เมื่อเรื่องราวที่เมืองถงหวางจบสิ้นลงแล้ว ก็ได้เวลากลับเมืองหลวงกันเสียที
ก่อนเดินทางกลับหนึ่งวัน เสิ่นเหวยอันนึกสนุกจึงเอาสุราชั้นดีมาให้ทุกคนได้ดื่ม อีกทั้งยังย่างเนื้อกินกันอย่างสนุกสนาน
แสงของกองไฟที่สว่างเจิดจ้า ส่องกระทบใบหน้างดงามของมู่หลานเฟิน นางยังคงยิ้มร่าเริง เข้ากับชาวบ้านได้ดี ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังลงมือย่างเนื้อเองกับเมือ
"คุณหนูมู่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือทำอาหารดีเช่นนี้ ข้าไม่เคยกินเนื้อย่างที่ไหนแล้วอร่อยเท่าของเจ้ามาก่อนเลย"
ซูอวี้เฉิงเอ่ยชมมู่หลานเฟิน เขาได้ยินเรื่องเล่าของสตรีน้อยนางนี้มาพอสมควร ทั้งเรื่องที่นางช่วยจับนักโทษ และเรื่องที่่ช่วยสืบคดี อีกทั้งตอนนั้นที่นางถือดาบหมายจะสังหารเจ้าเมืองถงหวางคนเก่า แววตาของนางมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนและไม่หวาดกลัว อีกทั้งยังแน่วแน่เป็นอย่างมาก
น้อยนักที่ในเมืองหลวงจะมีสตรีที่กล้าหาญถึงเพียงนี้
"ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว"
มู่หลานเฟินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตอบเขา ซูอวี้เฉิงคือคุณชายรองของจวนตระกูลซู พี่ชายเขาก่อนหน้านี้เป็นหนุ่มรูปงามในเมืองหลวง สอบได้ตำแหน่งจอหงวน เป็นความหวังของสกุลซู แต่ไม่นานกลับพลัดตกม้าสมองได้รับความกระทบกระเทือนจนกลายเป็นพิการ คุณชายรองซูผู้เจ้าสำราญกลับต้องแบกรับหน้าที่ทายาทของตระกูลเอาไว้บนบ่าแทนพี่ชาย
เพราะความสามารถของเขาจึงได้เป็นถึงหัวหน้าองค์รักษ์เสื้อแพรผู้มีความเก่งกาจ
เสิ่นเหวยอันไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงมองมู่หลานเฟินด้วยแววตาที่ชื่นชม เขาเห็นกับตาตอนที่ไปสืบคดีว่านางมีความสามารถมากเพียงใด แต่นางกลับไม่สนใจเรื่องความดีความชอบ บอกว่าไม่ต้องการความวุ่นวาย เพียงแค่มอบสุราให้นางสักไหนางก็ชื่นใจแล้ว ส่วนความดีความชอบในการจับคนร้าย ก็ให้เขาและเซวียนซานหลางเป็นคนรับแทนไปเถอะ
นี่ยิ่งเพิ่มความประทับใจที่เขามีต่อนางมากขึ้นไปอีก
ในเมืองหลวงต่างบอกว่า เด็กสาวที่มาจากตระกูลพ่อค้านั่นต่ำต้อย เทียบคุณหนูที่เกิดจากตระกูลใหญ่ไม่ได้ แต่เขากลับคิดต่างออกไป มู่หลานเฟินโดดเด่นกว่าสตรีเหล่านั้นมากมายนัก
เซวียนซานหลางยกจกสุราขึ้นดื่ม และหันไปมองมู่หลานเฟินเป็นระยะ สตรีนางนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ
สายลับของบอกว่านางไม่เคยมีอาจารย์สอนวรยุทธ์ นางโกหกเขา
ในเมื่อไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ เช่นนั้นมู่หลานเฟินไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใดกัน
มู่หลานเฟินในตอนนี้นอกจากจะมีความสามารถแล้วยังร่าเริงสดใส เมื่อยามที่พบเจอความยากลำบากนางกลับสุขุมรอบคอบ ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ไม่เข้าข้างคนทำผิด แม้แต่ตอนที่นางทำผิดเองก็ยังรู้จักขอโทษ นิสัยของนางคบหากว่าแต่ก่อนมาก
น่าคบหาหรือ ผู้ใดอยากคบหากับนางกัน
เข้าวันต่อมาก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับเมืองหลวง เสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่เพราะมู่หลานเฟินเป็นสตรีต้องจัดเก็บของหลายอย่างจึงทำให้ออกเดินทางช้า เซวียนซานหลางไม่ได้เร่งรัดอะไรนาง เมื่อจัดของเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินทางออกจากเมืองถงหวาง
เหล่าชาวบ้านเดินมาส่งพวกนางที่หน้าประตูเมือง มู่หลานเฟินยิ้มให้ชาวบ้าน เมืองถงหวางแห่งนี้ต่อไปก็ไม่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอีกต่อไปแล้ว
ภายในรถม้าค่อนข้างกว้างขวางโอ่อ่า สามารถนั่งได้หลายคน ลั่วเหมยกลัวความผิดและเกรงกลัวเซวียนซานหลางมากจึงไม่กล้าเข้ามานั่งในรถม้าตามคำชวนของมู่หลานเฟิน นางนั่งอยู่นอกรถม้าคอยดูแลความสะดวกให้เจ้านาย
เซวียนซานหลางไม่ได้ติดใจเรื่องที่ลั่วเหมยคิดจะวางยาเขาอีก เซวียนเจ๋อเองก็ไม่ได้มีท่าทีประหม่าเช่นหลายวันก่อนอีก เพราะสองพี่น้องเข้าใจกันดี เซวียนเจ๋อหาวออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปจับแขนของพี่ชายเขย่าอย่างออดอ้อน
"พี่ใหญ่ ข้าแต่งตัวเป็นสตรีมาหลายสิบวันแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก ใบหน้าหล่อเหลาของข้ากลับไปต้องใจตาแก่หมอบ้านั่นเข้า ให้ตายเถอะ"
เมื่อคิดถึงท่านหมอผู้นั้นที่หมายใจจะแต่งเซวียนเจ๋อเป็นภรรยา มู่หลานเฟินก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้
หญิงสาวหยิบผลผูเถาขึ้นมากินแก้เบื่อ พร้อมกับมองไปที่นอกหน้าต่าง การเดินทางที่แสนยาวนานนับว่าน่าเบื่อเกินไปจริงๆ
อยู่ๆเซวียนเจ๋อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
"นี่พวกท่าน มาเล่นทายลูกเต๋ากันดีหรือไม่ สูงต่ำอย่างไรเล่า ใครชนะก็ได้ตั๋วเงินไป ดีหรือไม่"
เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากน้องชายก่อนจะเอ่ยปราม
"อาเจ๋อ วันๆเจ้าไม่สนใจร่ำเรียนก็แล้วไปเถอะ แต่ยามนี้กลับมีใจฝักใฝ่ในการพนันอีกด้วย เจ้าจะเกินไปแล้วนะ"
"โธ่พี่ใหญ่ ท่านก็เอาแต่บังคับให้ข้าไปเรียน"
เซวียนซานหลางค้านจะสนใจแล้ว เขาหันไปมองมู่หลานเฟินก็พบว่านางกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่า
มารดามันเถอะ น้องชายก็ไม่รักเรียน ส่วนญาติของน้องชายก็ติดสุรา แต่ละคนช่างดีิยิ่งนัก!
สตรีขี้เมา!
ด้านมู่หลานเฟินที่กลายเป็นสตรีขี้เมานั้นตอนนี้ก็เริ่มจะเมาเข้าแล้วจริงๆ แม้นางจะคอแข็งเพียงใด แต่ระหว่างทางก็ดื่มสุราไปหลายไหแล้ว สุรานี่ของเสิ่นเหวยอันนำมามอบให้รสชาติแรงไม่เบา ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัว ร่างกายโงนเงน ยิ่งรถม้าเคลื่อนไปรวดเร็วบนเส้นทางที่ขรุขระมากเพียงใด นางก็ยิ่งตาลาย
"หรานหร่านเจ้าเมาแล้วหรือ ข้าบอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะ”
เซวียนเจ๋อเอ่ยเตือนญาติผู้น้องของตนด้วยคามเป็นห่วง ช่วงที่อยู่ด้วยกันที่ถงหวางความสัมพันธ์ของเขาและนางดีมาก เขารู้สึกชื่นชอบนางที่มีนิสัยน่ารักคนนี้มากว่านางคนเก่าที่นิสัยเสียคนนั้น และตัวเขาเองก็ไม่ต้องการหาสาเหตุว่าเพราะอะไรนางถึงเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือเช่นนี้ ขอเพียงนางทำตัวดีขึ้นเขาก็ดีใจแล้ว
มู่หลานเฟินหันมามองเซวียนเจ๋อ ก่อนจะย่นหัวคิ้ว ตอนนี้นางมองเห็นเซวียนเจ๋อกลายเป็นซาลาเปาไส้เนื้อลูกโตไปเสียแล้ว หญิงสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะเอ่ย
“เจ้าซาลาเปา วันนี้ข้าจะกินเจ้า ข้าจะกินเจ้าเสีย!"
เซวียนเจ๋อสะดุ้งโหยง นี่มู่หลานเฟินเห็นเขาเป็นซาลาเปาอย่างนั้นหรือ นางเมาจนเพี้ยนไปแล้้ว
"เจ้าจะบ้าหรือ ข้าเป็นพี่ชายเจ้านะ ซาลาเปาอันใดกัน เจ้าเมาแล้ว เมาแล้วก็ไปนอนเสีย!"
“ซาลาเปา ข้าจะกินเจ้า!"
"พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย นางเป็นบ้าไปแล้ว!"
เซวียนเจ๋อกระโดดไปหลบอยู่ที่ด้านหลังของเซวียนซานหลาง มู่หลานเฟินต้องการคว้าจับซาลาเปานั้นมากินให้ได้จึงพุ่งเข้ามาทันที เซวียนซานหลางปรายตามองนาง คิดว่าหากนางเข้ามาถึงเขาจะฟาดคอนางให้สลบไปเสีย
แต่กลับผิดคาด!
มู่หลานเฟินมองเขาตาปริบๆ ใบหน้าของนางแดงกล่ำ ดวงตาหรี่ปรือ หญิงสาวคุกเข่าลง ก่อนจะกอดขาเขาเอาไว้แน่ พร้อมร้องห่มร้องไห้
"อึก ท่านพ่อ ข้าอยากกินซาลาเปาจริงๆนะเจ้าคะ ท่านพ่อ ขอซาลาเปาให้ข้าเถอะ ฮือ"
เซวียนเจ๋อถึงกับหัวเราะลั่น ก่อนจะกระซิบพูดข้างหูของพี่ชายตน
"พี่ใหญ่ ท่านดูสินางเห็นท่านกลายเป็นบิดาตนเองไปแล้ว ท่านลูบศีรษะนางสิ แล้วบอกว่า พ่อรู้แล้วลูก พ่อจะไปซื้อซาลาเปาให้นะลูก ฮ่าๆ!"
เซวียนซานหลาง"...."
นางมองเซวียนเจ๋อเป็นซาลาเปาแต่กลับมองเขาเป็นบิดา?
มารดามันเถอะ เขาแก่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ!
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ