Share

<9> ความพยายามครั้งที่สองและสาม

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-11 18:00:11

‘โอกาสมาแล้ว!’

เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไป

รอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนา

เจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม

‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’

คิ้วกระบี่ของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม “เขากำลังเยาะเย้ยข้าอยู่หรือ?” ประโยคนี้ดังขึ้นในใจของเขา แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา

หยางเหวินไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มแห่งความทรงจำของเขามันได้ถูกตีความไปไกลถึงดาวอังคารแล้ว เขารีบหุบยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินขนมปังต่อทันทีที่เห็นหน้าจอแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ๊ง! ภารกิจยิ้มให้พระเอก 3 ครั้ง ความคืบหน้า 2/3]

“เฮ้อ... เหลืออีกแค่ครั้งเดียว” เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่แสนจะอัตคัดแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือน้ำดื่ม น้ำในถุงหนังของเขาใกล้จะหมดแล้ว เขาจึงตัดสินใจจะเดินออกไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ น้ำตกเผื่อจะเจอลำธาร หรือผลไม้ที่พอจะกินได้บ้าง

“ข้า... ข้าจะออกไปหาอะไรกินแถวนี้หน่อยนะ ท่านพักผ่อนไปก่อนเถอะ” เขาบอกกับเจิ้งเฟิงเยวี่ย

“ระวังตัวด้วย” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตอบกลับสั้น ๆ แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่วางตา

หยางเหวินเดินออกจากถ้ำอย่างระมัดระวัง ละอองน้ำเย็น ๆ จากน้ำตกที่สาดกระเซ็นมาโดนหน้าทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขาใช้ความรู้เท่าหางอึ่งที่ได้จากการเขียนนิยาย เดินสำรวจไปตามแนวโขดหินที่ชื้นแฉะไปด้วยมอสส์สีเขียวสด

และแล้วโชคก็เข้าข้าง เขาเจอกับพุ่มไม้เล็ก ๆ ที่ออกผลเป็นลูกเบอร์รี่สีม่วงเข้ม ซึ่งเขาจำได้ว่ามันคือผลม่วงมรกต ผลไม้ป่าที่ไม่มีพิษและมีรสหวานฉ่ำที่เขาเคยเขียนบรรยายไว้

“เจอแล้ว!” เขาร้องออกมาอย่างดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองทำประโยชน์อะไรได้บ้างนับตั้งแต่ทะลุมิติมา เขารีบเด็ดผลไม้ใส่ชายเสื้อจนเต็ม แล้วเดินกลับเข้าถ้ำไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเล็ก ๆ

เขายื่นผลไม้ที่หามาได้ให้เจิ้งเฟิงเยวี่ย “เจอ เอ่อ... ผลไม้ กินแก้หิวก่อนได้นะ”

เจิ้งเฟิงเยวี่ยมองผลไม้ในมือเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา และในจังหวะนั้นเอง หยางเหวินที่กำลังรู้สึกดีกับความสำเร็จเล็ก ๆ ของตัวเอง ก็ได้มอบรอยยิ้มครั้งที่สามให้เขาโดยอัตโนมัติ

รอยยิ้มครั้งนี้เป็นธรรมชาติที่สุดในบรรดาสามครั้ง มันเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก แสดงถึงความโล่งใจและความยินดีอย่างแท้จริง

ทว่าสำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง รอยยิ้มนี้กลับเป็นเหมือนการตอกย้ำทฤษฎีของเขาให้หนักแน่นยิ่งขึ้น

‘ยิ้มอีกแล้ว’ เขาวิเคราะห์ในใจ ‘ครั้งแรกยิ้มอย่างลึกลับ ครั้งที่สองยิ้มราวกับจะหยามหยัน และครั้งนี้ก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากหาของป่าธรรมดา ๆ มาได้ มันคือการแสดง! เขาจงใจแสดงบทบาทของคนธรรมดาที่ยินดีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง การกระทำเช่นนี้อาจจะเป็นการฝึกฝนจิตใจรูปแบบหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นการเยาะเย้ยข้าอย่างถึงที่สุด ว่าดูสิ ขนาดข้าบาดเจ็บ ยังต้องพึ่งพายอดฝีมืออย่างเขาให้หาผลไม้ป่ามาให้กิน’

ความรู้สึกอดสูแล่นริ้วขึ้นมาในใจของเจิ้งเฟิงเยวี่ยอย่างช่วยไม่ได้

[ติ๊ง! ภารกิจกระชับมิตร (ฉบับจำใจ) สำเร็จ!]

[ท่านได้รับแต้มเอาตัวรอด +20 ค่าความสัมพันธ์กับเจิ้งเฟิงเยวี่ย +5]

หยางเหวินเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าจอแจ้งเตือน ค่าความสัมพันธ์ +5 เขาทำหน้างง

‘ไหงมันถึงเพิ่มขึ้นได้วะ? ข้านึกว่าจะติดลบเสียอีก!’

เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ภารกิจสุดปวดหัวนี้จบลงเสียที สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่รอดพ้นสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ยไปได้

ความผ่อนคลายนั้น ในสายตาของเจิ้งเฟิงเยวี่ย คือสีหน้าของปรมาจารย์ที่ทำการทดสอบศิษย์สำเร็จลุล่วงไปแล้ว

“การทดสอบของท่าน...” จู่ ๆ เจิ้งเฟิงเยวี่ยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนน่าขนลุก “คงจะสิ้นสุดแล้วสินะ”

กงหยางเหวินที่กำลังดีใจอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก เขาหันไปมองเจิ้งเฟิงเยวี่ยด้วยสีหน้างุนงงอย่างถึงขีดสุด

“ทดสอบ? ทดสอบอะไรของท่าน?”

คำว่าทดสอบอะไรของกงหยางเหวินลอยค้างอยู่ในอากาศที่เย็นเฉียบของถ้ำ มันเป็นคำถามที่ซื่อตรงและออกมาจากความงุนงงอย่างแท้จริง แต่สำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้ว มันคือการปฏิเสธอย่างแนบเนียนของผู้ที่ไม่ต้องการโอ้อวดในภูมิปัญญาของตน

ยอดฝีมือย่อมไม่เคยป่าวประกาศว่าตนกำลังทดสอบผู้ใด

เจิ้งเฟิงเยวี่ยส่ายศีรษะช้า ๆ แววตาฉายประกายความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

“ช่างเถอะ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ เป็นการตัดบทสนทนาที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหาข้อสรุปได้ “บาดแผลข้าดีขึ้นมากแล้ว เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป กลิ่นเลือดอาจจะล่อสัตว์ร้ายตัวอื่นมาได้”

‘นี่คือการเปลี่ยนเรื่องอย่างจงใจ’ คือสิ่งที่เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิด ‘เขาไม่ต้องการให้ข้าล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา’

‘รอดไปที!’ คือสิ่งที่กงหยางเหวินคิด ‘เกือบไปแล้ว ยิ่งคุยยิ่งเข้าเนื้อ รีบ ๆ ออกไปจากที่นี่แหละดีที่สุด!’

“จริงด้วย!” หยางเหวินรีบผสมโรงทันที “ข้างนอกสว่างแล้ว เรารีบกลับเข้าเมืองกันเถอะ!” เขากล่าวด้วยความกระตือรือร้นเกินเหตุ จนดูเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ไปเที่ยวสวนสนุก

ทั้งสองคนจึงเก็บข้าวของเท่าที่มี ซึ่งก็คือเศษขนมปังที่เหลือกับถุงน้ำที่ว่างเปล่า แล้วจึงมุ่งหน้าออกจากถ้ำที่เคยเป็นที่หลบภัยชั่วคราว การเดินทางในตอนกลางวันนั้นแตกต่างจากตอนกลางคืนลิบลับ แสงแดดรำไรที่ส่องลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาบนพื้นป่า เสียงนกขับขานประสานเสียงกับสายลมที่พัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศดูน่ารื่นรมย์ขึ้นมาก หากไม่นับสงครามเย็นทางสายตาที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

กงหยางเหวินเดินนำหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เขาไม่คุ้นชินกับการเดินป่า ทำให้สะดุดรากไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ตกใจเสียงกระรอกที่วิ่งผ่านไปจนสะดุ้งโหยง ซึ่งทุกการกระทำที่ดูแสนจะธรรมดาและน่าสมเพชของเขานั้น ล้วนอยู่ในสายตาที่คอยพินิจพิเคราะห์ของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่เดินตามหลังมาอย่างเงียบเชียบ

‘ท่าเดินของเขาดูไร้ระเบียบ แต่ทุกย่างก้าวกลับทิ้งระยะห่างจากข้าอย่างพอเหมาะพอดี’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยวิเคราะห์ในใจ ‘การสะดุดนั่นหากมองในเชิงยุทธ มันคือการทิ้งตัวที่สามารถเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าโจมตีจากมุมต่ำได้อย่างฉับพลัน เขากำลังแสดงให้ข้าเห็นถึงช่องโหว่ที่จงใจสร้างขึ้น เพื่อทดสอบการสังเกตการณ์ของข้างั้นรึ? ล้ำลึก! ช่างล้ำลึกนัก!’

ส่วนกงหยางเหวินนั้นรู้สึกเหมือนมีเข็มพันเล่มทิ่มแทงอยู่กลางหลัง “ทำไมเขาต้องจ้องข้าขนาดนั้นด้วย” เขาบ่นกับเสี่ยวซ่าในใจ “อย่างกับข้าเป็นหนูทดลองในห้องแล็บแน่ะ น่าขนลุกชะมัด”

[จากการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น ระบบสันนิษฐานว่าเจิ้งเฟิงเยวี่ยกำลังเกิดความสนใจในตัวโฮสต์]

“สนใจบ้านเจ้าสิ! นี่มันสายตาของคนที่กำลังจับผิดชัด ๆ!”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <14> สมบัติของผู้เขียน

    มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <13> นักต้มตุ๋นไม่สมัครใจ

    “บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <12> เข้าสู่ถ้ำก็อบลิน

    ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <11> ชีวิตต้องสู้เมื่อไม่มีเงิน

    “ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <10> จำใจร่วมทาง

    เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <9> ความพยายามครั้งที่สองและสาม

    ‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status