“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
“ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ”
ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ
“ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ”
“ค่ะ”
ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ่อคงสบายใจที่ลูกสาวมีคนดีๆ ดูแล แต่ไม่คิดว่าหลังบิดาตายจากไปไม่กี่เดือน สามีของเธอก็หายสาบสูญไปอีกคน คนสวยชะตาอาภัยจริงๆ ที่เธอมีแรงใจอยู่มาได้ก็เพราะในท้องมีชีวิตน้อยๆอยู่
ตอนนี้เธอได้รับปันผลกำไรจากบ้านใหญ่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน ตอนนี้อาจจะพอใช้ แต่ถ้าเด็กๆ เข้าโรงเรียน ก็ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น แถมยังต้องคูณสองด้วย ทีแรกเธอก็คิดขายบ้าน แต่ป้าฮุ่ยซิวเล่าทั้งน้ำตาว่าบ้านหลังนี้เป็นมาอย่างไร จะว่าไปเธอก็เสียดายเหมือนกัน ยังไงเธอต้องมีหนทางหาเงินได้อยู่สิน่า
ป้าฮุ่ยซิวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และปิดบ้านเรียบร้อย มือเหี่ยวย่นยกขึ้นแตะทรงผมแก้เขิน เด็กๆหัวเราะชอบใจ หลินเหยาซื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่หน้าบ้าน เอาไว้เธอลองเช็กรถยนต์ที่บ้านก่อนแล้วจะลองเอาออกมาขับดู ทั้งหมดเดินทางด้วยรถแท็กซี่ใช้เวลาราวๆ สี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย
“ยังจำที่เราตกลงกันได้ใช่ไหมจ๊ะ” หลินเหยาซื่อพูดกับเด็กฝาแฝดที่ทำหน้าตาตื่นเต้น ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก เธอลอบถอนหายใจแต่ก็ฝืนยิ้มออกมา “เมื่อคืนแม่สอนให้พูดว่าอะไรนะ”
เด็กสองคนเม้มปากแล้วมองหน้ากันก่อนค่อยพูดออกมา
“ต้องจับมือแม่กับป้าฮุ่ยซิวไว้ตลอดเวลา” จางหย่งพูดขึ้นก่อน
“ห้ามไปกับคนแปลกหน้า” จางลี่พูดขึ้นบ้าง
“ถ้าผลัดหลงกันให้อยู่กับที่ แม่จะมาหาเอง” เธอยิ้มแล้วหันไปหยิบของในกระเป๋าสะพายออกมา เป็นบัตรป้ายชื่อที่เมื่อคืนทำไว้แล้วคล้องคอให้เด็กทั้งสอง “ป้ายชื่อมีชื่อของลูกกับที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์รวมทั้งชื่อของแม่ “
“เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ”
เด็กๆ อายุสามขวบแล้ว แต่ยังพูดไม่ค่อยเป็นประโยคเท่าไหร่ เธอกลัวเรื่องพัฒนาการช้าจึงพยายามหาทางให้พวกเขาพูดเป็นประโยคมากขึ้น แต่ก่อนชอบเอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้า ตอนนี้เริ่มพูดเป็นประโยคแล้ว ทั้งหมดเดินไปซื้อตั๋วเข้าสวนสนุก เห็นเครื่องเล่นแล้วก็นึกอยากเป็นเด็กเสียเอง ตัวเองในวัยเด็กก็ไม่เคยได้ไปสวนสนุกบ่อยนัก แทบจำไม่ได้ว่าเคยไปหรือไม่ ที่นี่เป็นสวนสนุกขนาดเล็ก แต่ในวันหยุดกลับมีผู้คนมาค่อนข้างหนาตา หลินเหยาซื่อซื้อไอศกรีมจางหย่งและจางลี่คนล่ะแท่งแล้วพาไปนั่งม้าหมุ่น ป้าฮุ่ยซิวประกบจางลี่ที่ขี่ม้ายูนิคอร์สสีรุ้ง ส่วนหลินเหยาซื่อยืนข้างม้าหมุ่นสีขาวที่จางหย่งนั่ง ป้าฮุ่ยซิวซวนเซเล็กน้อยแต่ประคองตัวได้ ในขณะที่หลินเหยาซื่อทรงตัวได้ดี เธอหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปลูกทั้งสองคน หลังจากครบรอบแล้ว ทั้งหมดก็หาเป้าหมายต่อไป เสียงหวีดร้องผสานเสียงหัวเราะดึงดูดสายตาของเด็ก พวกเขาแหงนหน้ามอง ‘เรือเหาะ’ ที่เหวี่ยงไปมา
“เล่นอันนี้ไม่ได้ เอาไว้ลูกๆ โตกว่านี้ค่อยมาเล่น เราไปนั่งรถรางกันเถอะ”
หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กๆให้เดินไปที่รถรางที่มีหน้าเหมือนรถไฟ จากแผนที่ในสวนสนุกสามารถนั่งรถรางไปชมบริเวณจุดแสดงสัตว์เลี้ยงหายาก ใบหน้าน้อยๆ มีรอยยิ้ม แก้มสองข้างแดงปลั่ง เหงื่อซึมออกมาบ้าง ป้าฮุ่ยซิวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้คุณหนูคุณชาย
“ฉันนี่แย่จริงๆ เป็นแม่ยังไงลืมเช็ดเหงื่อให้ลูก” หลินเหยาซื่อตำหนิตัวเองไม่จริงจังนักแต่ป้าฮุ่ยซิวส่ายหน้ารัวๆ
“คุณยายอย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นสิคะ คุณนายเป็นแม่ที่ดีสำหรับคุณหนูคุณชายแล้วค่ะ”
หลินเหยาซื่อไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างเธอเธอถ่ายรูปเด็กทั้งสองเยอะมากจนเกือบลืมไปว่าตัวเองใช้กล้องฟิลม์อยู่ ซึ่งต้องนำฟิลม์ไปล้างอีก นั้นหมายถึงเธอต้องใช้เงินอีกแล้ว รถรางพามาถึงบริเวณแสดงสัตว์เลี้ยง กวางตัวน้อยเดินไปมาน่ารักน่าเอ็นดู ลิงตัวใหญ่ใส่เสื้อผ้าราวกับเด็กสิบขวบยืนรอถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กทั้งสองแล้วคอยอธิบายสัตว์แต่ละชนิดอย่างใจเย็น
“กวาง”
“กระต่าย
“แพะ”
“เต่า”
จางหย่งจางลี่พูดตามที่มารดาสอน
“หย่งหย่ง ลี่ลี่เก่งที่สุด” หลินเหยาซื่อเอ่ยชมลูกทั้งสอง “หิวกันหรือยัง วันนี้ไปกินเบอร์เกอร์กัน”
“เบอร์เกอร์!”
เด็กๆ อาจไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พวกเขารู้ว่า เขาชอบที่แม่เป็นแบบนี้มากกว่าแม่ที่เอาแต่ทำหน้าเศร้าตลอดเวลา บางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องไห้ จางหย่งจางลี่จับมือมารดากันคนละข้าง ภายในใจนั้นได้แต่บอกว่า พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ที่ร่าเริงเช่นนี้หายไปอีกแล้ว .
“เหยาซื่อตัดเสื้อผ้าใส่เองได้ด้วยเหรอ เก่งจริงๆ”
“เหยซื่อทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ เหมือนเป็ดไง”
“ตายแล้ว! ไปว่าเหยาซื่อแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็จริงนี่ เป็ดว่ายน้ำได้แต่ว่ายไม่สวย มีปีกบินได้แต่บินต่ำๆ เป็ดทำได้หลายอย่างแต่ทำได้ดีสักอย่างไม่ได้”
แม้มีเสียงห้ามปรามแต่กลับหัวเราะระรื่น ไม่ได้สนใจว่าคนที่ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาจะเจ็บกับคำพูดหยอกล้อเป็นเช่นกัน
หลินเหยาซื่อไม่คิดว่าตนเองข้ามยุคมาในปี1980แล้ว แต่เสียงของคนเหล่านั้นยังตามมาในความฝันของเธออีก เป็นเด็กกำพร้าที่เพียรพยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ถูกเลือกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่ เมื่อไม่มีคนเลือก แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้แม้เรียนไม่ได้อันดับหนึ่งแต่ก็ไม่ตกไปกว่าห้า ส่งประกวดงานต่างๆ แม้ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งก็ยังได้ชมเชย อยากเป็นดาราแต่ก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่คนอื่นตัดสิน แต่สำหรับหลินเหยาซื่อแล้ว เธอคิดว่ามันคือการใช้ชีวิต ก็เธอมีแค่ตัวคนเดียว อยากทำอะไรก็แค่ลองทำ ลองดูสักตั้ง ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเคยพยายามอย่างสุดความสามารถ
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นผูกพันในแววตาคู่นั้น หลินเหยาซื่อไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร ทำไมเธอรู้สึกว่าเขาคือคนที่เคยกุมมือไว้ก่อนที่จะสิ้นใจดวงตาหลังแว่นสายตาตื่นตกใจที่เห็นดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำตา “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติไหม”หญิงสาวใส่หน้าไปมา “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ทำไมตัวเองถึงมีน้ำตา”เธอพยายามหัวเราะเช่นทุกครั้ง เวลามีอะไรเธอมักจะหัวเราะเสมอ กระทั่งครั้งนี้เธอก็หัวเราะทั้งที่มีน้ำตา ชายหนุ่มยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม“สัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะไม่หลับไปนานแบบนี้อีก”คราวนี้หญิงสาวตกใจกับคำพูดของเขา“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ”‘คุณหมอ’ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เธอคงจำเขาไม่ได้สินะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างหมอกับคนป่วย ทั้งที่เขาอยากคว้าเธอมากอดแนบอกเหลือเกิน‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เขาจำเธอได้ก็พอ’ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่ยังมีแววสงสัย เรื่องแบบนี้เล่าไปจะมีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากภรรยาตายจากได้ห้าปี เช้าวันหนึ่งเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างนี้ป่ว
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ มองตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าเห็นรอยแผลจากการถูกกระแทกต้องเย็บยี่สิบเข็ม คุณหมอแจ้งว่าถ้าเธอต้องการทำศัลยกรรมเพื่อลบรอยแผลเป็นก็ทำได้ เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอหัวเราะและตอบไปว่า“ไม่เป็นไรค่ะ แผลเป็นนิดเดียว”แต่จริงๆเธอเสียเงินหลายหมื่นหยวน ในปีค.ศ. 2023 นี้ เธอคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เหลือเงินติดบัญชีอยู่ไม่เท่าไหร่ โชคยังดีที่บริษัทภาพยนตร์ที่เธอรับงานเป็นตัวประกอบเห็นใจให้เงินค่าทำขวัญมาจำนวนหนึ่ง ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นมาจากประกันอุบัติเหตุ เธอจึงไม่ต้องเป็นหนี้สินล้มละลายเพราะการรักษาตัวเอง แต่ข่าวที่เธอช่วยชีวิตคนอื่นก็ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจ ตอนนี้แม้เธอเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ก็มีหลายบริษัทอยากให้เธอไปร่วมเล่นซีรีย์บทเล็กๆ ถึงอย่างไรหน้าตาเธอก็ไม่ได้สะสวยพอจะเป็นถึงนางเอกได้ และยิ่งตอนนี้มีแผลเป็นที่หน้าผากอีก ต่อให้ใช้ make up ปิดบังยังไง ก็ยังเห็นอยู่ดี แผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ เห็นแล้วก็อดคิดถึงแผลเป็นของผู้ชายคนนึงไม่ได้ แผลเป็นของเขาใหญ่กว่าเธอมาก ผ่านมาหลายปี แผลเป็นนั้นก็เป็นรอยจางๆหลินเหยาซื่อต้องทำกายภาพบำบัดที่โรงพยา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ พ่อก็รักไม่น้อย ปกว่ากัน แล้วพวกลูกล่ะ จะรักน้อง ไม่ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเปล่า”“แน่นอนครับค่ะ พวกเรารักน้อง อยากให้น้องออกมาเร็วๆ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องและเล่นกับน้อง” คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใส จะช่วยแม่เลี้ยงน้องหรืออยากเล่นกับน้องก็ไม่รู้เสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ละลายความหม่นเศร้าที่เคยปกคลุมในบ้านหายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปตรงหน้า“เข้าบ้านเถอะเย็นแล้ว อากาศเย็น เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”หญิงสาวมองมือใหญ่แข็งแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรู้ว่ามือคู่นี้จะคอยประคองเธอไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเธอที่สัญญาไว้กับเขาว่าจะจับมือเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางที...นี่อาจเป็นเหตุผลที่โชคชะตาส่งเธอมาในปีนี้ 1980 เพื่อได้รับใครสักคน และเพื่อให้หัวใจได้ถูกรัก.จบ.ลืมตาอีกครั้งหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรู้ว่า ตัวเองตื่นมาในปีค.ศ. 2023 เธอคือผู้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาลงแม่น้ำหลินเหยาซื่อจำได้ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งแม้เขาจะสวมหน้ากากอนา
คราวนี้เห็นทีจะจบเรื่องแล้วจริงๆ หลินเหยาซื่อถอนหายใจอย่างหอบเหนื่อย เธอถึงกับหมดแรงนั่งลงไปกับพื้น สามีเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองอุ้มเธอขึ้นมาไว้บนเตียง เขาสั่งการกับเว่ยฉือให้จัดการเรื่องทั้งหมดแทนเขา เมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ลูกทั้งสองคนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหาแม่ได้“คุณแม่เกิดอะไรขึ้นครับ/ค่ะ”เด็กน้อยสองคน ปีนขึ้นเตียงรีบเข้ามากอดแม่ เด็กฝาแฝดคนแย่งกันพูดเสียงดัง บรรยากาศกลับสดใสอีกครั้ง หลินเหยาซื่อส่ายหน้าไปมา บทเรียนต่อไปเธอต้องสอนให้ลูกพูดเสียงให้เบาลงกว่านี้ แต่เอาเถอะ เวลานี้เสียงของลูก ไพเราะที่สุดแล้ว“ขอแม่หอมแก้มเพิ่มพลังหน่อยสิ” หญิงสาวพูดขึ้น เด็กน้อยสองคนก็รุมหอมแก้มกันใหญ่สามีถอนหายใจแล้วค่อยยิ้มออกมา ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องอันตรายมากแต่เธอก็ยังยิ้มได้ คนที่บ้าที่สุดอาจจะเป็นภรรยาของเขาก็ได้ คิดแล้วเขาก็หัวเราะออกมาหลินเหยาซื่อเสียงสามีหัวเราะ ก็หันไปทำหน้ายู่ใส่“หัวเราะอะไรคะ”“หัวเราะอะไรคะ/ครับ” ลูกสองคนพูดเลียนแบบแม่“ไม่มีอะไรครับ”คนเป็นพ่อพูดแล้วโบกมือไปมา แต่หลินเหยาซื่อสบตากับลูกทั้งสองส่งสัญญาณ คนเป็นสามีรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจแสร้งถอยหลัง แต
ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ดาราสาวปวดใจแทบเป็นบ้า ยิ่งเห็นกั๋วคังเหรินโอบกอดหลินเหยาซื่ออย่างปกป้องและความห่วงใย ครั้งหนึ่งอ้อมกอดนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อน ทำไมมันถึงมาจุดนี้ได้ ทำไมไม่ใช่เธอที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ดาราสาวแหงนหน้าหัวเราะ ท่าทางไม่ต่างจากคนเสียสติ โลกไม่ยุติธรรมเสียเลย เธอมองหน้าชายที่เคยรักผ่านม่านน้ำตา“ทำไมคะ ทำไมคุณไม่รักฉัน ทำไมคุณต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาประคองร่างของภรรยาขึ้น มองเห็นหยดเลือดจากที่เธอกระชากสายน้ำเกลือออกก็ปวดใจ โชคดีที่ลูกสาวลูกชายไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาเห็นภาพแบบนี้“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว คุณจะรื้อฟื้นทำไม คุณเองก็ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ระหว่างที่เราคบกัน ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณมีคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ได้ยินดังนี้ ดาราสาวถึงกับหน้าซีดไป เพราะเธอคิดเสมอว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องราวด้านมืดของเธอเลยชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง“ให้มันจบแค่นี้เถอะ คุณมีชีวิตของคุณ ผมมีชีวิตของผม ผมมีภรรยาและลูกที่รักมากและผมต้องดูแลพวกเขา นอกจากหลินเหยาซื่อแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว เห็นแก่ควา
หลังจากมั่นใจว่า ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว หลินเหยาซื่อจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เธอรู้สึกรำคาญสายน้ำเกลืออยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ก็สถานะตอนนี้เป็นคนป่วยนี้นะเธอไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองอีกเมื่อไหร่ เธอจะหลับไปแบบนี้อีกไหม หลับไปยาวนานถึง 7 วัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ แม้กระทั่งหมอ แต่ตัวเธอเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ชีวิตที่ได้มาใหม่นี้ จะใช้ได้ยาวนานเพียงใด แต่ที่สุดแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอยู่ โดยเฉพาะในชาตินี้ เธอรู้ดีว่า มีสิ่งที่สำคัญที่สุดรออยู่ นั่นก็คือ ลูกชายหญิงฝาแฝดของเธอ ที่แม้ซนเหมือนลิง แต่เธอก็รักพวกเขามากแม้ไม่มีความทรงจำที่อุ้มท้องพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่าทั้งสองเป็นลูกของเธอจริงๆหญิงสาว มองไปที่โต๊ะตรงหัวเตียง มีกระเช้าผลไม้ตั้งอยู่ มีผลไม้หลากชนิด เธอเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลสีสวย เห็นแล้วก็คิดถึงงานที่ทำค้างอยู่ Collection ใหม่ครั้งหน้า เธอน่าจะออกแบบลายผ้า เป็นรูปผลไม้เด็กๆชอบผลไม้สีสันสดใส น่าจะทำลายผ้าแล้ว ทำของอย่างอื่นด้วยก็ดีนะหลินเหยาซื่อคิดฝันไปไกลถึงกิจการของตัวเอง และเม็ดเงินที่จะเข้ากระเป๋า เมื่อมีเงินมาก เธอก็สามารถท