ในวันที่พลังปราณสูญสิ้น จางอี้หมิงถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เริ่มต้นใหม่ ท่ามกลางความท้าทาย และเหล่าศัตรูที่ไร้ปรานี เขาต้องฝ่าฟันเพื่อกลับไปเป็น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอีกครั้ง
View Moreเสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย
ผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูก
นี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?
จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำ
ทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นางนั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียง เส้นผมยาวสยายปกคลุมไหล่ เสื้อผ้าของนางเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน แลดูมีความน่าเอ็นดูผสมอยู่
“ซงเอ๋อร์?” เขาเอ่ยชื่อออกมาเบาๆ
สตรีนางนั้นคือสาวใช้แห่งจวนสกุลจางที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่ยังเด็ก นางดูเหนื่อยล้าเหมือนเฝ้าดูแลเขามาหลายคืน
“เป็นที่แน่ชัดว่าข้าอยู่ที่บ้าน ที่นี่ไม่ใช่สำนักเทียนหยาง”
สำนักเทียนหยาง เป็นสำนักฝึกตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของเมือง เป็นสถานที่ฝึกฝนของผู้ที่มั่นเข้าสู่วิถีเซียนยุทธ์ได้ฝึกฝนกัน และเขาคือศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางแห่งนั้น
จางอี้หมิงรู้สึกกระหายน้ำ เขาเหลือบไปเห็นถ้วยน้ำบนโต๊ะที่อยู่กลางห้อง สัญชาตญาณบอกให้เขายื่นมือออก ใช้พลังปราณเพื่อดูดถ้วยน้ำมาหาตนเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความว่างเปล่า
“พลังปราณของข้า...หายไป!”
เขาลองอีกครั้ง แต่ยังคงไร้ผล เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผม เขาสำรวจลึกลงในร่างกายของตนเอง และพบว่าจุดชีพจรทั้งหมดในร่างเหมือนถูกปิดกั้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น…” เขาพึมพำในใจ ความวิตกกังวลแล่นเข้ามาในจิตใจ
จากนั้นเขาจึงพยายามรวบรวมความทรงจำถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ครานั้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ภัยพิบัติเกิดขึ้นในอาณาจักรต้าเฉิง…
เมื่อ 1 ปีก่อน
กลางท้องฟ้าเหนืออาณาจักรต้าเฉิง
จางอี้หมิงยืนทรงตัวบนดาบวิเศษเล่มยาว สีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงความมุ่งมั่น ด้านหลังของเขาสะพายดาบใหญ่เล่มหนึ่ง ใบดาบหนาและหนักเหมือนอาวุธของนักรบ แต่ในมือของเขากลับถือพู่กันยาว และกระดาษยันต์หลายแผ่นติดอยู่ที่เอว
รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยเพลิงสีส้มแดงที่ปักษาอัคคีพ่นออกมา เพลิงนั้นไม่ได้เพียงแค่เผาทำลาย แต่ยังร้อนแรงจนทำให้ปราณธรรมดาสลายไปได้ ศิษย์สำนักเทียนหยางที่อยู่ด้านล่างช่วยกันสร้างตาข่ายเวทสีทองครอบคลุมเมืองหลวงเพื่อปกป้องผู้คน
“อาจารย์กับศิษย์พี่คนอื่นเผชิญหน้ากับจอมปีศาจที่ชายแดน ที่แห่งนี้มีเพียงข้าที่ระดับสูงสุด กับพวกระดับเล็กที่อยู่ด้านล่าง”
ณ ที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาแต่เพียงผู้เดียวที่รับมือกับปักษาอัคคีตัวนี้ได้ หากเป็นภัยคุกคามธรรมดา พวกทหารกับเจ้าหน้าที่รัฐคงรับมือมิยาก แต่เมื่อเป็นตัวประหลาดเช่นนี้ ยังไงก็ต้องถึงมือสำนักเทียนหยางอยู่ดี
จางอี้หมิงเพ่งมองปักษาอัคคีที่บินวนไปมา มันส่งเสียงกรีดร้องลั่น ร่างกายใหญ่โตเป็นเงาตะคุ่มกลางเปลวไฟที่แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า
เขากระชับพู่กันในมือ ใช้พลังปราณสะบัดพู่กันเขียนตัวอักษรโบราณบนกระดาษยันต์แผ่นหนึ่ง ก่อนจะปาใส่เปลวไฟที่มุ่งหน้าเข้ามา
“ดูดกลืน!”
ทันใดนั้น กระดาษยันต์แผ่นเล็กๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น เปลวไฟของปักษาอัคคีถูกดูดกลืนเข้าไปจนหมด ราวกับกระดาษนั้นมีชีวิต
“ปักษาอัคคี ข้าอยากได้เจ้ามาเลี้ยงดูเล่นเสียจริง!” จางอี้หมิงตะโกนลั่น ก่อนจะเขียนยันต์อีกสี่แผ่นในพริบตา
เขาปากระดาษยันต์เหล่านั้นขึ้นสู่ท้องฟ้า กระดาษแต่ละแผ่นลอยขึ้นและเปล่งแสงสีทองสว่างไสว กลายเป็นตาข่ายพลังงานขนาดใหญ่ล้อมรอบปักษาอัคคีไว้
ปักษาอัคคีพยายามดิ้นรน มันพ่นเพลิงใส่ตาข่าย แต่ตาข่ายยันต์กลับดูดกลืนเปลวเพลิงนั้นจนหมด
จางอี้หมิงสะบัดพู่กันขึ้นฟ้า ตัวอักษรโบราณลอยเด่นอยู่กลางอากาศราวกับถูกสลักไว้ด้วยพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ เขากางมือทั้งสองข้างออก สะกดพลังให้ตัวอักษรนั้นกลายเป็นตราผนึกขนาดใหญ่
“ปิดฉาก!”
พลังงานจากตราผนึกแผ่กระจายออก ปักษาอัคคีส่งเสียงร้องสุดท้ายก่อนที่ร่างของมันจะถูกดูดเข้าไปในอักษรโบราณ ตัวอักษรลอยหมุนวนอยู่กลางอากาศ ส่องแสงสว่างวาบจนท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าอีกครั้ง
เหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงได้ด้วยดี แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เสียงหวีดแหลมของอาวุธที่พุ่งทะยานมา
หอกสีดำทะลุผ่านตาข่ายเวทพุ่งตรงมายังจางอี้หมิง ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว หอกนั้นแทงเข้าที่ทรวงอกของเขาอย่างจัง โลหิตไหลทะลัก ร่างของเขากระตุกและลอยร่วงลงจากดาบ
“ใครกัน!” เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความเจ็บปวดและพลังปราณที่ค่อยๆ จางหาย
จากนั้นทุกอย่างก็มืดลง...
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
Comments