Masukเมื่อชายหนุ่มยุคปัจจุบันทะลุมิติไปในหนังสือนิยายแฟนตาซีดันเจี้ยน แบบนี้จะทำอย่างไร?
Lihat lebih banyakความรู้สึกแรกที่ทิ่มแทงเข้ามาในมโนสำนึกของ ทิศเหนือ คือความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วทั้งศีรษะ มันไม่ใช่ความปวดตุบ ๆ จากการอดนอนข้ามวันข้ามคืนเพื่อปั่นต้นฉบับ แต่เป็นความปวดร้าวรุนแรงราวกับมีช่างตีเหล็กนับสิบชีวิตมาตั้งโรงงานอยู่ในกะโหลก ทั้งทุบ ทั้งเผา ทั้งหลอมโลหะกันอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับมีหินถ่วงค่อย ๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นพร่าเลือนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ จับโฟกัสเป็นภาพเพดานไม้เก่าคร่ำคร่า ที่มีหยากไย่เกาะอยู่ตามมุมเป็นเครื่องประดับแห่งกาลเวลา แสงแดดยามสายลอดผ่านรูเล็กๆ บนหลังคาลงมาเป็นลำ ส่องให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ
“ที่ไหนวะเนี่ย...” เสียงแหบแห้งที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ มันไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยของตัวเอง แต่กลับเป็นเสียงของชายหนุ่มที่ยังไม่แตกพานดีนัก
ทิศเหนือพยุงกายที่หนักอึ้งลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากท้ายทอยขึ้นมาอีกระลอก เขากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างงุนงง ห้องที่เขาอยู่มีขนาดคับแคบราวกับรังหนู ผนังทำจากไม้แผ่นที่ประกบกันอย่างลวก ๆ มีเตียงฟางแข็งกระด้างที่เขานอนอยู่ กับโต๊ะไม้ขาเกือบพังหนึ่งตัวเท่านั้นที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด กลิ่นดินชื้น ๆ และกลิ่นอับของไม้เก่าลอยคลุ้งปะปนกันจนแทบสำลัก นี่มันห่างไกลจากห้องพักขนาดเท่ารูหนูในเมืองหลวงของเขาลิบลับ ที่นั่นอย่างน้อยก็ยังมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกลิ่นอายของความสิ้นหวังเป็นเพื่อน
เขาเหลือบมองดูเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเอง มันเป็นอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบสีมอซอ ที่ให้ความรู้สึกระคายผิวทุกครั้งที่ขยับตัว นี่มันชุดอะไรกัน? ชุดคอสเพลย์จากยุคโบราณหรือไง? หรือว่าเพื่อนนักเขียนจะเล่นพิเรนทร์มอมเหล้าแล้วจับเขามาแกล้งเล่นในกองถ่ายละครย้อนยุค?
ความคิดเพ้อเจ้อถูกปัดทิ้งไปทันทีที่เขาลองหยิกแขนตัวเอง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นจริงเสียยิ่งกว่ายอดวิวที่ตกต่ำของนิยายเรื่องล่าสุดเสียอีก
ทิศเหนือโซซัดโซเซลงจากเตียง ขาที่ดูยาวเก้งก้างกว่าเดิมเกือบจะพันกันจนหน้าเจ้าคะมำ สายตาของเขาสะดุดเข้ากับถังไม้ใบเขื่องที่มุมห้อง ในนั้นมีน้ำขังอยู่เกือบครึ่งค่อน แม้จะขุ่นมัวไปบ้าง แต่ก็พอจะใช้ส่องดูเงาสะท้อนได้ เขาก้มตัวลงไปอย่างเชื่องช้า หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก
สิ่งที่ปรากฏบนผิวน้ำไม่ใช่ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่มีขอบตาดำคล้ำเป็นวงเหมือนหมีแพนด้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก และมีแว่นตาหนาเตอะเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 แต่กลับเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปปีที่หล่อเหลาจนน่าโมโห
ผิวขาวละเอียดหมดจด ดวงตาเรียวคมกริบดุจตาเหยี่ยวรับกับคิ้วกระบี่ที่พาดเฉียงอย่างองอาจ สันจมูกโด่งเป็นคมสัน ริมฝีปากบางหยักได้รูป แม้จะซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาลงได้แม้แต่น้อย สันกรามคมคายที่รับกับลำคอระหงบ่งบอกว่าเจ้าของร่างนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะต้องเป็นบุรุษรูปงามที่สามารถล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแน่นอน
“นี่มันใครวะ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงพึมพำนั้นเอง ความทรงจำของคนแปลกหน้าก็ถาโถมเข้ามาในหัวสมองราวกับคลื่นยักษ์สึนามิที่พัดถล่มชายฝั่งอย่างไม่ปรานี ภาพแล้วภาพเล่า เสียงแล้วเสียงเล่าไหลบ่าเข้ามาปะปนกับความทรงจำเดิมของเขาจนแทบแยกไม่ออก เด็กหนุ่มกำพร้า เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม การดิ้นรนเอาชีวิตรอด...
ซึ่งชื่อของเจ้าของร่างนี้คือ กงหยางเหวิน
ราวกับมีอสนีบาตฟาดผ่าลงมากลางกระหม่อม ทิศเหนือจากโลกศตวรรษที่ 21 ผงะถอยหลังไปสองสามก้าว เข่าอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีด
กงหยางเหวิน เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม...
ชื่อเหล่านี้ สถานที่เหล่านี้ มันคือชื่อตัวละครและฉากในนิยายแฟนตาซีดันเจี้ยนเรื่องล่าสุดที่เขากำลังเขียนอยู่นี่หว่า นิยายแนวเกิดใหม่ในต่างโลกที่ชื่อว่า ราชันย์อสูรสะท้านภพ
ความจริงอันน่าสะพรึงกลัวข้อนี้หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าการโดนบรรณาธิการโทรมาทวงต้นฉบับตอนตีสามเสียอีก เขาทะลุมิติเข้ามาในนิยายของตัวเอง!
“ไม่... ไม่จริงน่า... เรื่องบ้า ๆ แบบนี้...” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น แต่เสียงที่ได้ยินกลับสั่นเครือเสียจนน่าสมเพช
แต่แล้ว ราวกับสวรรค์ยังเล่นตลกไม่พอ ความจริงอีกข้อหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ
กงหยางเหวินในนิยายของเขา เป็นเพียงตัวประกอบฉาก เป็นแค่ไอ้หนุ่มดวงซวยที่อาศัยอยู่ในเมืองเริ่มต้น เป็นเด็กกำพร้าที่หาเช้ากินค่ำ และมีบทบาทเพียงแค่ตาย...
ใช่แล้ว ตาย! บทบาทของกงหยางเหวินคนนี้คือการเป็นศพแรกที่ปรากฏตัวใน บทที่ 3 เพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงความน่ากลัวของมอนสเตอร์ระดับล่างอย่างหมาป่าเขี้ยวเหล็ก เป็นการปูทางให้พระเอกตัวจริงอย่าง เจิ้งเฟิงเยวี่ย ได้ออกมาโชว์เทพเป็นครั้งแรก
นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ ไม่สิ นี่มันตกนรกทั้งเป็นเลยต่างหาก!
ทะลุมิติมาทั้งที ไม่ได้เป็นพระเอก ไม่ได้เป็นตัวร้ายสุดแกร่ง แต่กลับได้เป็นแค่ตัวประกอบฉากที่ต้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นปกเล่มหนึ่ง!
“บ้าเอ๊ย! ใครมันจะไปยอมตายง่าย ๆ แบบนั้นวะ!” เขาตะโกนก้องอย่างเหลืออด
[ติ๊ง!]
เสียงใส ๆ ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกยุคโบราณนี้ดังขึ้นในหัวของเขา พร้อมกับปรากฏหน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงลอยขึ้นตรงหน้า ราวกับภาพโฮโลแกรมในหนังไซไฟ
[ยินดีด้วย! ท่านได้ปลุกระบบ AI ผู้สร้างสรรค์สำเร็จ]
ทิศเหนืออ้าปากค้าง ตาแทบถลนออกจากเบ้า “ระ ระบบ? นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย? พล็อตยอดฮิตของนักเขียนนิยายเว็บรึไง?!”
[ถูกต้องส่วนหนึ่ง ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากจิตสำนึกของโลกที่ท่านสร้าง เพื่อช่วยเหลือผู้เขียนในการแก้ไขข้อผิดพลาดของโชคชะตา]
เสียงที่ดังขึ้นนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ราวกับเสียงสังเคราะห์จากเครื่องจักร แต่น้ำเสียงกลับแฝงความกวนประสาทไว้อย่างประหลาด
“แก้ไขข้อผิดพลาด? หมายความว่าไง? แล้วทำไมต้องเป็นฉัน! ส่งฉันกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ทิศเหนือโวยวายใส่หน้าจอโปร่งแสง
[ไม่สามารถทำตามคำร้องขอได้ เนื่องจากลาสบอสที่ท่านสร้างขึ้นเริ่มแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตัวเอกจะรับมือไหวตามเส้นเรื่องเดิม โลกใบนี้กำลังเผชิญกับภาวะล่มสลาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดึงผู้สร้างเข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนอนาคต]
“ลาสบอส? นี่แกจะบอกว่าที่ฉันต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ นี่ก็เพราะฉันเขียนให้ตัวร้ายมันเก่งเกินไปเนี่ยนะ! แล้วทำไมไม่ให้ฉันไปเกิดเป็นพระเอก หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวละครที่มีชีวิตรอดเกินบทที่สิบเล่า!”
[จากการคำนวณข้อมูลทั้งหมด การให้ท่านอยู่ในร่างของกงหยางเหวิน ตัวประกอบผู้มีชะตาถึงฆาต คือจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงเส้นเรื่อง เพราะเป็นการแทรกแซงที่น้อยที่สุดแต่ส่งผลกระทบต่อตัวเอกโดยตรงมากที่สุด]
“ส่งผลกระทบโดยตรงบ้านป้าแกสิ! อีกไม่เกินสองวันฉันก็ต้องไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้วไม่ใช่รึไง!”
[ถูกต้องตามข้อมูลในต้นฉบับของท่าน ตามเส้นเรื่องเดิม ในอีก 48 ชั่วโมง 13 นาที และ 22 วินาทีข้างหน้า ท่านจะถูกหมาป่าเขี้ยวเหล็กฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ที่ชายป่าด้านตะวันตกของเมือง]
หน้าจอสีฟ้าแสดงเวลานับถอยหลังขึ้นมาประกอบคำพูดอย่างไร้ความปรานี
ทิศเหนือทรุดฮวบลงกับพื้นอีกครั้ง ความหวังริบหรี่สุดท้ายดับวูบลงราวกับเปลวเทียนต้องลมพายุ เขายกมือกุมขมับ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง ชะตากรรมของเขาถูกผนึกไว้แล้วด้วยน้ำหมึกจากปลายปากกาของตัวเองแท้ ๆ
นี่ไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันคือความจริงที่เลวร้ายยิ่งกว่าฝันเสียอีก
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก












Komen