นัสรินมองใบหน้าที่อยู่เหนือใบหน้าของตัวเองอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้ท่าทางของปราณต์ไม่มีหลงเหลือวี่แววของคนเมาเลยแม้แต่นิด เธอจึงรู้ตัวว่าเสียรู้เขาให้แล้ว
“นี่คุณไม่ได้เมาเหรอคะ”
“เมา แต่สร่างเมาตั้งแต่ได้หอมแก้มคุณแล้ว”
“คนเจ้าเล่ห์” เธอต่อว่าเขาอย่างเจ็บใจตัวเองที่ถูกหลอก พยายามจะบิดมือออก แต่ยิ่งบิดยิ่งถูกมือแกร่งกดแน่น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเขายังโน้มหน้าลงมาใกล้มากกว่าเดิม จนลมหายใจอุ่นซ่านนั้นมากระทบซอกคอที่ไวต่อความรู้สึกของเธอ
“ถ้าไม่เจ้าเล่ห์ คุณจะยอมขึ้นมาส่งถึงนี่เหรอ”
“คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“เพราะผมไม่อยากให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียเก่าไปเป็นชู้กับผัวชาวบ้านน่ะสิ รู้หรือเปล่าว่าหมออรรณพมีเมียแล้ว” ปราณต์ไม่สนใจท่าทีเคืองขุ่นของเธอ แต่เขากลับถามกลับไปอย่างตำหนิ
“รู้ค่ะ คุณเป็นคนบอกนัสเองตั้งแต่เมื่อวานไม่ใช่เหรอ”
“รู้แล้วทำไมยังไปออกเดต นั่งกินข้าวใต้บรรยากาศสุดโรแมนติกในร้านแบบนั้น”
“นัสไม่ได้ทำอะไรที่มันเสียหายนี่คะ นัสแค่ไปคุยงานกับหมอณพ อ้อ...อีกอย่างถึงนัสจะออกเดตกับใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของนัสไม่ใช่เหรอคะ ในเมื่อตอนนี้นัสโสด” นัสรินเผลอประชดและสบตากับเขาอย่างไม่ยอมถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับการท้าทายต่อมหึงของอดีตสามีเลยสักนิด
“ยังไงก็มุ่งมั่นจะมีผัวเป็นหมอให้ได้ใช่ไหม แม้ว่าจะอยู่ในฐานะเมียน้อยก็ตาม”
“ค่ะ ก็อาชีพหมอเป็นอาชีพผู้ชายในสเป็กนัสนี่คะ”
“ทำยังไงคุณถึงจะไม่ไปออกเดตกับหมออรรณพอีก”
“ก็แค่คุณยอมรับออกมาตรงๆ ว่าหึงนัส นัสก็จะไม่ไปไหนกับใครอีก” หญิงสาวเลือกพูดในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ รู้ดีว่าปราณต์ไม่มีทางจะหึงเธอ เพราะเขาไม่ได้รัก
“ไม่มีทาง”
แม้คำปฏิเสธนั้นจะไม่ได้ผิดไปจากที่คาด แต่ก็อดเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ถ้าไม่รัก ถ้าไม่หึง ก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะหึง ก็อย่ามาแตะต้องตัวนัสแบบนี้ คุณไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนัสอีกแล้ว”
“มีสิ ก็สิทธิ์ของผัวเก่าไงล่ะนัสริน”
“ก็แค่ผัวเก่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่ผัวแล้วนี่คะ” ยิ่งพูดนัสรินก็ยิ่งเหมือนเด็กโง่ที่กำลังหาเรื่องใส่ตัวและท้าทายอารมณ์ของคนที่ได้เปรียบและถือไพ่เหนือกว่าตัวเองอยู่ทุกทาง
“ถ้างั้น เดี๋ยวผมจะทำให้ตัวเองเป็นทั้งผัวเก่าและผัวคนปัจจุบันของคุณตอนนี้เลย”
นัสรินเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา แววตาสีสนิมเหล็กที่สาดสะท้อนกับแสงไฟบ่งบอกชัดว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น มือแข็งแรงที่เคยตรึงข้อมือเล็กของเธอ ตอนนี้เลื่อนมาประสานลงระหว่างนิ้วทั้งสิบ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มต่ำลงมาช้าๆ คล้ายดั่งจะยั่วให้เธอหัวใจวายเล่น แม้เขาคืออดีตสามีที่เคยมีอะไรถึงขั้นลึกซึ้งกันมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวและเกิดขึ้นนานมากแล้ว จึงทำให้หัวใจของนัสรินเต้นแรงโลดไปหมด
“อย่านะคะหมอปราณต์ ปล่อยนัสนะคะ นัสจะกลับ” เสียงหวานร้องห้ามก่อนที่ริมฝีปากหยักจะแตะลงบนกลีบปากนุ่มของเธอแค่เสี้ยววินาที
เขาเงยหน้าขึ้นเพียงนิดและจ้องตาลึกลงไปในตาคู่สวยด้วยประกายบางอย่าง ที่ทำให้นัสรินต้องเอียงหน้าหนีพร้อมกับหลับตาปี๋ จึงทำให้รู้สึกถึงแต่ลมหายใจอุ่นๆ เจือมากับกลิ่นแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยามนี้ร่างกายของเธอมันมีแต่ความวาบหวามซ่านสยิวที่เพิ่มมากขึ้นๆ
“หน้าผมน่าเกลียดมากเลยเหรอ คุณถึงไม่ยอมลืมตามองผมนัสริน”
“เปล่าค่ะ”
ใครว่าหน้าตาเขาน่าเกลียดล่ะ ใบหน้าของเขาคร้ามคมหล่อเหลาและมีอิทธิพลต่อสายตาของเธอมากที่สุดต่างหาก จนไม่อยากให้เขาทำท่าแบบนี้ใส่ เพราะมันทำให้เธอแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน...
”งั้นก็ลืมตาขึ้นมองผมสิ”
“ไม่...” เสียงหวานเอ่ยปฏิเสธ พร้อมทั้งส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าไม่มองผมจูบนะ”
ปราณต์ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหู แกล้งปาดป่ายจมูกให้ถูกับแก้มละมุนนั้นเล่นด้วย ทำให้นัสรินต้องรีบลืมตาโพลงขึ้นมา พร้อมกับหาเกราะกำบังตัวเองให้พ้นจากภวังค์ที่เขากำลังสร้างขึ้น
“คุณเอาหมอเมย์ของคุณไปไว้ไหน ทำแบบนี้ไม่กลัวหมอเมย์จะเสียใจเหรอคะ”
“ก็เอาไว้ที่เดิม”
“คนเห็นแก่ตัว”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าทำไมผมจะต้องทำเหมือนเห็นแก่ตัวแบบนี้” เสียงถามนั้นนุ่มนวลลง ทำให้นัสรินเผลอมองตาคนถามราวกับต้องมนตร์สะกด
“นัสรู้แต่ว่าคุณเกลียดนัส คุณทำทุกอย่างก็เพราะคุณเกลียดนัส”
“ถ้าเกลียดจะลงทุนตามไปที่ร้าน จะลงทุนเมา จะลงทุนอ้อนให้คุณมาส่งถึงเตียงทำไม”
“ค่ะ...นัสก็สงสัยว่าทำไมคุณถึงจะต้องลงทุนขนาดนั้น”
“คิดถึง...”
คำสั้นๆ ที่สามารถละลายทุกความรู้สึก ทุกความสงสัย และทุกตะกอนในหัวใจออกไปจนหมดสิ้น กระทั่งเมื่อปราณต์โน้มหน้าลงมาแนบชิดอีกครั้ง เธอก็ลืมที่จะเอ่ยปากคัดค้าน จนเรียวปากถูกประกบจูบนัสรินถึงได้สติ พยายามจะต่อต้านเขาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไร้ผล เพราะเรียวลิ้นมากชั้นเชิงชำแรกผ่านเข้ามาในโพรงปากนุ่มชื้นของคนที่ประสบการณ์น้อยกว่าจนได้
ลิ้นอุ่นซ่านลากโลมไปทุกซอกอณูในปากเล็ก หยอกเอินลิ้นนุ่มของเธออย่างไม่รีบร้อน และเธอก็เผลอส่งลิ้นไล้ตอบเขาพร้อมกับที่มือเล็กซึ่งประสานเข้ากับนิ้วทั้งสิบของเขาที่แข็งเกร็งอย่างต่อต้านอยู่ก่อนหน้านี้ ค่อยคลายลงจนในที่สุดมันก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านโดยสิ้นเชิง
บทที่ 30มือใหญ่ละจากการประสานนิ้ว เคลื่อนวาบลูบไล้ไปทั่วเรือนกาย แม้จะไม่เต็มใจในคราแรก แต่กลิ่นกายและรสสัมผัสที่ร่างกายโหยหาอยู่ลึกๆ ก็ทำให้เธอระทดระทวยอยู่ภายใต้การเล้าโลมของเขา“อย่าค่ะ...เราไม่ควรทำแบบนี้”เสียงหวานร้องห้ามสั่นระริก เมื่อปราณต์เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายบอบบางของเธอ แม้ปากจะร้องห้ามหากร่างกายกลับไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ ออกมาแม้แต่นิด“ไปทำอะไรมาหือ ถึงได้สวยและมีน้ำมีนวลขึ้นแบบนี้”เสียงทุ้มที่เจืออาการกระเส่าดังขึ้นอย่างพึงพอใจ เมื่อร่างกายของเธอเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา จากนั้นปากเขา จมูกเขา มือเขา ก็แตะต้องลูบโลมไปทุกหนแห่งของร่างกายเธออย่างเป็นเจ้าของ ปลุกปั่นเลือดสาวให้เร่าร้อนราวกับถูกอังด้วยไฟกองโตความเย็นจากแอร์แผ่ซ่านเข้ามากระทบผิวกาย เมื่อปราณต์ลุกขึ้นจากการทาบทับ แต่ความเย็นสะท้านนั้นก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนในระยะเวลาแค่ชั่วพริบตา เมื่อนัสรินประจักษ์แก่สายตาว่าเขาลุกขึ้นไปทำไมตาคู่สวยมองจับจ้องไปยังเรือนกายเปลือยเปล่าที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ กระทั่งเรือนกายใหญ่โตนั้นเคลื่อนขยับมาทาบทับเรือนร่างที่ปราศจากอาภรณ์ของเธออีกครา นัสรินก็รู้ซึ้งถึงความร้อนซ่
บทที่ 31 แสงอรุณเช้าวันใหม่ทาทาบขอบฟ้าของเชียงใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำรู้สึกตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก จะแปลกก็แค่เช้านี้ไม่ได้ตื่นมาเพียงลำพัง แต่เตียงกว้างตอนนี้มีร่างบางของอดีตภรรยาสาวนอนอยู่ด้วย ตาของเธอหลับพริ้ม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ร่างกายที่เปลือยเปล่าเพราะเขาเป็นคนถอดเสื้อผ้าของเธอเองกับมือสอดซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา มีเพียงช่วงหัวไหล่ขาวละมุนเท่านั้นที่โผล่พ้นขึ้นมาให้เห็นเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า ผิวพรรณทั่วเรือนกายของเธอก็เนียนละมุนเช่นเดียวกับส่วนที่เปิดเปลือยต่อสายตาของเขาในตอนนี้ ปราณต์ลุกไปจากเตียงเงียบๆ ไม่ได้ปลุกให้ผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างๆ ตื่นแต่อย่างใด เขารู้ว่าเธอคงจะเพลียไม่เบา เพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะยอมให้เธอนอน เวลาก็ล่วงไปเกือบตีสี่แล้ว ร่างสูงกำยำก้าวเข้าไปใต้ฝักบัว ก่อนจะเปิดก๊อกให้น้ำอุ่นๆ สาดละอองลงมาอาบชโลมร่างเปลือยเปล่าในยามเช้าอย่างผ่อนคลาย ผ่านไปกว่ายี่สิบนาที เขาจึงกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง โดยสวมเสื้อคลุมสีขาว ผมยังเปียกลู่เพราะเมื่อครู่นี้สระผมมาหมาดๆ มือใหญ่จึงเอื้
บทที่ 32“นี่ผมตาฝาดไปหรือเปล่าครับที่เห็นแม่มาบ้านผมแต่เช้าขนาดนี้” ปราณต์เอ่ยทักทายมารดาแบบเรียบๆ และพอจะรู้ถึงสาเหตุการมาของผู้เป็นแม่ เมื่อเหลือบไปเห็นกระเป๋าของนัสรินวางอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟาชั้นล่าง“ไม่ได้ตาฝาดหรอก บัวคำบอกแม่ว่าแกพาผู้หญิงมาค้างที่บ้าน”“ข่าวของแม่นี่เร็วเสมอเลยนะครับ”“แล้วผู้หญิงที่ปราณต์พามาค้างด้วยนั้นเป็นใคร” คนเป็นแม่ถามทั้งที่รู้แก่ใจดี แต่อยากได้ยินจากปากลูกชายมากกว่า“แม่น่าจะรู้แล้วนะครับ” ปราณต์ตอบอย่างรู้ดีว่าแม่ของตนฉลาดแค่ไหนแม่เลี้ยงลักษิการะบายลมหายใจออกมาแรงๆ เพื่อผ่อนคลายความหนักอก นางรู้ว่านัสรินกลับมาเชียงใหม่เพื่อมาทำงาน แต่แม่เลี้ยงผู้กว้างขวางอย่างตนกลับไม่เข้าใจลูกชายของตัวเองสักนิด ว่าทำไมถึงได้หวนกลับไปยุ่งกับอดีตภรรยาที่แต่งและหย่ากันภายในสามเดือน ด้วยเหตุผลที่ว่าไปกันไม่ได้และทั้งคู่ไม่ได้รักกัน ครั้งนั้นนางสงสารนัสรินไม่น้อย แต่ก็คิดว่านัสรินคงเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะยังสาวยังสวย แถมกิริยาวาจาก็ดีพร้อมไปเสียหมด“มันเกิดอะไรขึ้นหือปราณต์ ไปยุ่งกับน้องทำไมอีก คราวที่แล้วก็จูบน้อง คราวนี้ก็พามาค้างที่บ้านด้วย มันยังไงกันแน่ ในเมื่อหย่
บทที่ 33เสียงโทรศัทพ์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อก้มดูหน้าจอว่าใครโทร.มา แม้หัวใจจะเจ็บช้ำปานใดเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นเบอร์ของคนในครอบครัวของปราณต์ แต่นัสรินก็ตัดสินใจรับเพราะอย่างน้อยธรินดาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักสำหรับเธอมาตลอด ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังหมั้นกับปรัชญ์“สวัสดีจ้ะน้องเล็ก” น้ำเสียงยามกรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นยังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอาการเช่นใด แม่เลี้ยงลักษิกาคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับธรินดาและปรัชญ์ฟังหมดแล้ว และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ธรินดาโทร.มาหา“สวัสดีค่ะพี่นัส วันหยุดนี้พี่นัสจะไปไหนหรือเปล่าคะ พวกเราว่าจะไปเที่ยวดอยที่เชียงรายกัน พี่นัสไปด้วยกันไหมคะ”ธรินดาเอ่ยชวนมาอย่างมีไมตรีจนคนฟังสัมผัสได้ถึงความจริงใจ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจลังเลว่าจะไปด้วยดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยคนในครอบครัวของอดีตสามีก็ดีกับเธอทุกคน แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าเธอคงไม่มีหน้าไปพบใคร“วันเสาร์นี้พี่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯ น่ะจ้ะ เอาไว
บทที่ 34นัสรินหยิบมาเปิดดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดราวกับขาดโลหิตอย่างอึ้งๆ เพราะจำนนด้วยหลักฐาน เธอไม่คิดว่าปราณต์จะได้เห็นการ์ดพวกนี้ เพราะการ์ดพวกนี้เป็นส่วนที่เธอแจกให้กับญาติและเพื่อนสนิทฝั่งตัวเอง ซึ่งในการ์ดแต่งงานที่ออกแบบอย่างสวยงามนั้น ระบุชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นชื่อของเธอกับเขา นั่นเป็นการยืนยันชัดว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการตกกระไดพลอยโจน แต่เกิดจากความตั้งใจของเธอกับปรัชญ์ที่วางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้ปราณต์แต่งงานกับเธอแทน“คุณอยากให้นัสชดใช้ยังไงล่ะคะ” เธอหันไปถามเมื่อคิดว่ายังไงเรื่องนี้ตัวเองก็เป็นคนทำผิดจริงๆ“คุณน่าจะรู้ดีนะนัสริน ว่าผมยังต้องการร่างกายของคุณ”คำพูดนั้นแสนเย็นชาและฟังดูใจร้ายเหลือเกิน และแม้นัสรินจะรู้อยู่แล้วก็ยังอดปลาบแปลบใจไม่ได้“นัสก็ให้คุณไปแล้วนี่คะ” นัสรินเชิดหน้าขึ้นตอบ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉย เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาต่อคำพูดของเขาเช่นกัน“น้อยไปไหม แค่ครั้งเดียวผมยังไม่อิ่มหรอก”“แล้วต้องกี่ครั้ง คุณปราณต์ถึงจะพอ”“จนกว่าผมจะพอใจ”นัสรินจ้องหน้าคนใจร้ายเลือดเย็นอย่างน้อยใจ เขาช่างพูดออกมาได้ว่าเธอ
บทที่ 35แท็กซี่จากสนามบินแล่นมาจอดยังลานหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางกว่าสามร้อยตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดแน่นหนา พื้นที่รอบบ้านเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของสนามหญ้าซึ่งปลูกแซมด้วยต้นปาล์ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่ากว้างขวาง ชวนสบาย บ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีสำอางกับลุงเล็กสองสามีภรรยาที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านรวมทั้งสายหยุดลูกสาวของทั้งคู่ต่างเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาจากรถคือปราณต์ซึ่งมาพร้อมกับนัสรินที่เป็นอดีตภรรยาเก่าก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก“สวัสดีค่ะคุณปราณต์ คุณนัส” สำอางยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคน ซึ่งปราณต์และนัสรินก็ยกมือขึ้นรับไหว้ เพราะถึงแม้ว่าสำอางจะเป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่า“สบายดีนะป้าสำอาง ลุงเล็ก สายหยุด”“สบายดีทุกคนค่ะ อิฉันไม่ทราบว่าคุณปราณต์จะมา ไม่อย่างนั้นคงให้ตาเล็กไปรับที่สนามบินแล้วละค่ะ”“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งแท็กซี่มาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทุกคนมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมดูแลตัวเองได้ อ้อ...แล้วไม่ต้องโทร.บอกแม่ล่ะว่าผมมาที่นี่” ปราณต์สั่งกำชับในประโยคท้าย ทำให้ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยและอยากบอกแม่เลี้ยงลัก
บทที่ 36“ผมพูดความจริงต่างหาก หรือคุณจะปฏิเสธว่าเวลาคุณจะถึงคุณไม่ครางแบบนี้”“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดนัสจะ...จะ...” จู่ๆ นัสรินก็คิดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะขู่อะไรดี ปราณต์ถึงจะกลัว“จะอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นและยิ้มยวนอย่างท้าทาย นั่นยิ่งทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกต้อนเจ็บใจมากกว่าเดิม จึงคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้น“นัสจะแทงคุณด้วยมีดนี่” นัสรินหวังว่าความแหลมคมของมีดจะทำให้ปราณต์กลัวและเลิกตอแยกับเธอ แต่เปล่าเลยเขายังคงยืนนิ่งและท้าทายให้เธอลงมือจริงๆ“ก็เอาสินัสริน อยากแทงตรงไหนบนตัวผมก็แทงเลย จะแทงที่คอ ที่หัวใจ หรือจะที่ท้องก็ได้นะ ผมขออย่างเดียวอย่าแทงข้างหลังผมอีก”“คุณอย่านึกว่านัสไม่กล้านะ” ปากขู่ฟ่อ แต่มือสั่นเทา ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อปราณต์ยืนรอราวกับไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดที่เธอจะมอบให้แม้แต่นิด“ก็ไม่คิดว่าจะไม่กล้า ผมแค่บอกให้คุณแทงตามสบาย แทงได้ทุกที่ ยกเว้นข้างหลังผม”คำพูดอันตอกย้ำว่าเขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังอีก บวกกับท่าทีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของร่างสูงซึ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้นัสรินเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง เธอวางมีดในมือลงที่เดิม พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจนตัวโยน“
บทที่ 37นัสรินคร้านจะมีเรื่องด้วยจึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อน มองดูปราณต์หยิบนั่นหยิบนี่ใส่กระทะอยู่เงียบๆ ตอนนี้ในห้องครัวไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงการเคลื่อนไหวของเขา และเสียงตะหลิวที่เคาะกับกระทะเป็นระยะไม่นานข้าวผัดอเมริกันหน้าตาน่ากินสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะ จากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็นั่งกินเงียบๆ หากแต่หญิงสาวแทบจะกลืนข้าวไม่ลง เพราะมีสายตาคมๆ นั้นจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เมื่ออิ่มนัสรินก็ทำหน้าที่เก็บจานไปล้างอย่างอ้อยอิ่ง พลางคิดว่าหลังจากนี้จะหลบเลี่ยงปราณต์ยังไง เธออยากมีเวลาอยู่กับตัวเองก่อน ไม่ใช่อยู่ในสายตาของเขาทุกย่างก้าวแบบนี้ แต่ปราณต์ก็ไม่ให้เวลาเธอคิด เมื่อเธอล้างจานไม่เสร็จเสียที เขาก็เป็นฝ่ายดึงจานจากมือเล็ก จัดการล้างเสียเองและเสร็จภายในไม่กี่พริบตา จากนั้นเขาก็หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับจับข้อมือของเธอเอาไว้มั่น“คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะ”ขึ้นห้อง...เขาคงไม่พาขึ้นไปเฉยๆ หรอกกระมัง ในเมื่อเขาประกาศความต้องการของตัวเองออกจะชัด ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม“คุณขึ้นไปก่อนเถอะค่ะ นัสขอเดินย่อยอาหารสักพัก” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่เธอคิดออกในเ
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน