่นมากเลยค่ะ อุ่นสุด ๆ เลยค่ะหลังจากที่จบศึกสวาทกันฉันก็หมดแรง คนที่นอนอยู่ข้างๆทั้งถึกทั้งทน ฉันถึงกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรงฉันเงยหน้าจ้องใบหน้าคมคายของเขา ตอนนี้ปั้นจั่นหลับตาอมยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เขาดูมีความสุขมากเลยค่ะ ซึ่งมันไม่ต่างจากฉันตอนนี้ ฉันมีความสุขมากที่ได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขา ถึงแม้ว่าใจของฉันมันจะสับสน แล้วรู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่เขาทำ แต่ที่ผ่านมาเขาก็ได้พิสูจน์ให้ฉันได้เห็นว่า เขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีจริงๆ“จ้องการแบบนี้มาขี่ม้ากันเลยดีกว่า” เขาพูดพร้อมกับ เปิดเปลือกตาขึ้นต้องมองฉัน ฉันนี่เขินหน้าดำหน้าแดงเลยค่ะ“บ้าน่า” ฉันค้อนใส่เบาๆก่อนจะค่อยๆคลายกอดเขา ฉันหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงหมับ!“ว้าย!” ฉันกรีดร้องอย่างตกใจ ปั้นจั่นคว้าตัวของฉันเอาไว้ พร้อมกับฝังจมูกไปตามพวงแก้มของฉัน“กลิ่นตัวหมอกหอมจัง” เขาพูดจมูกก็เริ่มซุกไซร้ตามเนื้อตัวของฉัน ไม่นะ! ไม่ เรื่องบนเตียงตอนนี้ต้องพักก่อน มือของเขาเริ่มลูบไปตามเนื้อตัวของฉัน ยุกยิกเป็นหนวดปลาหมึกเชียวค่ะ“ไปอ
ปั้นจั่นTALKผมจูบหมอกเร่าร้อนราวทะเลเดือด จูบราวกับสูบวิญญาณเธอออกจากร่าง ผมประคองใบหน้าของหมอก จูบเน้นๆแล้วสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเธอม่านหมอกขัดขืนในตอนแรกพยายามผลักผมออก แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ วันนี้ผมต้องได้เมียคืน พี่ชายพี่สาวพ่อแม่และทุกคนๆช่วยกันวางแผนขนาดนี้ผมต้องตีมึนเอาไว้ผมดันเธอไปชิดกำแพงในขณะที่จูบเธอไปด้วย มือของผมเลื่อนลงต่ำมาบีบเค้นที่อกอวบของเธอ มืออีกข้างก็ถลกกระโปรงแล้วสอดมือเข้าไปในแพนตี้ตัวจิ๋วม่านหมอกสะดุ้งทันทีที่มือผมสัมผัส ผมกดคลำลากตามร่องยาวปริ่มน้ำ ม่านหมอกพยายามต่อต้าน ร่างกายเธอเริ่มบิดไปมาผมกรีดนิ้วจนกระทั่งเจอเม็ดทับทิม“อ้ะ ...ปะ... ปั้นจั่น” ม่านหมอกครางเบาๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อปากเป็นอิสระ ผมทนมามากพอแล้ว ผมไม่ได้ปลดปล่อยมา10ปี และวันนี้ผมจะไม่ทน“หมอกจ๋า จั่นอยาก” ผมพูดเสียงกระเส่า รู้สึกต้องการเรื่องอย่างว่า แก่นกายของผมมันปวดหนึบจนแทบจะปริแตก มันผงาดชี้โด่พร้อมกับมีน้ำใสๆ ไหลเยิ้มออกมา“พะ... พอ... ยะ... หยุดสักที”“หยุดทำไม? นี่คือความสุขนะหมอก”“มะ... ไม่เอา พะ... พอ” ม่านหมอกพูดอยู่แค่นั้นวนไปมา ผมไ
“หมอกไปกรุงเทพก่อนนะพ่อ” ฉันเอ่ยกับพ่อสุนทรในขณะที่ท่านกำลังง่วนอยู่กับการสั่งงานลูกน้อง วันนี้ท่านให้คนมาทำถนนทางไปบ้านของฉันกับบ้านที่ปั้นจั่นเคยอาศัยอยู่ และคนงานกำลังฟังอย่างตั้งใจ“อันนารบเร้าให้พาไปหาพ่อมันละสิ”“ใช่ค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับมองแผ่นหลังของพ่อ พ่อไม่ชอบปั้นจั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ท่านอาจจะไม่พอใจที่ฉันจะพาอันนาไปหาเขา“...”“พ่อคะ...” ฉันเม้นปากพร้อมกับเรียกท่าน“ไปเถอะ ผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว หมอกมั่นคงกับมัน มันก็มั่นคงกับหมอก พ่อคงไม่ห้ามอะไรแล้ว เพราะที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ตัวให้พ่อเห็นแล้ว”“ค่ะ”“รักคุณตาที่สุดเลยค่ะ” อันนาเช้าไปกอดพ่อสุนทร“รักเหมือนกันครับ ไปกับคุณแม่ก็บอกคุณแม่ให้ขับรถดีๆด้วยนะ”“ค่ะ”“ให้ไอ้วัดไปขับรถให้ไหม? ““ไม่เป็นไรค่ะ หมอกขับเองดีกว่า”“อืม รีบไปเถอะ เดี๋ยวพ่อคุยงานกับพวกคนงานก่อน”“ค่ะ”“รีบไปเถอะค่ะแม่”ฉันรีบพาบุตรสาวไปขึ้นรถจากนั้นก็ขับออกไปโดยที่มีสาวใช้คนสนิทตามไปด้วย“ ซื้อของฝากไปฝากคุณย่าด้วยนะแม่”“ได้จ้ะ” ฉันขับรถไปถึงร้านของฝากแล้วพาบุตรสาวไปเลือกของตามต้องการ“เอาไปเยอะๆเลยนะคะคุณแม่”“จ้า”ผ่านไปหลายชั่วโมง
ปั้นจั่นTALK“ปั้นจั่น เดือนนี้จะไปหาหมอกกับลูกใหม่?” แม่ผมเอ่ยถามขณะที่เดินเข้ามาในบริษัทพร้อมกับพี่สาวของผม“ผมอยากไปจะแย่แล้วครับแม่ คราวก่อนเหมือนหมอกจะใจอ่อนกับผมแล้ว ถ้าผมไปพูดหยอดเธอบ่อยๆ อีกไม่นานคงจะใจอ่อน” ผมเอ่ยกับมารดายิ้ม ๆ ก่อนจะก้มหน้าเซ็นเอกสารกองโตที่อยู่ตรงหน้า งานเยอะมาก เยอะสุด ๆ เลยครับ“เดี๋ยวแม่โทรไปชวนหมอกมาเที่ยวดีกว่า หลายปีแล้วนะที่หมอกไม่มากรุงเทพ แม่อยากให้หมอกมาอยู่กรุงเทพมาก ๆ อยากให้หลานมาเรียนที่นี่ด้วย”“หมอกก็คงปฏิเสธเหมือนทุกครั้งแหละครับ เฮ้อ!”“แต่แม่อยากให้หมอกกับแกคืนดีกันสักที”“ผมก็พยายามอยู่ครับ”“แกพยายามไม่มากพอนะสิ แม่อยากให้หมอกมาอยู่ที่นี่แล้ว” แม่ผมทำหน้าเศร้า“แกก็ช่วยทำให้ความฝันของแม่เป็นจริงหน่อยสิวะ” พี่ปั้นสิบเดินเข้ามา วันนี้วันอะไร ทำไมทุกคนถึงพร้อมใจกันมาหาผม“ทำยังไง?” ผมขมวดคิ้วเข้มชนกัน “มึงก็เอาม่านหมอกกับมาเป็นเมียมึงสิวะ ผ่านมาหลายปีแล้ว กูว่าม่านหมอกคงใจอ่อนแล้วแหละ” พี่ปั้นสิบเอ่ย“บ้าน่า หมอกโกรธกูจะทำยังไงล่ะ กูกลัวเธอโกรธ” ผมเอ่ย ผมกลัวหมอกโกรธจริง กลัวมากเพราะหมอกเป็นคนค่อนข้างใจแข็ง ถ้าได้โกรธผมเอง เธอคง
Chapter 60ฉันมองปั้นจั่นที่ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ฉันรู้ว่าเขาเจ็บแต่ฉันต้องทำแบบนี้ ฉันต้องให้เขาออกไปจากชีวิตฉันตามที่เขาสัญญาเอาไว้ ฉันดูใจร้ายมากไหมคะ? ฉันต้องทำแบบนี้ ฉันต้องทำ มันต้องจบได้แล้ว “หมอก ฮึก” ปั้นจั่นร้องไห้สะอึกสะอื้นหัวใจของฉันเจ็บหนึบ ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่รักเขา มันคือความรักที่มั่นคงมาก ฉันไม่สามารถเอาใครมาแทนเขาได้ และฉันไม่สามารถกลับไปหาเขาได้เหมือนกัน“กลับไปทำหน้าที่ลูกเถอะ กูจะบอกเขาว่ามึงเป็นพ่อ กูสัญญาจะดูแลเขาให้ดี”“ฮึก ๆ ฮื่อ ๆ” ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปั้นจั่นมองหน้าฉันด้วยสายตาเจ็บปวด เขาต้องเจ็บอยู่แล้ว การจากลามันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก เขาจูบที่หน้าผากลูกของฉันอย่างแผ่วเบา ก่อนจะส่งลูกให้แม่ของฉัน เขามองหน้าฉันแล้วเดินมาหาฉันหมับ!เขาสวมกอดฉันแล้วร้องไห้ออกมา ฉันร้องไห้ไม่ต่างกัน มันเจ็บนะคะที่ยังรักแต่ต้องจากกัน ฉันกอดตอบเขาอ้อมกอดนี้มันเคยเป็นเป็นของฉัน แต่มันเป็นเพียงอดีตแล้ว มันเจ็บนะคะที่ต้องจากทั้งที่ยังรัก แต่วันเวลาผ่านไปทุกความเจ็บปวดมันจะผ่านพ้นไป “ขอให้มึงโชคดี ไปทำหน้าที่ของมึงซะเถอะ” ฉันพูดเสียงส