Masukขณะที่สงครามภายในของเขากำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดนั่นเอง...
[ติ๊ง!]
เสียงสวรรค์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหัว พร้อมกับหน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ท่านได้รับภารกิจใหม่: ภารกิจกระชับมิตร (ฉบับจำใจ)]
[รายละเอียด: ความสัมพันธ์ที่ดีคือรากฐานของการเอาชีวิตรอด แม้ว่าโฮสต์จะไม่เต็มใจก็ตาม เพื่อลดทอนบรรยากาศอันน่าอึดอัดที่อาจนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก จงสร้างไมตรีกับตัวละครหลักเจิ้งเฟิงเยวี่ย]
[เป้าหมาย: จงยิ้มให้เจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างจริงใจ 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง]
[รางวัลเมื่อสำเร็จ: แต้มเอาตัวรอด +20 ค่าความสัมพันธ์กับเจิ้งเฟิงเยวี่ย +5]
[บทลงโทษหากล้มเหลว: ใบหน้าเป็นอัมพาตชั่วคราว 12 ชั่วโมง (สามารถแสดงสีหน้าได้เพียงแบบเดียวคือบูดบึ้ง)]
กงหยางเหวินเบิกตากว้าง แล้วก็กะพริบตาปริบ ๆ แล้วก็อ่านทวนอีกรอบ...
ยิ้ม? ยิ้มให้เจ้านี่เนี่ยนะ? แถมต้องยิ้มอย่างจริงใจด้วย?
“เสี่ยวซ่า! เจ้าสมองกลับรึไงหา?!” เขาตะโกนก้องในใจ “สถานการณ์ตอนนี้มันน่าพิศมัยให้ยิ้มใส่กันนักรึไง! ข้าเกือบตายเพราะพล็อตของเจ้านี่มาสองรอบแล้วนะ! แล้วไอ้บทลงโทษนั่นมันอะไรกัน! ใบหน้าอัมพาต? เจ้าจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นตัวประหลาดรึไง!”
[ระบบเพียงแค่ปฏิบัติตามอัลกอริทึมที่คำนวณแล้วว่าดีที่สุดต่อการเอาชีวิตรอดของโฮสต์ การสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับตัวเอกจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของท่านในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ]
“มีนัยสำคัญบ้านเจ้าสิ! ข้าว่ามันจะทำให้ข้าหัวใจวายตายก่อนเวลาอันควรมากกว่า!”
แม้จะโวยวายไปก็เท่านั้น เขาตระหนักดีว่าภารกิจของระบบนี้มันเป็นดั่งคำสั่งจากสวรรค์ที่ทั้งโง่เง่าและไม่อาจขัดขืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบทลงโทษมันพิสดารจนเขาไม่กล้าจะเสี่ยงด้วยจริง ๆ
เขาเหลือบมองเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง จะให้ยิ้มให้คนหน้านิ่งคนนี้ยังไงถึงจะเรียกว่าจริงใจกันนะ? แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“เอ่อ...” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ไฟของเจ้า สว่างดี”
มันเป็นประโยคที่แข็งทื่อและไร้จินตนาการที่สุดเท่าที่หยางเหวินเคยได้ยินมา ราวกับเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของคนที่ไม่คุ้นเคยกับการชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ แต่สำหรับหยางเหวินแล้วนี่คือโอกาส
‘เอาล่ะวะ! เป็นไงเป็นกัน!’ เขาคิดในใจ
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามนึกถึงเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต นึกถึงคลิปแมวตกใจแตงกวา นึกถึงมีมตลก ๆ ที่เคยส่งให้เพื่อน นึกถึงหน้าตาของบรรณาธิการตอนที่เขาบอกว่าต้นฉบับเสร็จแล้วครับ ทว่าจริง ๆ แล้วโกหก เขาเค้นทุกอณูของความสุขและความขบขันออกมา แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเจิ้งเฟิงเยวี่ย
จากนั้นเขาก็ยิ้ม
มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงตะวัน ไม่ใช่รอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่มันคือหายนะโดยสมบูรณ์ มุมปากของเขาค่อย ๆ ถูกดึงขึ้นไปอย่างเชื่องช้าและฝืนธรรมชาติ กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับการแสดงอารมณ์เชิงบวกกระตุกยิก ๆ ราวกับเป็นตะคริว ดวงตาพยายามจะหยีลงให้ดูเป็นมิตร แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเหมือนคนที่กำลังปวดท้องอย่างรุนแรง มันคือรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว พิกลพิการ และน่าขนลุกจนชวนให้ฝันร้าย เปรียบได้กับภาพวาดของจิตรกรเอกที่พยายามจะวาดภาพดวงตะวัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นภาพหลุมดำที่กำลังจะสูบกลืนทุกสิ่ง
เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังรอฟังคำตอบถึงกับชะงักงันไปในทันที เขานิ่งอึ้งไปกับภาพเบื้องหน้า
‘นั่น... นั่นมันอะไรกัน?’ คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของเขา ‘รอยยิ้มนั่นมันหมายความว่ากระไร? เป็นการเยาะเย้ยคำพูดอันแข็งทื่อของข้างั้นรึ? หรือเป็นการแสดงให้เห็นว่าคำพูดเพียงผิวเผินเช่นนี้ไม่อาจเข้าถึงตัวตนของเขาได้? หรือว่ามันเป็นสัญญาณบางอย่าง เป็นการทดสอบจิตใจของข้า?’
ความหมายนับร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมาในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย รอยยิ้มอันน่าสยดสยองของหยางเหวินในสายตาของเขากลับกลายเป็นรอยยิ้มอันล้ำลึกที่แฝงไว้ด้วยปริศนาธรรม มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาที่ว่าบุรุษผู้นี้คือยอดฝีมือที่คาดเดาไม่ได้โดยสมบูรณ์
กงหยางเหวินค้างรอยยิ้มนั้นไว้ราวสามวินาที ก่อนจะปล่อยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหนื่อยอ่อนราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา ทันใดนั้น...
[ติ๊ง! ภารกิจยิ้มให้พระเอก 3 ครั้ง ความคืบหน้า 1/3]
[หมายเหตุจากระบบ: โปรดพยายามยิ้มให้ดูเหมือนมนุษย์มากกว่านี้ในครั้งต่อไป ระบบเกือบจะประมวลผลผิดพลาดว่าเป็นใบหน้าของผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า]
หยางเหวินแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตายกับหมายเหตุสุดแสนจะปรานีของเสี่ยวซ่า แต่เขาก็โล่งใจที่อย่างน้อยมันก็นับว่าสำเร็จไปหนึ่งครั้ง เหลืออีกแค่สอง...
บรรยากาศในถ้ำกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้มันแปลกไปกว่าเดิม เจิ้งเฟิงเยวี่ยจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเก่า ส่วนหยางเหวินก็พยายามหลบสายตานั้นอย่างสุดชีวิต พลางคิดหาวิธีที่จะสร้างรอยยิ้มอีกสองครั้งที่เหลือให้มันจบ ๆ ไปเสียที
“เราจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลง
คำถามนั้นดึงหยางเหวินกลับมาสู่ความเป็นจริง เขายังมีปัญหาใหญ่กว่าการยิ้มรออยู่ นั่นคือการเอาชีวิตรอดในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้ โดยมีพระเอกที่บาดเจ็บเป็นภาระ เอ๊ย! เป็นเพื่อนร่วมทาง
“ก็คงจนกว่าแผลของท่านจะดีขึ้น หรือจนกว่าเราจะหาทางกลับเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัยนั่นแหละ” เขาตอบเสียงอ่อย มองดูเปลวไฟที่กำลังเต้นระริกอย่างเหม่อลอย
คืนนี้คงเป็นอีกคืนหนึ่งที่ยาวนานสำหรับเขา
ราตรีอันยาวนานและน่าอึดอัดได้ผ่านพ้นไป แสงอรุณแรกเริ่มสาดส่องลอดผ่านม่านน้ำตกเข้ามาในถ้ำ เกิดเป็นประกายรุ้งระยิบระยับอยู่บนผนังหินที่ชื้นแฉะ กงหยางเหวินลืมตาขึ้นมาจากการหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน สภาพของเขาดูไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาด ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจต่างอ่อนล้าสะบักสะบอมไปหมด
ตรงกันข้ามกับเขา เจิ้งเฟิงเยวี่ยกลับนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่มุมหนึ่งของถ้ำตั้งแต่รุ่งสาง ท่วงท่าสงบนิ่งราวกับรูปสลักหิน แม้จะมีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดอยู่ที่สีข้าง แต่รัศมีของผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งก็ยังคงแผ่ออกมาอย่างชัดเจน เขาดูเหมือนจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่หยางเหวินคาดไว้มาก สมกับที่เป็นพระเอกของเรื่องจริง ๆ
เสียงท้องร้องโครกครากของหยางเหวินดังขึ้นทำลายความเงียบสงบในยามเช้า เขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ก่อนจะหยิบขนมปังแข็ง ๆ ที่ซื้อมาเมื่อวานออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเสบียงเพียงอย่างเดียวที่พวกเขามีในตอนนี้
เขาบิขนมปังที่แข็งราวกับก้อนอิฐออกเป็นสองส่วนอย่างยากลำบาก แล้วยื่นชิ้นที่ใหญ่กว่าส่งให้เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงท้องร้องของเขาแล้ว
“ก...กินซะสิ จะได้มีแรง” เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายโดยตรง
เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับขนมปังมาโดยไม่พูดอะไร เขาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มกัดกินอย่างเชื่องช้า ท่าทีสงบนิ่งของเขาทำให้หยางเหวินเดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
‘เอาล่ะ เหลืออีกสองรอยยิ้ม’ หยางเหวินคิดในใจขณะที่เคี้ยวขนมปังรสชาติจืดชืด และแข็งกระด้าง ‘จะหาโอกาสตอนไหนดีวะเนี่ย’
รสสัมผัสที่แสนจะเลวร้ายในปากทำให้เขานึกถึงอาหารเลิศรสในโลกเก่าขึ้นมาจับใจ พิซซ่าหน้าชีสเยิ้ม ๆ ราเม็งน้ำซุปกระดูกหมูเข้มข้น หรือแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งยังดูน่ากินกว่าเจ้าก้อนอิฐนี่เป็นร้อยเท่า ความทรงจำเกี่ยวกับของอร่อยเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวัง
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก







