Masuk‘โอกาสมาแล้ว!’
เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไป
รอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนา
เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม
‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’
คิ้วกระบี่ของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม “เขากำลังเยาะเย้ยข้าอยู่หรือ?” ประโยคนี้ดังขึ้นในใจของเขา แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา
หยางเหวินไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มแห่งความทรงจำของเขามันได้ถูกตีความไปไกลถึงดาวอังคารแล้ว เขารีบหุบยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินขนมปังต่อทันทีที่เห็นหน้าจอแจ้งเตือนจากระบบ
[ติ๊ง! ภารกิจยิ้มให้พระเอก 3 ครั้ง ความคืบหน้า 2/3]
“เฮ้อ... เหลืออีกแค่ครั้งเดียว” เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่แสนจะอัตคัดแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือน้ำดื่ม น้ำในถุงหนังของเขาใกล้จะหมดแล้ว เขาจึงตัดสินใจจะเดินออกไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ น้ำตกเผื่อจะเจอลำธาร หรือผลไม้ที่พอจะกินได้บ้าง
“ข้า... ข้าจะออกไปหาอะไรกินแถวนี้หน่อยนะ ท่านพักผ่อนไปก่อนเถอะ” เขาบอกกับเจิ้งเฟิงเยวี่ย
“ระวังตัวด้วย” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตอบกลับสั้น ๆ แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่วางตา
หยางเหวินเดินออกจากถ้ำอย่างระมัดระวัง ละอองน้ำเย็น ๆ จากน้ำตกที่สาดกระเซ็นมาโดนหน้าทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขาใช้ความรู้เท่าหางอึ่งที่ได้จากการเขียนนิยาย เดินสำรวจไปตามแนวโขดหินที่ชื้นแฉะไปด้วยมอสส์สีเขียวสด
และแล้วโชคก็เข้าข้าง เขาเจอกับพุ่มไม้เล็ก ๆ ที่ออกผลเป็นลูกเบอร์รี่สีม่วงเข้ม ซึ่งเขาจำได้ว่ามันคือผลม่วงมรกต ผลไม้ป่าที่ไม่มีพิษและมีรสหวานฉ่ำที่เขาเคยเขียนบรรยายไว้
“เจอแล้ว!” เขาร้องออกมาอย่างดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองทำประโยชน์อะไรได้บ้างนับตั้งแต่ทะลุมิติมา เขารีบเด็ดผลไม้ใส่ชายเสื้อจนเต็ม แล้วเดินกลับเข้าถ้ำไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเล็ก ๆ
เขายื่นผลไม้ที่หามาได้ให้เจิ้งเฟิงเยวี่ย “เจอ เอ่อ... ผลไม้ กินแก้หิวก่อนได้นะ”
เจิ้งเฟิงเยวี่ยมองผลไม้ในมือเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา และในจังหวะนั้นเอง หยางเหวินที่กำลังรู้สึกดีกับความสำเร็จเล็ก ๆ ของตัวเอง ก็ได้มอบรอยยิ้มครั้งที่สามให้เขาโดยอัตโนมัติ
รอยยิ้มครั้งนี้เป็นธรรมชาติที่สุดในบรรดาสามครั้ง มันเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก แสดงถึงความโล่งใจและความยินดีอย่างแท้จริง
ทว่าสำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง รอยยิ้มนี้กลับเป็นเหมือนการตอกย้ำทฤษฎีของเขาให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
‘ยิ้มอีกแล้ว’ เขาวิเคราะห์ในใจ ‘ครั้งแรกยิ้มอย่างลึกลับ ครั้งที่สองยิ้มราวกับจะหยามหยัน และครั้งนี้ก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากหาของป่าธรรมดา ๆ มาได้ มันคือการแสดง! เขาจงใจแสดงบทบาทของคนธรรมดาที่ยินดีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง การกระทำเช่นนี้อาจจะเป็นการฝึกฝนจิตใจรูปแบบหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นการเยาะเย้ยข้าอย่างถึงที่สุด ว่าดูสิ ขนาดข้าบาดเจ็บ ยังต้องพึ่งพายอดฝีมืออย่างเขาให้หาผลไม้ป่ามาให้กิน’
ความรู้สึกอดสูแล่นริ้วขึ้นมาในใจของเจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างช่วยไม่ได้
[ติ๊ง! ภารกิจกระชับมิตร (ฉบับจำใจ) สำเร็จ!]
[ท่านได้รับแต้มเอาตัวรอด +20 ค่าความสัมพันธ์กับเจิ้งเฟิงเยวี่ย +5]
หยางเหวินเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าจอแจ้งเตือน ค่าความสัมพันธ์ +5 เขาทำหน้างง
‘ไหงมันถึงเพิ่มขึ้นได้วะ? ข้านึกว่าจะติดลบเสียอีก!’
เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ภารกิจสุดปวดหัวนี้จบลงเสียที สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่รอดพ้นสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ยไปได้
ความผ่อนคลายนั้น ในสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ย คือสีหน้าของปรมาจารย์ที่ทำการทดสอบศิษย์สำเร็จลุล่วงไปแล้ว
“การทดสอบของท่าน...” จู่ ๆ เจิ้งเฟิงเยวี่ยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนน่าขนลุก “คงจะสิ้นสุดแล้วสินะ”
กงหยางเหวินที่กำลังดีใจอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก เขาหันไปมองเจิ้งเฟิงเยวี่ยด้วยสีหน้างุนงงอย่างถึงขีดสุด
“ทดสอบ? ทดสอบอะไรของท่าน?”
คำว่าทดสอบอะไรของกงหยางเหวินลอยค้างอยู่ในอากาศที่เย็นเฉียบของถ้ำ มันเป็นคำถามที่ซื่อตรงและออกมาจากความงุนงงอย่างแท้จริง แต่สำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้ว มันคือการปฏิเสธอย่างแนบเนียนของผู้ที่ไม่ต้องการโอ้อวดในภูมิปัญญาของตน
ยอดฝีมือย่อมไม่เคยป่าวประกาศว่าตนกำลังทดสอบผู้ใด
เจิ้งเฟิงเยวี่ยส่ายศีรษะช้า ๆ แววตาฉายประกายความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“ช่างเถอะ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ เป็นการตัดบทสนทนาที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหาข้อสรุปได้ “บาดแผลข้าดีขึ้นมากแล้ว เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป กลิ่นเลือดอาจจะล่อสัตว์ร้ายตัวอื่นมาได้”
‘นี่คือการเปลี่ยนเรื่องอย่างจงใจ’ คือสิ่งที่เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิด ‘เขาไม่ต้องการให้ข้าล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา’
‘รอดไปที!’ คือสิ่งที่กงหยางเหวินคิด ‘เกือบไปแล้ว ยิ่งคุยยิ่งเข้าเนื้อ รีบ ๆ ออกไปจากที่นี่แหละดีที่สุด!’
“จริงด้วย!” หยางเหวินรีบผสมโรงทันที “ข้างนอกสว่างแล้ว เรารีบกลับเข้าเมืองกันเถอะ!” เขากล่าวด้วยความกระตือรือร้นเกินเหตุ จนดูเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ไปเที่ยวสวนสนุก
ทั้งสองคนจึงเก็บข้าวของเท่าที่มี ซึ่งก็คือเศษขนมปังที่เหลือกับถุงน้ำที่ว่างเปล่า แล้วจึงมุ่งหน้าออกจากถ้ำที่เคยเป็นที่หลบภัยชั่วคราว การเดินทางในตอนกลางวันนั้นแตกต่างจากตอนกลางคืนลิบลับ แสงแดดรำไรที่ส่องลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาบนพื้นป่า เสียงนกขับขานประสานเสียงกับสายลมที่พัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศดูน่ารื่นรมย์ขึ้นมาก หากไม่นับสงครามเย็นทางสายตาที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
กงหยางเหวินเดินนำหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เขาไม่คุ้นชินกับการเดินป่า ทำให้สะดุดรากไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ตกใจเสียงกระรอกที่วิ่งผ่านไปจนสะดุ้งโหยง ซึ่งทุกการกระทำที่ดูแสนจะธรรมดาและน่าสมเพชของเขานั้น ล้วนอยู่ในสายตาที่คอยพินิจพิเคราะห์ของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่เดินตามหลังมาอย่างเงียบเชียบ
‘ท่าเดินของเขาดูไร้ระเบียบ แต่ทุกย่างก้าวกลับทิ้งระยะห่างจากข้าอย่างพอเหมาะพอดี’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยวิเคราะห์ในใจ ‘การสะดุดนั่นหากมองในเชิงยุทธ มันคือการทิ้งตัวที่สามารถเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าโจมตีจากมุมต่ำได้อย่างฉับพลัน เขากำลังแสดงให้ข้าเห็นถึงช่องโหว่ที่จงใจสร้างขึ้น เพื่อทดสอบการสังเกตการณ์ของข้างั้นรึ? ล้ำลึก! ช่างล้ำลึกนัก!’
ส่วนกงหยางเหวินนั้นรู้สึกเหมือนมีเข็มพันเล่มทิ่มแทงอยู่กลางหลัง “ทำไมเขาต้องจ้องข้าขนาดนั้นด้วย” เขาบ่นกับเสี่ยวซ่าในใจ “อย่างกับข้าเป็นหนูทดลองในห้องแล็บแน่ะ น่าขนลุกชะมัด”
[จากการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น ระบบสันนิษฐานว่าเจิ้งเฟิงเยวี่ยกำลังเกิดความสนใจในตัวโฮสต์]
“สนใจบ้านเจ้าสิ! นี่มันสายตาของคนที่กำลังจับผิดชัด ๆ!”
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก







