เมื่อชายหนุ่มยุคปัจจุบันทะลุมิติไปในหนังสือนิยายแฟนตาซีดันเจี้ยน แบบนี้จะทำอย่างไร?
View Moreความรู้สึกแรกที่ทิ่มแทงเข้ามาในมโนสำนึกของ ทิศเหนือ คือความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วทั้งศีรษะ มันไม่ใช่ความปวดตุบ ๆ จากการอดนอนข้ามวันข้ามคืนเพื่อปั่นต้นฉบับ แต่เป็นความปวดร้าวรุนแรงราวกับมีช่างตีเหล็กนับสิบชีวิตมาตั้งโรงงานอยู่ในกะโหลก ทั้งทุบ ทั้งเผา ทั้งหลอมโลหะกันอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับมีหินถ่วงค่อย ๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นพร่าเลือนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ จับโฟกัสเป็นภาพเพดานไม้เก่าคร่ำคร่า ที่มีหยากไย่เกาะอยู่ตามมุมเป็นเครื่องประดับแห่งกาลเวลา แสงแดดยามสายลอดผ่านรูเล็กๆ บนหลังคาลงมาเป็นลำ ส่องให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ
“ที่ไหนวะเนี่ย...” เสียงแหบแห้งที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ มันไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยของตัวเอง แต่กลับเป็นเสียงของชายหนุ่มที่ยังไม่แตกพานดีนัก
ทิศเหนือพยุงกายที่หนักอึ้งลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากท้ายทอยขึ้นมาอีกระลอก เขากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างงุนงง ห้องที่เขาอยู่มีขนาดคับแคบราวกับรังหนู ผนังทำจากไม้แผ่นที่ประกบกันอย่างลวก ๆ มีเตียงฟางแข็งกระด้างที่เขานอนอยู่ กับโต๊ะไม้ขาเกือบพังหนึ่งตัวเท่านั้นที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด กลิ่นดินชื้น ๆ และกลิ่นอับของไม้เก่าลอยคลุ้งปะปนกันจนแทบสำลัก นี่มันห่างไกลจากห้องพักขนาดเท่ารูหนูในเมืองหลวงของเขาลิบลับ ที่นั่นอย่างน้อยก็ยังมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกลิ่นอายของความสิ้นหวังเป็นเพื่อน
เขาเหลือบมองดูเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเอง มันเป็นอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบสีมอซอ ที่ให้ความรู้สึกระคายผิวทุกครั้งที่ขยับตัว นี่มันชุดอะไรกัน? ชุดคอสเพลย์จากยุคโบราณหรือไง? หรือว่าเพื่อนนักเขียนจะเล่นพิเรนทร์มอมเหล้าแล้วจับเขามาแกล้งเล่นในกองถ่ายละครย้อนยุค?
ความคิดเพ้อเจ้อถูกปัดทิ้งไปทันทีที่เขาลองหยิกแขนตัวเอง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นจริงเสียยิ่งกว่ายอดวิวที่ตกต่ำของนิยายเรื่องล่าสุดเสียอีก
ทิศเหนือโซซัดโซเซลงจากเตียง ขาที่ดูยาวเก้งก้างกว่าเดิมเกือบจะพันกันจนหน้าเจ้าคะมำ สายตาของเขาสะดุดเข้ากับถังไม้ใบเขื่องที่มุมห้อง ในนั้นมีน้ำขังอยู่เกือบครึ่งค่อน แม้จะขุ่นมัวไปบ้าง แต่ก็พอจะใช้ส่องดูเงาสะท้อนได้ เขาก้มตัวลงไปอย่างเชื่องช้า หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก
สิ่งที่ปรากฏบนผิวน้ำไม่ใช่ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่มีขอบตาดำคล้ำเป็นวงเหมือนหมีแพนด้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก และมีแว่นตาหนาเตอะเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 แต่กลับเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปปีที่หล่อเหลาจนน่าโมโห
ผิวขาวละเอียดหมดจด ดวงตาเรียวคมกริบดุจตาเหยี่ยวรับกับคิ้วกระบี่ที่พาดเฉียงอย่างองอาจ สันจมูกโด่งเป็นคมสัน ริมฝีปากบางหยักได้รูป แม้จะซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาลงได้แม้แต่น้อย สันกรามคมคายที่รับกับลำคอระหงบ่งบอกว่าเจ้าของร่างนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะต้องเป็นบุรุษรูปงามที่สามารถล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแน่นอน
“นี่มันใครวะ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงพึมพำนั้นเอง ความทรงจำของคนแปลกหน้าก็ถาโถมเข้ามาในหัวสมองราวกับคลื่นยักษ์สึนามิที่พัดถล่มชายฝั่งอย่างไม่ปรานี ภาพแล้วภาพเล่า เสียงแล้วเสียงเล่าไหลบ่าเข้ามาปะปนกับความทรงจำเดิมของเขาจนแทบแยกไม่ออก เด็กหนุ่มกำพร้า เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม การดิ้นรนเอาชีวิตรอด...
ซึ่งชื่อของเจ้าของร่างนี้คือ กงหยางเหวิน
ราวกับมีอสนีบาตฟาดผ่าลงมากลางกระหม่อม ทิศเหนือจากโลกศตวรรษที่ 21 ผงะถอยหลังไปสองสามก้าว เข่าอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีด
กงหยางเหวิน เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม...
ชื่อเหล่านี้ สถานที่เหล่านี้ มันคือชื่อตัวละครและฉากในนิยายแฟนตาซีดันเจี้ยนเรื่องล่าสุดที่เขากำลังเขียนอยู่นี่หว่า นิยายแนวเกิดใหม่ในต่างโลกที่ชื่อว่า ราชันย์อสูรสะท้านภพ
ความจริงอันน่าสะพรึงกลัวข้อนี้หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าการโดนบรรณาธิการโทรมาทวงต้นฉบับตอนตีสามเสียอีก เขาทะลุมิติเข้ามาในนิยายของตัวเอง!
“ไม่... ไม่จริงน่า... เรื่องบ้า ๆ แบบนี้...” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น แต่เสียงที่ได้ยินกลับสั่นเครือเสียจนน่าสมเพช
แต่แล้ว ราวกับสวรรค์ยังเล่นตลกไม่พอ ความจริงอีกข้อหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ
กงหยางเหวินในนิยายของเขา เป็นเพียงตัวประกอบฉาก เป็นแค่ไอ้หนุ่มดวงซวยที่อาศัยอยู่ในเมืองเริ่มต้น เป็นเด็กกำพร้าที่หาเช้ากินค่ำ และมีบทบาทเพียงแค่ตาย...
ใช่แล้ว ตาย! บทบาทของกงหยางเหวินคนนี้คือการเป็นศพแรกที่ปรากฏตัวใน บทที่ 3 เพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงความน่ากลัวของมอนสเตอร์ระดับล่างอย่างหมาป่าเขี้ยวเหล็ก เป็นการปูทางให้พระเอกตัวจริงอย่าง เจิ้งเฟิงเยวี่ย ได้ออกมาโชว์เทพเป็นครั้งแรก
นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ ไม่สิ นี่มันตกนรกทั้งเป็นเลยต่างหาก!
ทะลุมิติมาทั้งที ไม่ได้เป็นพระเอก ไม่ได้เป็นตัวร้ายสุดแกร่ง แต่กลับได้เป็นแค่ตัวประกอบฉากที่ต้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นปกเล่มหนึ่ง!
“บ้าเอ๊ย! ใครมันจะไปยอมตายง่าย ๆ แบบนั้นวะ!” เขาตะโกนก้องอย่างเหลืออด
[ติ๊ง!]
เสียงใส ๆ ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกยุคโบราณนี้ดังขึ้นในหัวของเขา พร้อมกับปรากฏหน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงลอยขึ้นตรงหน้า ราวกับภาพโฮโลแกรมในหนังไซไฟ
[ยินดีด้วย! ท่านได้ปลุกระบบ AI ผู้สร้างสรรค์สำเร็จ]
ทิศเหนืออ้าปากค้าง ตาแทบถลนออกจากเบ้า “ระ ระบบ? นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย? พล็อตยอดฮิตของนักเขียนนิยายเว็บรึไง?!”
[ถูกต้องส่วนหนึ่ง ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากจิตสำนึกของโลกที่ท่านสร้าง เพื่อช่วยเหลือผู้เขียนในการแก้ไขข้อผิดพลาดของโชคชะตา]
เสียงที่ดังขึ้นนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ราวกับเสียงสังเคราะห์จากเครื่องจักร แต่น้ำเสียงกลับแฝงความกวนประสาทไว้อย่างประหลาด
“แก้ไขข้อผิดพลาด? หมายความว่าไง? แล้วทำไมต้องเป็นฉัน! ส่งฉันกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ทิศเหนือโวยวายใส่หน้าจอโปร่งแสง
[ไม่สามารถทำตามคำร้องขอได้ เนื่องจากลาสบอสที่ท่านสร้างขึ้นเริ่มแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตัวเอกจะรับมือไหวตามเส้นเรื่องเดิม โลกใบนี้กำลังเผชิญกับภาวะล่มสลาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดึงผู้สร้างเข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนอนาคต]
“ลาสบอส? นี่แกจะบอกว่าที่ฉันต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ นี่ก็เพราะฉันเขียนให้ตัวร้ายมันเก่งเกินไปเนี่ยนะ! แล้วทำไมไม่ให้ฉันไปเกิดเป็นพระเอก หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวละครที่มีชีวิตรอดเกินบทที่สิบเล่า!”
[จากการคำนวณข้อมูลทั้งหมด การให้ท่านอยู่ในร่างของกงหยางเหวิน ตัวประกอบผู้มีชะตาถึงฆาต คือจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงเส้นเรื่อง เพราะเป็นการแทรกแซงที่น้อยที่สุดแต่ส่งผลกระทบต่อตัวเอกโดยตรงมากที่สุด]
“ส่งผลกระทบโดยตรงบ้านป้าแกสิ! อีกไม่เกินสองวันฉันก็ต้องไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้วไม่ใช่รึไง!”
[ถูกต้องตามข้อมูลในต้นฉบับของท่าน ตามเส้นเรื่องเดิม ในอีก 48 ชั่วโมง 13 นาที และ 22 วินาทีข้างหน้า ท่านจะถูกหมาป่าเขี้ยวเหล็กฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ที่ชายป่าด้านตะวันตกของเมือง]
หน้าจอสีฟ้าแสดงเวลานับถอยหลังขึ้นมาประกอบคำพูดอย่างไร้ความปรานี
ทิศเหนือทรุดฮวบลงกับพื้นอีกครั้ง ความหวังริบหรี่สุดท้ายดับวูบลงราวกับเปลวเทียนต้องลมพายุ เขายกมือกุมขมับ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง ชะตากรรมของเขาถูกผนึกไว้แล้วด้วยน้ำหมึกจากปลายปากกาของตัวเองแท้ ๆ
นี่ไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันคือความจริงที่เลวร้ายยิ่งกว่าฝันเสียอีก
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข
Comments