ร่างของกู้ถงถง เดินมาหยุดอยู่ตรงโถงที่ใช้จ่ายยาสมุนไพร เธอมองไปรอบ ๆ จนนึกอยากเปลี่ยนเครื่องเรือนทั้งหมดใหม่ รวมทั้งชั้นเก็บสมุนไพรพวกนี้ด้วย ตระกูลหวังเลือกให้แม่ของเธอเป็นผู้สืบทอด เพราะน้าสาวที่เป็นแม่เลี้ยงขณะนี้นั้นเป็นแค่ลูกของเมียน้อย ซึ่งคุณตารังเกียจเมิ่งเมิ่งยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน เพราะแม่ของเมิ่งเมิ่งอาศัยช่วงที่คุณตาเป็นไข้ปีนเตียง จนทำให้คุณยายช้ำใจตาย
หากเดาไม่ผิดเรื่องที่แม่ตายกับเรื่องที่หล่อนได้มาเป็นแม่เลี้ยงล้วนวางแผนกันมาดีแล้ว รวมทั้งวางแผนจัดการเธอด้วยการยืมมือน้องชายสินะ
หึ...ก็ลองดูว่าใครจะชนะกันในกระดานหมากนี้!
เธอเดินไปเปิดประตูร้าน เสียงบานพับที่ค่อนข้างเก่าและขึ้นสนิมจนเกิดเสียงเสียดสีดังขึ้น พอ ๆ กับเสียงด้านนอกที่หยุดลง เธอยืนกอดอกเพื่อจะได้พบกับน้องชายเจ้าของร่างเป็นครั้งแรก
แสงจากหน้าร้านสาดเข้ามาตามช่องประตูที่เปิดกว้าง ยามนี้ยังเช้าตรู่ที่แดดยังไม่แรงนัก ทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าแสงที่สาดกระทบเข้าตาจะทำให้รู้สึกแสบ โดยมีเงาของเจ้าเด็กแปดขวบในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดตาสไตล์ทหารเรือ กับกางเกงขาสั้นแค่เข่าและถุงเท้าสีขาวเข้ากับรองเท้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่น่าจะรับแต่พวกผู้ดีมีเงิน
แต่แปลกก็ตรงที่ว่าเจ้าเด็กที่เหมือนลูกคุณหนูผู้นี้กลับมารีดไถกับพี่สาวที่โดนไล่ออกจากบ้านจนแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอย่างเธอกับเจ้าอาหมิง จะว่าไปมันก็ทุเรศนิดหนึ่งนะว่าไหมล่ะ
สายตาของกู้ถงถงมองสำรวจอย่างเงียบ ๆ แล้วก็ลงความเห็นได้ว่าเจ้าเด็กนิสัยไม่ดีผู้นี้น่าจะถูกตามใจจนใคร ๆ ก็เอาไม่อยู่เป็นแน่ ตอนห้าขวบเจ้าเด็กนี่ถูกยายแม่เลี้ยงที่ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในตระกูลกู้เสี้ยมสอนให้รังเกียจอาหมิงและมีเรื่องทะเลาะกันจนคุณแม่ปวดหัวทุกวัน
นี่เรียกว่ายืมมือฆ่าคนสินะ เพราะรู้ว่าแม่รักเจ้าหยางเหล่ยมากแค่ไหน การที่ตัวเองเป็นโรคร้ายจึงเก็บเอาไว้ แต่ยายแม่เลี้ยงกลับให้ลูกชายบีบคั้นจนอาการของโรคกำเริบจนสุดท้ายก็จากไป
ผ่านมานานสามปี แม่เลี้ยงเข้ามามีบทบาทในบ้าน ผ่านการเห็นชอบจากลูกชายคนดีของพ่อ และลูกสาวที่ยามนี้อายุสิบแปดแล้วถึงวัยแต่งงานแต่กลับไม่แต่ง ขัดคำสั่งพ่อแม่แต่กลับต้องทำงานส่งเงินให้ครอบครัวที่ร่ำรวย
เมื่อทบทวนและวิเคราะห์ความเป็นไปได้แล้ว เธอก็เริ่มวางแผนในหัวเงียบ ๆ ทันที
หยางเหล่ยมองดูพี่สาวอย่างสงสัย ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้เงียบผิดปกติ ทั้งใบหน้ายังเรียบเฉย ไม่แสดงสีหน้าลำบากใจว่าไม่มีเงินให้เห็นสักนิด ผิดกับเมื่อเจ็ดวันก่อนที่ร้องไห้น้ำตาคลอและขอร้องให้เขารู้จักประหยัด
มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?
หยางเหล่ยได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“นี่...ถงถงเอาเงินมา ฉันจะรีบไปโรงเรียน” หยางเหล่ยพูดเหมือนปกติ เขาจะขอเงินถงถงใช้จนชินแล้วตั้งแต่แม่ตายไป เพราะแม่เล็กบอกว่าถงถงได้สมบัติของแม่ไปไม่น้อยเพื่อให้เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ จึงเป็นหน้าที่ของถงถง
“อยากได้เงินก็ต้องทำงาน”
ฮะ...อะไรนะ...ทำงานงั้นเหรอ คุณชายรองกู้อย่างฉันต้องทำงานที่ไหนกัน
“อย่ามามัวเล่นลิ้นเดี๋ยวฉันไปเรียนไม่ทัน คนขับรถรออยู่”
“ดีนี่...คุณชายรองกู้มีรถยนต์ส่วนตัวนั่ง แถมยังได้เรียนโรงเรียนที่มีชื่อ แต่กลับแบมือขอเงินพี่สาวที่โดนไล่ออกจากบ้าน เอ...เรื่องนี้จะว่าไปที่โรงเรียนนายไม่มีใครรู้นี่เนอะ ว่าคุณชายรองกู้น่ะไม่มีเงิน ทั้งที่พ่อก็เป็นลูกชายตระกูลใหญ่มีหน้ามีตา”
‘กู้หยางเหล่ยกัดริมฝีปาก—สิ่งที่พี่สาวพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น’
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะทุกวันต้องขอเงินจากพี่สาว ซึ่งพ่อของเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนของเขาเลย มันน่าเจ็บใจเพราะเขาจะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป
“อย่าพูดมากก็เคยให้ใช้อยู่ทุกอาทิตย์ อาทิตย์นี้ต้องได้สิบหยวน”
หยางเหล่ยกล่าวด้วยใบหน้าหงุดหงิด อาทิตย์ที่แล้วได้ไปแค่ห้าหยวน เขาใช้ไม่พอด้วยซ้ำ เพราะต้องไปซื้อของใช้ดี ๆ สำหรับใช้ในการเรียนถึงหนึ่งหยวน ห้าวันเขาใช้สี่หยวนเท่านั้น แต่กับสหายคนอื่นใช้วันละสองหยวน
“บอกแล้วไงอยากได้เงินก็ต้องทำงาน ต่อไปนี้ถ้านายมาแบมือขอเงินฉันต้องทำงานเท่านั้น ฉันไม่เคยให้ของใครโดยไม่ได้รับผลตอบแทน” กู้ถงถงยืนกรานคำเดิม ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะให้เงินกับหยางเหล่ยง่าย ๆ
“ถงถง...นี่เธอใช้แซ่กู้นะ...แล้วเธอเป็นพี่สาวที่ต้องเลี้ยงดูฉัน...เธอต้องจ่ายเงินมา”
“แล้วทำไมต้องจ่าย ในเมื่อนายก็มีพ่อ มีแม่เลี้ยงแสนดีของนายไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าพวกเขาก็ไม่ต้องการนายแล้วส่งนายมาให้ฉันเหรอ นายกินข้าวบ้างหรือเปล่าทำไมแค่นี้คิดไม่ได้ว่าคนบ้านนั้นไม่ต้องการนาย”
หยางเหล่ยผงะกับคำพูดของพี่สาว เขาคิ้วมุ่นจนแทบจะชนกัน จากนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างที่น่าสงสัยจริง ๆ
ตระกูลกู้มีเงินมากมาย แต่กลับไม่จ่ายค่าขนมให้เขา
“เริ่มฉลาดบ้างแล้วสินะ...ว่าง ๆ ก็ให้แม่เลี้ยงแสนดีของนายซื้อปลาให้กินบ้าง ไม่ใช่เอาเงินไปเลี้ยงผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”
แน่นอนว่าเรื่องนี้กู้ถงถงระแคะระคายอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีหลักฐานชี้ชัด แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านการตายมาหนึ่งครั้ง ผู้หญิงที่ยังสาวและสวยขนาดนี้เข้ามาในบ้านที่ครอบครัวร่ำรวยมีไม่กี่อย่าง
“นี่เธอพูดอะไร...ยังไม่เข็ดอีกเหรอใส่ร้ายแม่เล็กจนพ่อต้องไล่เธอออกจากบ้าน”
“ฉันใส่ร้ายเหรอ...ถ้าพ่อนายฉลาดบ้างก็จะรู้ว่าฉันน่ะพูดเรื่องจริง แต่ความจริงพ่อนายไม่ต่างจากลาเท่าไหร่หรอกนะ ก็แม่เลี้ยงนายเลี้ยงด้วยหญ้ามันมีแค่ไฟเบอร์ไม่มีสารอาหารที่บำรุงสมองยังไงล่ะ”
คำพูดนิ่ง ๆ ของถงถงทำให้หยางเหล่ยงุนงงหนักขึ้นไปอีก แต่ทว่าเขายืนเถียงกับพี่สาวมาตั้งนานแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา วันนี้ยังเป็นวันที่เขานัดกินขนมที่หน้าโรงเรียนกับสหาย หากเขาไม่มีเงินแล้วล่ะก็ สหายของเขาต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่
ทางด้านหน้าบ้านที่ถกเถียงกันเรื่องเงิน ส่วนหลังบ้านคุนหมิงที่ไปซื้อของจากสหกรณ์ใส่รถเข็นเข้าทางประตูหลังบ้านอย่างคล่องแคล่ว
อาหมิงทำงานตั้งแต่อายุเพิ่งได้สามขวบด้วยซ้ำ ต้องช่วยพี่สาวอย่างถงถงทำงาน อะไรที่หยิบจับได้เขาจะว่องไวมาก ดังนั้นเรื่องไปซื้อของเขาฉลาดและรอบคอบไว้ใจได้ ทั้งจดรายการที่ซื้อเอาไว้ให้พี่ถงถงทำบัญชีอีกด้วย
สมองของเขาจดจำเรื่องต่าง ๆ ได้เก่งรวมทั้งชอบสังเกตเป็นทุนเดิมดังนั้นเรื่องเอาตัวรอดเก่งที่หนึ่ง และยังหาข่าวบ้านไหนที่เจ็บป่วยให้พี่สาวไปรักษาเพื่อหาเงินเข้าร้าน
แต่เจ้าเด็กหน้าร้านผู้นี้ที่ใช้เงินเหมือนเบี้ยไร้ค่าที่ชอบขูดรีดเอาไปจนหมด เขาได้ยินเสียงที่ยังทะเลาะและถกเถียงกันไม่เสร็จ แต่เขาต้องจัดการห้องครัวให้เสร็จเสียก่อน
“ไข่ไก่หนึ่งแผง 1 หยวน 5 เหมา น้ำตาล 5 เหมา ข้าวสาร 2 หยวน น้ำมัน 5 เหมา ซอสถั่วเหลือง 2 เหมา....”
อาหมิงจัดไปก็ท่องไปด้วยจนกระทั่งของหนึ่งคันรถเข็นจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบและเขาจุดเตาเตรียมหุงข้าวทันที
เจ้าเด็กตัวอ้วนตวงข้าวให้พอดีกับการกินสองคน ซาวข้าวเสร็จก็ยกหม้อขึ้นตั้งบนเตาแล้วออกมาช่วยพี่ถงถงรับมือ กลัวจะโดนเจ้าเด็กสามหาวต่อว่าจนไม่กล้าสู้หน้าคน
แต่ก่อนออกจากครัวเขารีบเก็บเงินอีกสิบห้าหยวนเอาไว้อย่างดี แน่นอนว่าเงินนี้เขาสามารถซื้อของได้อีกหลายเดือน ไม่ให้เจ้าเด็กไร้มารยาทปล้นไปแน่
สองขาก้าวอาด ๆ พุงกลมนำหน้าออกมาก่อนจะเห็นใบหน้าที่เคยถือดีมีสีหน้าลำบากใจเป็นครั้งแรก เขายกยิ้มยักคิ้วข้างเดียวพร้อมกอดอกยืนข้างพี่ถงถงทันที
“ว่าไงเจ้าตัวขูดรีด...”
“เจ้าอ้วน...หยุดพูดจาหมา ๆ แบบนี้นะ” หยางเหล่ยที่เห็นหน้าเจ้าอ้วนเขาก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้าทันที
“หรือไม่จริงแบร่!” อาหมิงแลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าลิงหลอกเจ้าใส่โดยไม่สนใจว่าเจ้าหยางเหล่ยจะโมโหตายหรือไม่
“เอาล่ะ...อย่ามาเกะกะหน้าร้านฉันจะเปิดร้านแล้วถ้าไม่คิดจะทำงานก็อย่าหวังจะได้เงินจากฉัน”
กู้ถงถงพูดสั้น ๆ และเต็มไปด้วยความเย็นชาโดยไม่สนใจว่าน้องชายอย่างหยางเหล่ยจะรู้สึกอย่างไร