ขณะที่สงครามภายในของเขากำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดนั่นเอง...
[ติ๊ง!]
เสียงสวรรค์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหัว พร้อมกับหน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ท่านได้รับภารกิจใหม่: ภารกิจกระชับมิตร (ฉบับจำใจ)]
[รายละเอียด: ความสัมพันธ์ที่ดีคือรากฐานของการเอาชีวิตรอด แม้ว่าโฮสต์จะไม่เต็มใจก็ตาม เพื่อลดทอนบรรยากาศอันน่าอึดอัดที่อาจนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก จงสร้างไมตรีกับตัวละครหลักเจิ้งเฟิงเยวี่ย]
[เป้าหมาย: จงยิ้มให้เจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างจริงใจ 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง]
[รางวัลเมื่อสำเร็จ: แต้มเอาตัวรอด +20 ค่าความสัมพันธ์กับเจิ้งเฟิงเยวี่ย +5]
[บทลงโทษหากล้มเหลว: ใบหน้าเป็นอัมพาตชั่วคราว 12 ชั่วโมง (สามารถแสดงสีหน้าได้เพียงแบบเดียวคือบูดบึ้ง)]
กงหยางเหวินเบิกตากว้าง แล้วก็กะพริบตาปริบ ๆ แล้วก็อ่านทวนอีกรอบ...
ยิ้ม? ยิ้มให้เจ้านี่เนี่ยนะ? แถมต้องยิ้มอย่างจริงใจด้วย?
“เสี่ยวซ่า! เจ้าสมองกลับรึไงหา?!” เขาตะโกนก้องในใจ “สถานการณ์ตอนนี้มันน่าพิศมัยให้ยิ้มใส่กันนักรึไง! ข้าเกือบตายเพราะพล็อตของเจ้านี่มาสองรอบแล้วนะ! แล้วไอ้บทลงโทษนั่นมันอะไรกัน! ใบหน้าอัมพาต? เจ้าจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นตัวประหลาดรึไง!”
[ระบบเพียงแค่ปฏิบัติตามอัลกอริทึมที่คำนวณแล้วว่าดีที่สุดต่อการเอาชีวิตรอดของโฮสต์ การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับตัวเอกจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของท่านในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ]
“มีนัยสำคัญบ้านเจ้าสิ! ข้าว่ามันจะทำให้ข้าหัวใจวายตายก่อนเวลาอันควรมากกว่า!”
แม้จะโวยวายไปก็เท่านั้น เขาตระหนักดีว่าภารกิจของระบบนี้มันเป็นดั่งคำสั่งจากสวรรค์ที่ทั้งโง่เง่าและไม่อาจขัดขืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบทลงโทษมันพิสดารจนเขาไม่กล้าจะเสี่ยงด้วยจริง ๆ
เขาเหลือบมองเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง จะให้ยิ้มให้คนหน้านิ่งคนนี้ยังไงถึงจะเรียกว่าจริงใจกันนะ? แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“เอ่อ...” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ไฟของเจ้า สว่างดี”
มันเป็นประโยคที่แข็งทื่อและไร้จินตนาการที่สุดเท่าที่หยางเหวินเคยได้ยินมา ราวกับเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของคนที่ไม่คุ้นเคยกับการชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ แต่สำหรับหยางเหวินแล้วนี่คือโอกาส
‘เอาล่ะวะ! เป็นไงเป็นกัน!’ เขาคิดในใจ
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามนึกถึงเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต นึกถึงคลิปแมวตกใจแตงกวา นึกถึงมีมตลก ๆ ที่เคยส่งให้เพื่อน นึกถึงหน้าตาของบรรณาธิการตอนที่เขาบอกว่าต้นฉบับเสร็จแล้วครับ ทว่าจริง ๆ แล้วโกหก เขาเค้นทุกอณูของความสุขและความขบขันออกมา แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเจิ้งเฟิงเยวี่ย
จากนั้นเขาก็ยิ้ม
มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงตะวัน ไม่ใช่รอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่มันคือหายนะโดยสมบูรณ์ มุมปากของเขาค่อย ๆ ถูกดึงขึ้นไปอย่างเชื่องช้าและฝืนธรรมชาติ กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับการแสดงอารมณ์เชิงบวกกระตุกยิก ๆ ราวกับเป็นตะคริว ดวงตาพยายามจะหยีลงให้ดูเป็นมิตร แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนคนที่กำลังปวดท้องอย่างรุนแรง มันคือรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว พิกลพิการ และน่าขนลุกจนชวนให้ฝันร้าย เปรียบได้กับภาพวาดของจิตรกรเอกที่พยายามจะวาดภาพดวงตะวัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นภาพหลุมดำที่กำลังจะสูบกลืนทุกสิ่ง
เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังรอฟังคำตอบถึงกับชะงักงันไปในทันที เขานิ่งอึ้งไปกับภาพเบื้องหน้า
‘นั่น... นั่นมันอะไรกัน?’ คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของเขา ‘รอยยิ้มนั่นมันหมายความว่ากระไร? เป็นการเยาะเย้ยคำพูดอันแข็งทื่อของข้างั้นรึ? หรือเป็นการแสดงให้เห็นว่าคำพูดเพียงผิวเผินเช่นนี้ไม่อาจเข้าถึงตัวตนของเขาได้? หรือว่ามันเป็นสัญญาณบางอย่าง เป็นการทดสอบจิตใจของข้า?’
ความหมายนับร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมาในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย รอยยิ้มอันน่าสยดสยองของหยางเหวินในสายตาของเขากลับกลายเป็นรอยยิ้มอันล้ำลึกที่แฝงไว้ด้วยปริศนาธรรม มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาที่ว่าบุรุษผู้นี้คือยอดฝีมือที่คาดเดาไม่ได้โดยสมบูรณ์
กงหยางเหวินค้างรอยยิ้มนั้นไว้ราวสามวินาที ก่อนจะปล่อยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหนื่อยอ่อนราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา ทันใดนั้น...
[ติ๊ง! ภารกิจยิ้มให้พระเอก 3 ครั้ง ความคืบหน้า 1/3]
[หมายเหตุจากระบบ: โปรดพยายามยิ้มให้ดูเหมือนมนุษย์มากกว่านี้ในครั้งต่อไป ระบบเกือบจะประมวลผลผิดพลาดว่าเป็นใบหน้าของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า]
หยางเหวินแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตายกับหมายเหตุสุดแสนจะปรานีของเสี่ยวซ่า แต่เขาก็โล่งใจที่อย่างน้อยมันก็นับว่าสำเร็จไปหนึ่งครั้ง เหลืออีกแค่สอง...
บรรยากาศในถ้ำกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้มันแปลกไปกว่าเดิม เจิ้งเฟิงเยวี่ยจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเก่า ส่วนหยางเหวินก็พยายามหลบสายตานั้นอย่างสุดชีวิต พลางคิดหาวิธีที่จะสร้างรอยยิ้มอีกสองครั้งที่เหลือให้มันจบ ๆ ไปเสียที
“เราจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลง
คำถามนั้นดึงหยางเหวินกลับมาสู่ความเป็นจริง เขายังมีปัญหาใหญ่กว่าการยิ้มรออยู่ นั่นคือการเอาชีวิตรอดในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้ โดยมีพระเอกที่บาดเจ็บเป็นภาระ เอ๊ย! เป็นเพื่อนร่วมทาง
“ก็คงจนกว่าแผลของท่านจะดีขึ้น หรือจนกว่าเราจะหาทางกลับเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัยนั่นแหละ” เขาตอบเสียงอ่อย มองดูเปลวไฟที่กำลังเต้นระริกอย่างเหม่อลอย
คืนนี้คงเป็นอีกคืนหนึ่งที่ยาวนานสำหรับเขา
ราตรีอันยาวนานและน่าอึดอัดได้ผ่านพ้นไป แสงอรุณแรกเริ่มสาดส่องลอดผ่านม่านน้ำตกเข้ามาในถ้ำ เกิดเป็นประกายรุ้งระยิบระยับอยู่บนผนังหินที่ชื้นแฉะ กงหยางเหวินลืมตาขึ้นมาจากการหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน สภาพของเขาดูไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาด ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจต่างอ่อนล้าสะบักสะบอมไปหมด
ตรงกันข้ามกับเขา เจิ้งเฟิงเยวี่ยกลับนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่มุมหนึ่งของถ้ำตั้งแต่รุ่งสาง ท่วงท่าสงบนิ่งราวกับรูปสลักหิน แม้จะมีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดอยู่ที่สีข้าง แต่รัศมีของผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งก็ยังคงแผ่ออกมาอย่างชัดเจน เขาดูเหมือนจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่หยางเหวินคาดไว้มาก สมกับที่เป็นพระเอกของเรื่องจริง ๆ
เสียงท้องร้องโครกครากของหยางเหวินดังขึ้นทำลายความเงียบสงบในยามเช้า เขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ก่อนจะหยิบขนมปังแข็ง ๆ ที่ซื้อมาเมื่อวานออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเสบียงเพียงอย่างเดียวที่พวกเขามีในตอนนี้
เขาบิขนมปังที่แข็งราวกับก้อนอิฐออกเป็นสองส่วนอย่างยากลำบาก แล้วยื่นชิ้นที่ใหญ่กว่าส่งให้เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงท้องร้องของเขาแล้ว
“ก...กินซะสิ จะได้มีแรง” เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายโดยตรง
เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับขนมปังมาโดยไม่พูดอะไร เขาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มกัดกินอย่างเชื่องช้า ท่าทีสงบนิ่งของเขาทำให้หยางเหวินเดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
‘เอาล่ะ เหลืออีกสองรอยยิ้ม’ หยางเหวินคิดในใจขณะที่เคี้ยวขนมปังรสชาติจืดชืด และแข็งกระด้าง ‘จะหาโอกาสตอนไหนดีวะเนี่ย’
รสสัมผัสที่แสนจะเลวร้ายในปากทำให้เขานึกถึงอาหารเลิศรสในโลกเก่าขึ้นมาจับใจ พิซซ่าหน้าชีสเยิ้ม ๆ ราเม็งน้ำซุปกระดูกหมูเข้มข้น หรือแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งยังดูน่ากินกว่าเจ้าก้อนอิฐนี่เป็นร้อยเท่า ความทรงจำเกี่ยวกับของอร่อยเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวัง
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข