“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นห่วงต่อไป เพราะผมจะไม่หยุด”
“ออยผิดอะไร ทำไมคุณจะต้องดึงเพื่อนนัสมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
“ผิดตรงที่เขาเป็นเพื่อนกับคุณไงล่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้ชวนเขามาอยู่ด้วยเพื่อกีดกันไม่ให้ผมไปหาได้อย่างสะดวก”
นัสรินอึ้งและชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าปราณต์จะรู้ทันความคิดของตน แต่ก็ยังยืนกรานเสียงแข็งเป็นกระต่ายขาเดียว
“อย่ามาหาเรื่องกันนะคะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณว่าเสียหน่อย ออยอยากมาเที่ยวเชียงใหม่ นัสก็แค่ชวนมา”
“คุณออยคงเสียใจน่าดู ถ้าได้รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของการชวนของคุณ ว่ามันคืออะไร”
“อย่ามาทำตัวเป็นบ่างช่างยุให้เพื่อนต้องผิดใจกันเพราะผู้ชายคนเดียวเลยนะคะ คุณหมอว่างมากหรือไง”
ปราณต์ไม่ตอบในทันที แต่ลุกจากโต๊ะแล้วเดินอ้อมไปยืนใกล้ๆ อีก นัสรินซึ่งกลัวเขาจะทำอะไรเหมือนเมื่อครู่ รีบดีดตัวจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ปราณต์จึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังอุ่นๆ นั้น แล้วตวัดแขนคว้าเอวเล็กมานั่งลงบนตักแทน
“ปล่อยนะคะคุณปราณต์!” นัสรินดิ้นขลุกขลัก ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ ก็ต้องมาถูกเขากอดในลักษณะนี้
“ไม่ปล่อย นั่งคุยกันแบบนี้น่าจะรู้เรื่องมากกว่า”
“ไม่ว่าคุยกันแบบไหนนัสก็คุยรู้เรื่อง ยกเว้นแบบนี้”
“ทำไม? คุยแบบนี้แล้วเป็นยังไง อย่าบอกนะว่ามีอารมณ์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็รอให้แม่บ้านเอาข้าวมาส่งก่อนแล้วจะจัดให้ เพราะถ้าจัดตอนนี้อาจจะมีคนขัดจังหวะตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ผมไม่แน่ใจเสียด้วยสิว่าต้องใช้เวลากี่นาทีถึงจะเสร็จ”
“คนบ้า! คนสัปดน! ปล่อยนัสเดี๋ยวนี้!” แม้จะเริ่มชินกับการพูดจากวนโมโหและสองแง่สองง่ามสุดโผงผางของเขาแล้ว แต่นัสรินก็อดอับอายและโกรธกรุ่นไม่ได้
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ปล่อย” คราวนี้ปราณต์ไม่แค่พูดแต่ยังกดจมูกลงซุกไซ้ที่ซอกคอขาวละมุน ทำให้นัสรินต้องเอนตัวหนีเป็นพัลวัน
“คุณปราณต์พอได้แล้วค่ะ...” นัสรินเปลี่ยนจากน้ำเสียงแข็งๆ มาเป็นเสียงอ่อนหวานแทนบ้าง ความจริงนี่คือตัวตนของเธอ คำพูดคำจาแข็งกระด้างส่วนใหญ่เธอแทบจะไม่ได้พูดเลย แต่มันจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาอยู่กับปราณต์เท่านั้น
“ถ้าจะให้พอก็หยุดดิ้นแล้วคุยกันดีๆ” ปราณต์พึมพำชิดกับซอกคอของเธอ โดยยังไม่ยอมละใบหน้าไปไหน
“ก็ได้ค่ะนัสจะหยุดดิ้น คุณปราณต์ก็เลิกรังแกนัสเสียทีสิคะ” หญิงสาวรีบรับปาก เพราะเริ่มเหนื่อยและกลัวตัวเองจะอ่อนไหวกับสัมผัสของเขาไปมากกว่านี้
“จูบผมด้วย”
“อะไรนะคะ!” นัสรินเผลออุทานออกมาเสียงดังใส่คนได้คืบจะเอาศอก
“ผมบอกให้จูบผมด้วย” ปราณต์ย้ำเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธแทบจะทันที
“งั้นผมก็ทำต่อ บอกไว้ก่อนนะว่าคราวนี้ผมจะไม่แค่ไซ้คอ แต่จะไซ้ที่อื่นด้วย” ไม่แค่พูดแต่มือใหญ่ข้างหนึ่งยังระขึ้นมาแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในของเธอออกด้วย นัสรินรีบตะครุบมือเขาไว้เป็นพัลวัน สุดท้ายก็ต้องร้องบอกเขาไปอย่างคนปราชัย
“อย่าค่ะ... นัสจูบก็ได้ค่ะ”
ปราณต์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เงยหน้าขึ้นจากซอกคอแล้วจ้องหน้าหวานๆ นั้นนิ่งๆ แกมข่มขู่ ทำให้นัสรินต้องค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปจูบที่ปากหยักสวยของเขา ตั้งใจว่าจะแค่แตะเบาๆ แล้วก็ถอยหนี
ปากนุ่มแตะลงบนเรียวปากหยักที่เคยพร่างพรมฝากรอยสัมผัสบนร่างกายของตนไปทั่วทุกแห่งหนแล้ว แม้จะแค่สัมผัสเบาๆ แต่ก็อดสะท้านไม่ได้ เธอกำลังจะยกหน้าหนี แต่ปราณต์ไวกว่า เขาตวัดมือขึ้นโอบกระชับศีรษะของเธอแล้วกดตรึงเอาไว้ จากนั้นก็เป็นฝ่ายบดจูบเรียวปากนุ่มนั่นเสียเอง นัสรินส่ายหน้าไปไหนไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นั่งนิ่งให้เขาจูบและเผลอจูบตอบเขาอย่างดูดดื่ม คล้ายว่าต่างคนต่างก็โหยหากันและกันอยู่ลึกๆ
มือของปราณต์ลูบต่ำไปที่เอวเล็ก บีบคลึงสะโพก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปยังต้นขา ลูบไล้ความขาวเนียนอยู่ตรงนั้นโดยที่คราวนี้นัสรินลืมที่จะห้ามปราม เพราะมัวแต่เพริดพลิ้วอยู่กับรสจุมพิตที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นจากข้างนอก ทำให้ปราณต์หยุดชะงักตัวเองอย่างคนที่ได้สติก่อน แต่นัสรินยังเหมือนคนเมารสจุมพิต กระทั่งอุ่นคำซึ่งเป็นแม่บ้านของออฟฟิศประคองถาดอาหารเข้ามา เธอจึงรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองนั่งอยู่บนตักของปราณต์
“ป้าเอาข้าวมาให้ค่ะ” อุ่นคำจำได้ว่าผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีที่กำลังกอดเจ้านายสาวของตนอยู่นั้นคือหมอปราณต์ เนื่องจากตนเคยไปรักษาที่คลินิกของเขา นางคิดอย่างคนไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังมาก่อนว่า หมอปราณต์ผู้ใจดีของคนไข้น่าจะมาจีบนัสริน และทั้งคู่น่าจะตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแล้ว นัสรินถึงได้ยอมนั่งตักหมอและให้หมอกอดแบบนั้น
แม่บ้านได้แค่คิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รีบเอาถาดอาหารวางไว้ที่โต๊ะ แล้วออกจากห้องไปอย่างรู้งาน แต่คนที่ถูกกอดและถูกจูบเมื่อครู่นี้เดือดร้อนหนัก อายสุดอายที่แม่บ้านมาเห็นภาพเช่นนั้น จึงหันไปเล่นงานคนที่เป็นต้นเหตุทันที
“สะใจหรือยังคะที่ทำให้นัสอับอายได้”
“สะใจอะไร อย่าลืมสิว่าเมื่อกี้คุณเองก็จูบตอบผม แถมตอนที่ผมหยุดจูบคุณยังทำท่าเสียดายอยู่เลย มองตามซะตาปรอยเชียว” ปราณต์ยิ้มออกมาอย่างไม่มีท่าทีเดือดร้อนใจใดๆ กับการที่แม่บ้านเข้ามาเห็น ก็แน่ละเขาไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องอับอายนี่
“กลับไปได้แล้วค่ะนัสจะทำงาน” นัสรินเอ่ยปากไล่อย่างเคืองขุ่น
“แต่ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยนะ”
“งั้นก็ยกออกไปทานข้างนอกคนเดียว นัสไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ถึงเวลาแล้ว ผมไม่ชอบให้เมียผอม”
บทที่ 50“เมื่อไหร่จะเลิกอ้างสิทธิ์บ้าๆ นี่เสียที” นัสรินแหวออกมาอย่างสุดจะทนฟังถ้อยคำเช่นนั้น เขาจะมาเรียกเธอว่าเมียทำไม เธอก็แค่เครื่องสนองอารมณ์การแก้แค้นของเขา ส่วนเขามีแฟนอยู่แล้วและตอนนี้ก็ทำท่าจะจีบเพื่อนของเธออีก“ก็บอกแล้วว่าเมื่อผมเบื่อ ซึ่งไม่น่าจะเร็วๆ นี้ ตอนนี้เกมเพิ่งเริ่มแถมยังสนุกมากขึ้นแล้วนัสริน” ปราณต์กล่าวประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมลงอีกครั้ง ความเป็นกันเอง ขี้เล่น เมื่อครู่นี้เหมือนจะเลือนหายไปตามความคิดของนัสริน ทำเอาหัวใจดวงน้อยแห้งเฉาไปด้วย เธอนึกโกรธตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ว่าปราณต์จะพูดจะทำอะไรเธอก็มีอารมณ์ร่วมกับเขาอย่างง่ายดาย“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยนัสค่ะ นัสจะไปกินข้าว กินเยอะๆ ให้อ้วนไปเลย คุณจะได้เบื่อเร็วๆ”“ไม่เป็นไรกินให้เต็มที่เลย ผมมีวิธีรีดไขมันก็แล้วกัน แล้วนี่ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าที่ผมซื้อให้”“นัสยังไม่ได้ซักนี่คะ” นัสรินคร้านจะยืนกรานว่าไม่อยากให้เขามาบงการเรื่องการแต่งตัว เพราะรู้ดีว่าต้องถูกปราณต์เล่นงานเอาอีกแน่ๆ จึงได้แต่บอกปัดๆ“เอาละพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ หวังว่าจะได้เห็นคุณใส่ชุดใดชุดหนึ่งที่ผมซื้อให้ ถ้าผมยังเห็นคุณใส่ชุดวับๆ แวมๆ อยู่แบ
บทที่ 51เสื้อผ้าที่ส่งซักตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นถูกนำมาส่งตั้งแต่เช้าตรู่ ในสภาพซักรีดเรียบร้อยหอมกรุ่นน่าสวมใส่ หากทว่านัสรินกลับไม่คิดจะแตะต้องมัน ทั้งๆ ที่เมื่อวานตั้งใจว่าวันนี้จะใส่ตามที่ปราณต์บังคับ มือเรียวบางหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากตู้แล้วใส่อย่างเมินเฉยต่อคำสั่งของปราณต์ “เดี๋ยวนี้เธอดูสวยและเปรี้ยวขึ้นมากนะนัส ถามจริงสวยขนาดนี้ไม่มีคนมาจีบเหรอ”พินทุสรที่เพิ่งตื่นนอนถามขึ้นขณะที่นัสรินกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง“ไม่มีหรอกออย ใครจะมาชอบแม่หม้ายอย่างเรา”“สมัยนี้ใครเขาสนเรื่องแบบนี้กันล่ะ”“ก็คงมีอยู่นั่นแหละ ผู้ชายส่วนใหญ่รับไม่ได้หรอก อีกอย่างถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะรับได้ ทางครอบครัวเขาก็คงไม่เห็นด้วยถ้าจะให้คบหากับผู้หญิงที่มีตำหนิแล้วอย่างเรา”“แต่เราว่าเธอไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองมากกว่า เอามั้ยเดี๋ยวเราหาฝรั่งหล่อๆ ให้ จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าครอบครัวเขาจะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เธอเคยแต่งงานมาก่อน” พินทุสรเอ่ยอาสาและคะยั้นคะยออย่างกระตือรือร้น“ไม่เอาหรอก” นัสรินปฏิเสธแบบจะไม่คิด ทำเอาพินทุสรขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขัดใจ“ทำไมล่ะ”“เรายังไม่อยากมีใครตอนนี้”“
บทที่ 52ก๊อก...ก๊อก... นัสรินพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน หญิงสาวเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งทุ่มกว่าๆ ซึ่งยังไม่ใช่เวลานัดของปราณต์กับพินทุสร เธอจึงเป็นคนเดินไปเปิดประตู เพราะคิดว่าเป็นพนักงานร้านซักรีด เอาเสื้อผ้ามาส่ง “คุณปราณต์...” เสียงหวานอุทานออกมาเบาๆ อย่างตกใจกึ่งแปลกใจ “ใช่...ผมเอง ผมมาหาคุณออย” ปากบอกว่ามาหาผู้หญิงที่อยู่ในห้อง แต่ตากลับจ้องมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายกำลังสำรวจสมบัติส่วนตัวของตัวเอง และไม่พอใจที่เห็นเธอยังใส่เสื้อผ้าแบบที่เขาไม่ชอบ แต่นัสรินก็เชิดหน้าขึ้น...จะชอบหรือไม่ชอบ มันก็เรื่องของเขา “มาแล้วเหรอคะคุณปราณต์” พินทุสรที่ได้ยินเสียงของปราณต์รีบวางแปรงแต่งหน้า และขยับมาหาเขาที่ประตู ทำให้นัสรินจำต้องหลีกทางให้ และขยับไปยืนในห้องเงียบๆ “ครับ” “ไหนว่าจะมาสองทุ่มกว่าๆ ไงคะ” “ผมมาเร็วกว่ากำหนด เพราะกลัวว่าคุณออยจะออกไปกับคนอื่นก่อน” “จะให้ออยไปกับใครล่ะคะ ออยไม่มีใครนี่” “คุณออยก
บทที่ 53ตีสอง...เสียงเปิดและปิดประตูที่ดังขึ้น ไม่ได้ทำให้นัสรินรู้ตัวสักนิด ว่าตอนนี้มีผู้ล่วงล้ำเข้าในห้องของตนในยามวิกาล ร่างบางยังคงหลับสนิทโดยสองข้างแก้มมีคราบน้ำตาจางๆ ติดอยู่ ความมืดดูเหมือนจะเป็นใจให้ผู้บุกรุกก้าวย่างเข้ามาได้อย่างย่ามใจ และตอนนี้เงาทะมึนนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างเตียงของเธอแล้ว หากนัสรินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่นแต่อย่างใด กระทั่งที่นอนข้างตัวยุบยาบลงด้วยน้ำหนักตัวของใครคนหนึ่ง พร้อมกับที่ร่างใหญ่นั้นเคลื่อนมาประกบแนบชิดจากทางด้านหลัง ตวัดแขนโอบกอดเอวเล็กไว้แน่น พร้อมกับที่จมูกโด่งฝังลงซอกคอขาวละมุนหนักๆ นัสรินจึงลืมตาโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืด ตอนแรกคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ไออุ่นๆ และความใหญ่โตที่แนบประกบอยู่ด้านหลังก็ทำให้ความงงแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ “กรี๊…” เสียงร้องนั้นดังอยู่แค่ริมฝีปาก เพราะถูกมือใหญ่เคลื่อนมาประกบปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ร่างบางดิ้นขลุกขลักเต็มแรงด้วยความตกใจกลัวต่ออันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย “ไม่ต้องกลัวหรอกน่านัสริน ผมเอง...” เสี
บทที่ 54ตีห้าแล้ว...แต่ท้องฟ้าในฤดูหนาวก็ยังคงมืดมิด คล้ายกับจะเปิดโอกาสให้คนมีคู่ ได้มีเวลาอิงแอบแนบชิดกันนานกว่าเดิม หากแต่นัสรินรู้ดีว่าฤดูกาลเหมันต์สุดจะโรแมนติกนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับเธอกับปราณต์ ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนเวลาที่ตื่นปกติ อยากจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน แต่ไออุ่นและท่อนแขนที่วางพาดเอวเธออย่างแสดงความเป็นเจ้าของ บ่งบอกชัดว่าตอนนี้ปราณต์นอนอยู่บนเตียงของเธอ โดยที่ทั้งเขาและเธอต่างไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวกันเท่านั้น ที่ปกป้องเขาและเธอจากอากาศภายนอก ปราณต์ยังคงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอราวกับไม่รู้สึกรู้สมว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นมันทำให้เธอเดือดเนื้อร้อนใจเพียงใด เขามันคนร้ายกาจที่มีอะไรกับผู้หญิงสองคนซึ่งเป็นเพื่อนกันในคืนเดียวกันและในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ที่น่าเจ็บใจไปมากกว่านั้นก็คือตัวเธอเอง ที่พอเวลาใกล้เขา ถูกเขาแตะนิดต้องหน่อย พูดจาออดอ้อนหวานหูเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ร่างกายเธอก็อ่อนระทวยเป็นเนยเหลวที่โดนไฟอังไปในทันที “คุณปราณต์คะ คุณปราณต์” นัสรินเรียกและเขย่าแขนเพื่อปลุก “หือ..
บทที่ 55“นัสก็บอกไปแล้วเหมือนกันค่ะว่านี่มันเนื้อตัวของนัส นัสจะแต่งตัวแบบไหนมันก็สิทธิ์ของนัส” นัสรินย้อนอย่างนึกเคืองใจในน้ำเสียงที่ห้วนจัดของเขา “ผมก็เตือนคุณแล้วเหมือนกัน ว่าถ้าผมยังเห็นคุณใส่ชุดแบบนี้อีก ผมจะจับคุณแก้ผ้าและใส่ชุดที่เห็นว่าเหมาะสมให้แทน” พูดจบปราณต์ก็สลัดผ้าห่มทิ้ง ตวัดขาลงจากเตียง แล้วก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวนัสริน ร่างสูงที่ไร้อาภรณ์ปกปิดกายเข้ามายืนประกบหลัง โอบแขนแข็งแรงทั้งสองข้างมาจับแขนเล็กของเธอเอาไว้ ทำให้ตอนนี้นัสรินอยู่ในสภาพที่ยืนหันหน้าเข้าหากระจกเครื่องแป้ง โดยมีร่างเปลือยเปล่าของปราณต์ประกบแนบชิดอยู่ด้านหลัง แขนทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วยมือที่นุ่มแต่แข็งแรงราวกับปลอกเหล็กของเขา “นี่คุณจะทำอะไร!” “ก็จับคุณแก้ผ้าไงนัสริน” “ปล่อยนัสนะคะ เดี๋ยวนัสจะไปเปลี่ยนก็ได้”นัสรินดิ้นขลุกขลักสลับกับหน้าร้อนผ่าว เพราะยามที่ดิ้นเช่นนั้น บั้นท้ายของเธอก็เสียดสีเข้ากับความแข็งขึงที่ผงาดพองตัวตามธรรมชาติของผู้ชายในยามเช้า “หมดเวลาแล้วนัสริน ผมให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณเลือ
บทที่ 56แพขนตางอนสั่นระริก เมื่อปราณต์แทรกลิ้นเข้ามาในปากของเธออย่างง่ายดาย คล้ายกับว่าเธอเองก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี จากนั้นลิ้นนุ่มและลิ้นสากก็ม้วนกระหวัดเข้าพันกันอย่างดูดดื่ม พร้อมๆ กับที่คลื่นความวาบหวามขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นในท้องน้อยของนัสริน จนเธอเผลอยกมือขึ้นโอบกอดรอบคอเขาและจูบตอบเขาอย่างเนิ่นนาน“ถ้าคุณน่ารักกับผมแบบนี้ตลอดไปก็ดีสินะ” ปราณต์พูดขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าสวยๆ และปากอิ่มที่เลอะลิปสติกเพราะถูกเขาบดจูบอย่างเอ็นดู“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ปล่อยได้แล้ว” นัสรินเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง แล้วรีบเดินออกจากห้อง ขับรถไปทำงานโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตอนนี้ปากของตนนั้นเลอะไปด้วยลิปสติกจากแรงจูบของปราณต์เมื่อไปถึงที่ทำงานหนานอินซึ่งเป็นรปภ.หน้าออฟฟิศก็ลุกจากเก้าอี้และเอ่ยทักทายนัสรินเช่นเดียวกับทุกวัน แต่นัสรินก็อดสงสัยไม่ได้ ที่วันนี้หนานอินมองหน้าเธอแปลกๆ แล้วอมยิ้ม ซึ่งเป็นอาการเดียวกับอุ่นคำตอนที่เห็นเธอเดินเข้าไปในออฟฟิศ“เป็นอะไรกันไปหมดคะป้าอุ่นคำ ทำไมทั้งป้าทั้งลุงหนานอินมองหน้านัสแล้วยิ้มแปลกๆ” นัสรินถามแม่บ้านเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง“ก็ปากคุณนัสน่ะสิคะ”“ปากนั
บทที่ 57ภาพคู่ของปราณต์กับพินทุสรท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสวยงามของดอยอ่างขาง ที่ถูกโพสต์รูปแล้วรูปเล่าในตอนเช้าของวันจันทร์ ยิ่งทำให้คนที่อยู่ในฐานะเมียเก็บอย่างนัสรินต้องเจ็บปวด จนต้องรีบปิดหน้าจอจากหน้าต่างนั้น แล้วรวบรวมสมาธิทำงาน หากกระนั้นชั่วขณะหนึ่งสมองก็ยังแวบคิดไปถึงตอนที่ปราณต์มาส่งพินทุสรในช่วงเย็นของเมื่อวาน ทั้งคู่ล่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์คล้ายไม่อยากจาก จนยากที่คนมองอย่างเธอจะทนเห็นได้ นัสรินพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับปราณต์อีก โชคยังดีที่วันนี้เธอต้องออกไปพบลูกค้าในช่วงสายๆ กลับมาอีกทีก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ทำให้เวลาของวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วมือบางเอื้อมไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพาย เพื่อเตรียมตัวกลับอพาร์ตเมนต์ แต่ยังไม่ทันจะลุกไปไหน ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่นัสรินไม่อยากจะเจอหน้ามากที่สุดในเวลานี้ “คุณปราณต์!” เสียงหวานอุทานชื่อนั้นออกมาและจ้องมองเขาด้วยสายตาเคืองขุ่นแกมระวังตัว “ดีใจมากขนาดนั้นเลยเหรอที่เจอผม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างจงใจยวนอารมณ์ และไม่มีทีท่าว
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน