กู้ถงถง ตายอย่างเดียวดายในห้องทดลองที่เธอรัก
มือที่สั่นระริกหยิบหลอดทดลองตอนสร้างยารักษาโรคมะเร็ง…หมดเรี่ยวแรงเพราะพิษไร้สีไร้กลิ่นที่คนรักของเธอส่งให้ดื่มเองกับมือ
ความหวัง ความฝัน ความรัก — ทุกอย่างแตกดับในคืนเดียว
แต่เมื่อเปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้ง โลกที่รอเธออยู่ กลับไม่ใช่โลกเดิม…
และถงถงในร่างใหม่ ก็ไม่ใช่เด็กสาวอ่อนแอคนนั้นอีกต่อไป....
องค์กรที่วิจัยเกี่ยวกับตัวยากำลังเสนอชื่อผู้ที่คิดสูตรยารักษาโรคมะเร็งให้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นมีคุณค่าต่อประเทศ และนั่นหมายถึงสวัสดิการต่าง ๆ ที่จะตามมามากมาย แต่ทว่าเพื่อต้องการขโมยผลงานศาสตราจารย์ที่เป็นถึงอาจารย์พ่วงด้วยคนรักของเธอ จัดการกู้ถงถงด้วยยาพิษไร้สีไร้กลิ่นอย่างเลือดเย็น
ที่จริงเขาอายุห่างจากเธอไม่ได้มากนักหรอก เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่เรียนก่อนและจบก่อน แต่ทว่าเขากลับหลงใหลในการคิดค้นสูตรยา และรับเธอเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยจนเธอได้เป็นศาสตราจารย์เทียบเท่าเขา พวกเราจึงตกลงคบหากัน
เราสองคนตกลงแต่งงานกันหลังจากคิดค้นสูตรยารักษามะเร็งสำเร็จ แต่ในคืนนั้นเขาต้องการเสนอชื่อเพียงเขาคนเดียวที่คิดค้นสูตรยานี้ แต่ทว่าเธอไม่ยอมเพราะเธอเป็นคนทำงานส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ขณะที่เขารับงานนอกอื่น ๆ ที่ได้เงินเพิ่มขึ้นอีก และอ้างว่าเพื่ออนาคตของเรา
เธอคิดว่าเขาเป็นคนดี แต่ที่จริงเขาเห็นแก่ตัวมาก ในวันที่สำเร็จเขาเลือกที่จะฆ่าเธอด้วยความรู้ของเขา และความที่เธอไว้ใจจึงดื่มกาแฟที่เขาชงให้และยานั้นมันทำให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
วิญญาณเธอหลุดจากร่างมองเขาที่ยิ้มกับร่างของเธอที่ล้มลงอย่างเลือดเย็น แต่ทว่าแรงดูดมหาศาลกลับพาเธอไปยังที่ใดที่หนึ่ง และที่นั่นไม่คุ้นชินนัก
เมื่อกู้ถงถงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่รับรู้คือความปวดหนึบทั่วร่าง พร้อมกลิ่นสมุนไพรจีนที่ฉุนลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
พื้นเตียงไม้แข็งทื่อรับกับแผ่นรองนอนเก่า ๆ ที่แทบไม่ต่างจากไม้กระดาน แผ่นหลังของเธอเจ็บจนแทบขยับไม่ได้ ร่างทั้งร่างเหมือนจมอยู่บนเตียงที่ไม่ควรเรียกว่าเตียง
เธอค่อย ๆ ดันตัวขึ้นนั่ง หัวปวดตุบจนต้องหลับตาพลางกัดฟันแน่น แล้วแสงวาบบางอย่างก็แล่นปราดเข้าสู่ศีรษะ
“อ๊า!”
เสียงครวญครางแผ่วเบาในลำคอของเธอดังขึ้น
ความทรงจำของใครบางคน…ไม่ใช่เธอ แต่กลับเจ็บลึกเหมือนเป็นของตัวเองพรั่งพรูเข้ามาในสมอง
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ เธอถึงได้ตระหนักรู้ว่าตนเองได้เกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวอายุ 18 ปี ที่เป็นทายาทร้านสมุนไพรตระกูลหวัง ซึ่งเป็นต้นตระกูลของแม่ และเธอต้องรับมือกับความร้ายกาจของพ่อที่รังเกียจลูกสาวเป็นดั่งสตรีไร้ค่า น้องชายแสนดื้อด้านที่เชื่อฟังแม่เลี้ยงที่มีศักดิ์เป็นน้าสาว ภายนอกแสนดี แต่ความคิดแสนอัปรีย์เสียจนเธอรับไม่ได้
‘ถงถง เธอเกิดมาในตระกูลอะไรเฮงซวยแบบนี้ได้ยังไง’
แต่ถงถงคนเก่าเป็นคนดีเกินไป...เธอเกิดใหม่ในร่างที่มีชื่อและแซ่เดียวกัน ดังนั้นจะมีนิสัยอ่อนปวกเปียกอย่างนั้นไม่ได้หรอก
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เธอเป็นคุณหนูใหญ่กู้ กู้ถงถงแต่กลับถูกพ่อที่ป่วยจนต้องนั่งรถเข็นไล่ออกจากบ้านเพื่อให้มาอยู่ร้านสมุนไพรของแม่ ที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เธอยืนกรานไม่ขายเด็ดขาด นั่นเป็นแรงกดดันให้เธอขายร้านนี้ และเอาเงินไปให้พวกเขาใช้ รวมทั้งบังคับให้เธอแต่งงานกับเศรษฐีแก่คราวพ่อแต่แต่งเป็นเมียน้อย ซึ่งไม่ว่าเป็นตายอย่างไรกู้ถงถงไม่ยอมเด็ดขาด
แต่กระนั้นบ้านตระกูลกู้ก็ยังรังแกเธอไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นน้าสาว หวังเมิ่งเมิ่งที่ขูดรีดรายได้ของร้านสมุนไพรโดยผ่านน้องชายอย่าง กู้หยางเหล่ย อายุ 8 ขวบเพื่อไปเสวยสุข
เจ้าพวกบัดซบ!
พ่อที่ไม่รัก น้องชายที่เกลียดชังและแม่เลี้ยงแสนดีจอมปลอม สิ่งเหล่านี้หรือที่ตอบแทนความดีที่เจ้าของร่างทำมาตลอด
โลกนี้โหดร้าย? โลกเดิมของเธอก็ไม่แพ้กัน
ถงถงขยับริมฝีปากแค่นเสียงเยาะเบา ๆ
“เฮอะ…งั้นมาเจอกันหน่อยเถอะ ว่าใครจะร้ายกว่ากัน”
กู้ถงถงสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองหน้าตัวเอง เมื่อเห็นสภาพตัวเองที่เป็นเด็กสาวใบหน้างดงามคนหนึ่งทำให้เธอทอดถอนใจ
ใบหน้าของกู้ถงถงกระจ่างใส ผิวเรียบเนียนไร้ที่ติ ไม่มีจุดด่างพร้อยทำให้เกิดความรำคาญลูกตาขณะมอง จมูกลาดรับกับใบหน้ารูปหยดน้ำได้อย่างพอเหมาะ นัยน์ตาประกายดุจดวงดาราบนท้องฟ้ายามมืดมิด แต่มันแฝงด้วยความเย็นชาของวิญญาณดวงใหม่ในร่าง ที่จะทำให้รู้สึกแตกต่างกันจากร่างเก่า
แต่ทว่าบานกระจกนั้นมีแสงประกายวาบส่งออกมาจนทำให้เธอยกมือขึ้นมองป้องดวงตา ก่อนที่มีแรงดึงดูดแขนของเธอให้เข้าไปในกระจก
วาบ!!
ร่างของเธอทะลุเข้าไปในกระจกแล้วพบกับเตาหลอมยาที่แสนทันสมัยในโลกของเธอที่จากมาก กับห้องสกัดตัวยาที่ทำให้เธอตาลุกวาว
[มิติหลอมยาเปิดแล้ว]
เสียงสะท้อนในห้องนั้นดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้ง เพราะตอนเข้ามามีเพียงเธอคนเดียว หากแต่ตอนนี้กลับมีเสียงที่ไม่รู้ที่มาดังขึ้น
เธอทบทวนอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในนิยายเรื่องหนึ่งในยุค 80 ที่มีชีวิตลำบากยากเข็ญ ต้องรักษาร้านสมุนไพรของแม่เอาไว้ด้วยชีวิต พร้อมกับแผนที่จ้องทำลายเธอจากแม่เลี้ยง
แต่เอาเถอะต่อให้ร้านสมุนไพรที่ใกล้จะเจ้ง เธอก็สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้ เพราะเธอน่ะมีสูตรยาและเตาหลอมยาอยู่เต็มไปหมด
แต่ขณะที่กำลังคิดหาทางรอดและรวยไปพร้อม ๆ กัน เธอก็ได้ยินเสียงเจ้าเด็กที่ไหนสักคนมานั่งนับอะไรสักอย่างอยู่ใกล้ ๆ
“หนึ่งเหมา สองเหมา สามเหมา สี่เหมา...”
เสียงเล็กเจื้อยแจ้วแต่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดนั้นดึงดูดถงถงจนทำให้เธอต้องออกจากห้วงมิติที่ใช้หลอมยา แต่ก่อนออกมาดูเหมือนถงถงจะเห็นว่ามีหีบคล้ายกับใส่เงิน แต่เมื่อเปิดออกหีบนั้นกลับเชื่อมกับที่เก็บเงินบ้านตระกูลกู้เสียอย่างนั้น...ทำให้ถงถงยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะเลือกกวาดเงินออกมาทั้งหมด แล้วเธอก็ออกมาจากห้วงมิติสำหรับหลอมยาของตัวเอง
เมื่อเธอออกมายืนเสียงนั้นก็ยังไม่หยุดนับจนต้องเปิดประตูออกไป
ห้องนอนเล็กอีกห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของเธอ ปรากฏร่างของเด็กชายตัวขาวอวบกำลังนั่งนับเหรียญในกล่องสังกะสีทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกับกล่องคุกกี้ เรียวคิ้วของเธอขมวดเล็ก ๆ มองภาพนั้นอย่างสงสัย ก่อนที่ความทรงจำของเธอในหัวจะพรั่งพรูราวกับหยาดฝนในเดือนพฤษภาคม
คุณหมิง หรือ อาหมิง เด็กชายตัวน้อยที่แม่ของเธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุเพียงหนึ่งขวบ จนสุดท้ายแม่ของเธอตายไป อาหมิงก็อยู่ในความดูแลของเธอ และมักถูกแม่เลี้ยงว่ากล่าวว่าเป็นตัวสิ้นเปลืองในบ้าน และไม่ถูกกับหยางเหล่ยน้องชายของเธอ
แต่เธอไม่รู้ว่าเจ้าเด็กอ้วนเหมือนซาลาเปาผู้นี้นับเศษเงินไปทำไมกัน จนกระทั่งเสียงเคาะหน้าร้านดังลั่น
ปัง ปัง ปัง !
“ถงถงพี่สาวเฮงซวย...เปิดประตูนะ...เอาเงินมาให้น้องชายอย่างฉันเดี๋ยวนี้”
“เฮ้อ...เจ้าเด็กเวรจอมขูดรีดมาอีกแล้ว ที่บ้านก้อนเกลือจะไม่มีให้กัดอยู่แล้วนะ ตระกูลกู้เป็นง่อยกันหมดแล้วหรือไง ถึงไม่ทำมาหากิน”
คุนหมิงถอนหายใจหลังบ่นยืดยาว ก่อนจะหันไปเห็นว่าพี่ถงถงมายืนมองเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากนั้นเขารีบปิดกล่องเก็บเงินก่อนจะซ่อนข้างหลัง
“นี่เงินของหมิงนะ...เราตกลงกันแล้ว เงินของหมิง คือของหมิง ไม่ให้เจ้าเด็กปากเสียขูดรีดแน่ อีกอย่างบ้านเราข้าวสารหมดแล้ว คูปองเหลือเพียงใบเดียวแล้วนะที่พวกเราจะไปซื้อของได้”
เรียวคิ้วของถงถงขมวดแน่น เจ้าเด็กนี่พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจสักนิดแต่เอาเถอะค่อย ๆ เรียนรู้ไปก็แล้วกันยังมีเวลาอีกมาก ก่อนเธอจะหยิบธนบัตรใบละสิบหยวนออกมาสองใบ
“นี่เงิน...เอาไปซื้อของที่ต้องใช้ในครัวทั้งหมดก็แล้วกัน ออกไปหลังบ้านเอารถเข็นไปใส่ ซื้อให้พอหนึ่งเดือน ส่วนหน้าบ้านฉันจะจัดการเอง”
คุนหมิงดวงตาเบิกกว้างไม่อยากจะเชื่อว่าร้านเราจะมีธนบัตรใบละสิบหยวนด้วยซ้ำ ขนาดเศษเหรียญแต่ละเหมายังต้องหาแทบพลิกแผ่นดิน
แต่คุนหมิงไม่มีเวลาคิดเพราะหากไม่เก็บเอาไว้เดี๋ยวเจ้าเด็กปากเสียมารีดไถเงินไปจนหมดแล้วจะอดข้าวกันอีก เขารีบใส่รองเท้าคู่เก่าแล้ววิ่งจู๊ดออกไปทางหลังบ้านเพื่อไปที่ร้านสหกรณ์เพื่อซื้อของที่หมดแต่ละอย่างเข้ามาในบ้าน
แน่นอนว่าคูปองหนึ่งใบเขาย่อมต้องใช้ให้คุ้มค่า
เมื่อลับหลังอาหมิงถงถงเหลือบไปเห็นไม้หวายที่วางอยู่ ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่การจะสั่งสอนน้องชายไม่ได้เรื่องพูดด้วยเหตุผลคงไม่เข้าใจ ควรลงไม้ลงมือนิดหน่อย
ในเมื่อพ่อเฮงซวยไม่มีเวลาสั่งสอนมัวแต่ขลุกกับแม่เลี้ยงที่ต้องปลอบใจว่าตนเองเดินไม่ได้ นิสัยต่ำทรามที่ได้รับถ่ายถอดจากแม่เลี้ยงมา เธอจะเสียสละขัดเกลาด้วยตนเอง