และมันก็ได้ผล แสงสีเขียวเรืองรองปรากฏขึ้นจาง ๆ บริเวณบาดแผล เลือดที่เคยไหลซึมหยุดลงในบัดดล ปากแผลเริ่มสมานตัวเข้าหากันอย่างช้า ๆ แม้จะไม่หายสนิท แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ลมหายใจของอีกฝ่ายก็เริ่มสม่ำเสมอขึ้น
“เฮ้อ... รอดไปที” หยางเหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ปัญหายังไม่จบ “จะทิ้งไว้ตรงนี้ก็ไม่ได้ กลิ่นเลือดคลุ้งขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้เรียกเพื่อนบ้านมาจัดปาร์ตี้กันพอดี”
เขาต้องย้ายที่ แต่จะย้ายเจ้ายักษ์นี่ไปได้อย่างไรด้วยพละกำลังระดับมดปลวกของเขา? เขาลองสอดแขนเข้าไปใต้ร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้วออกแรงยก ผลลัพธ์คือร่างของพระเอกไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว แต่เป็นหลังของเขาเองที่ส่งเสียงกร๊อบออกมาเป็นการประท้วง
หลังจากพยายามอยู่หลายท่า ทั้งลากทั้งดึงทั้งผลัก สุดท้ายเขาก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ เขาถอดผ้าคลุมชั้นนอกของเจิ้งเฟิงเยวี่ยออก ปูลงบนพื้นแล้วกลิ้งร่างสูงใหญ่นั่นลงไปนอนทับ จากนั้นก็ใช้มันต่างเลื่อน ลากไปบนพื้นหญ้าและใบไม้แห้ง
“ขอโทษนะเพื่อน แต่ข้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ” เขาพึมพำขอขมาขณะที่ออกแรงลากพระเอกผู้สูงส่งไปตามพื้นดินราวกับกระสอบข้าวสาร
แล้วจะไปที่ไหน? ความทรงจำของผู้สร้างทำงานอีกครั้ง เขาจำได้ว่าเคยเขียนถึงถ้ำเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังม่านน้ำตกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบริเวณนี้ มันเป็นสถานที่ที่เขาตั้งใจจะให้พระเอกค้นพบในภายหลังเพื่อใช้เป็นที่พักฟื้นและฝึกวิชา ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นคนพามันมาที่นี่เสียเอง
เขาใช้เวลาเกือบชั่วยามในการลากพระเอกฝ่าความมืด จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมา เขาลากร่างที่หนักอึ้งผ่านม่านน้ำเข้าไป พบกับโพรงถ้ำที่แห้งและปลอดภัยดังที่เขาจำได้ไม่ผิดเพี้ยน
ภายในถ้ำ กงหยางเหวินก่อกองไฟขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาไม่มีทักษะการจุดไฟแบบคนโบราณ แต่โชคดีที่ในย่ามของเจิ้งเฟิงเยวี่ยมีหินเหล็กไฟอยู่ชุดหนึ่ง เขาใช้เวลางมอยู่นานกว่าที่เปลวไฟสีส้มจะลุกโชนขึ้น ขับไล่ความหนาวเย็นและความมืดมิดออกไปได้
เขานั่งลงข้างกองไฟ มองดูร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยังคงหลับสนิท ใบหน้ายามไร้ซึ่งความเย็นชาดูอ่อนเยาว์และสงบสุขอย่างน่าประหลาด กงหยางเหวินถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยของวัน แผนการหนีธงมรณะของเขาได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ เปลือกตาของบุรุษที่นอนอยู่ก็เริ่มขยับไหว เจิ้งเฟิงเยวี่ยค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา สิ่งแรกที่เขารู้สึกคือความอบอุ่นจากกองไฟ และความเจ็บปวดที่บาดแผลซึ่งทุเลาลงไปมากแล้ว เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือเพดานถ้ำหิน ตามมาด้วยภาพของเด็กหนุ่มคนเดิมที่นั่งกอดเข่าทำหน้าเหมือนโลกจะแตกอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟ
สมองของเขาเริ่มประมวลผลเรื่องราวทั้งหมด การต่อสู้ บาดแผล การปรากฏตัวของเด็กหนุ่ม ก้อนหินพิฆาต แล้วเขาก็หมดสติไป...
‘เจ้าเด็กนั่นช่วยข้าไว้’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิดในใจ ‘แถมปราบจ่าฝูงอสูรด้วยกระบวนท่าที่มองผิวเผินเหมือนการดิ้นรน แต่แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยความแม่นยำอันน่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็พาข้าที่บาดเจ็บมายังถ้ำที่ปลอดภัยและซ่อนเร้นแห่งนี้ แถมยังช่วยรักษาแผลข้าอีกด้วย...’
ทุกการกระทำมันสวนทางกับท่าทีตื่นกลัวปอดแหกที่เด็กหนุ่มคนนี้แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง ชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะทำเรื่องแบบนี้ได้?
ความเข้าใจผิดได้ก่อตัวขึ้นสูงตระหง่าน และดูเหมือนว่ากงหยางเหวินจะเป็นคนลงมือฉาบปูนด้วยตัวเองในทุก ๆ อิฐที่ก่อขึ้น
“เจ้าช่วยข้าไว้” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยขึ้น เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่คำถาม
เสียงนั้นทำให้หยางเหวินที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งสุดตัว “กะ ก็เจ้าเล่นสลบไปนี่หว่า! ขืนทิ้งไว้ตรงนั้นก็ได้กลายเป็นปุ๋ยกันพอดี!” เขาโพล่งสวนกลับไปตามความเคยชิน
เจิ้งเฟิงเยวี่ยขมวดคิ้วกับสรรพนามแปลก ๆ ของอีกฝ่าย แต่ก็เลือกที่จะมองข้ามไป “ถ้ำแห่งนี้ เจ้าหาพบได้อย่างไร?”
‘ชิบ!’ หยางเหวินอุทานในใจ ‘จะตอบยังไงดีวะ! อ๋อ พอดีข้าเป็นคนเขียนพล็อตแถวนี้น่ะงั้นเรอะ!’
เขาหัวเราะแหะ ๆ “ก…ก็เดินมั่ว ๆ มาแล้วก็เจอน่ะสิ! โชคดีน่ะ โชคดี!”
‘โชคดีอีกแล้วรึ?’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิด สายตาของเขาราวกับมีดผ่าตัดที่กรีดเฉือนคำโกหกจอมปลอมของหยางเหวินออกเป็นชิ้น ๆ ‘ไม่มีใครโชคดีได้ถึงเพียงนี้ นี่ต้องเป็นการเตรียมการมาอย่างดีแน่แท้ ท่าทีอ่อนแอขลาดกลัวนั่นเป็นการเสแสร้งเพื่อหยั่งเชิงข้างั้นรึ?’
“เรื่องเมื่อครู่ ก้อนหินนั่น ไม่ใช่เรื่องฟลุก” เขากล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจ
หยางเหวินแทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น “ก็บอกว่าฟลุกไงเล่า! ท่านจะให้ข้าพูดสักกี่ครั้งกัน! ข้าเกือบจะโดนกินอยู่แล้ว จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำเรื่องเท่ ๆ แบบนั้นได้!” ความสิ้นหวังในน้ำเสียงของเขานั้นจริงแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้ว มันคือการปฏิเสธที่แนบเนียนของผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เป็นความถ่อมตนของยอดฝีมือที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
เขาไม่เอ่ยถามต่อให้มากความอีก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการจะยอมรับ เขาก็จะไม่คาดคั้น แต่ในใจของเขานั้นได้ตัดสินไปแล้วว่า เด็กหนุ่มปริศนาผู้นี้คือยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นกายาอย่างไม่ต้องสงสัย
เจิ้งเฟิงเยวี่ยพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ก่อนจะประสานมือคารวะหยางเหวินอย่างจริงจัง “ข้าเจิ้งเฟิงเยวี่ย ติดหนี้ชีวิตเจ้า”
จากนั้นเขาก็มองตรงมาที่หยางเหวินด้วยแววตาที่หนักแน่น “บาดแผลของข้ายังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายวัน ก่อนที่ข้าจะหายดี ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
กงหยางเหวินเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง มองดูพระเอกที่ประกาศตัวว่าจะขอเกาะติดเขาไปอีกหลายวันด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ
ปฏิบัติการหนีธงมรณะของเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้ธงมรณะต้นใหม่ที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าเดิมมาปักอยู่กลางหลังเสียแล้ว
ภายในถ้ำอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงเปลวไฟที่ลุกเลียฟืนแห้งดังเป๊าะแป๊ะเป็นเพื่อนขับกล่อมความเงียบ กงหยางเหวินนั่งกอดเข่าอยู่อีกฟากของกองไฟ จ้องมองดูพระเอกของเรื่องที่เพิ่งจะประกาศตัวเป็นภาระของเขาไปหมาด ๆ ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยายได้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! แผนการทั้งหมดของเขาคือการหนี! หนี! แล้วก็หนี! เขาควรจะอยู่ห่างจากบุรุษผู้นี้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่มานั่งจ้องหน้ากันในถ้ำแคบ ๆ แบบนี้!
บรรยากาศระหว่างพวกเขากระอักกระอ่วนเสียจนจับต้องได้ ความเงียบนั้นหนักหน่วงราวกับจะบดขยี้กระดูกให้แหลกลาญ เขาอยากจะกรีดร้อง อยากจะทึ้งผมตัวเอง อยากจะขุดอุโมงค์หนีออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ เป็นหินแกะสลักต่อไป
เจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็นั่งเงียบ ๆ เช่นกัน เขากำลังพินิจพิเคราะห์บาดแผลของตัวเองที่ถูกรักษาอย่างหยาบ ๆ แต่ได้ผลชะงัด ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองหยางเหวินเป็นครั้งคราว แววตาคมกริบคู่นั้นเต็มไปด้วยการไตร่ตรองและค้นหา ราวกับกำลังพยายามจะไขปริศนาชิ้นเอกที่อยู่เบื้องหน้า สายตาของเขาราวกับมีดผ่าตัดที่กรีดเฉือนคำโกหกจอมปลอมของหยางเหวินออกเป็นชิ้นมๆ ทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนเป็นกบที่กำลังจะถูกชำแหละ
‘เขากำลังคิดอะไรอยู่? เขาสงสัยอะไรในตัวเราอีก? หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าเราเป็นนักต้มตุ๋น?’ ความคิดฟุ้งซ่านนับพันวิ่งวนอยู่ในหัวของหยางเหวินจนแทบระเบิด
มันเปรียบเสมือนบทละครที่ถูกขยำทิ้งลงถังขยะไปแล้ว แต่โลกใบนี้กลับเก็บมันขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วนำมาจัดแสดงใหม่อย่างหน้าตาเฉย!ความจริงข้อนี้ทำให้หยางเหวินรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขกระดูก อำนาจในฐานะผู้สร้างของเขามันลึกล้ำ และน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก“ท่านรู้ที่มาของมันด้วยรึ?” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยถามเมื่อเห็นหยางเหวินยืนนิ่งไปนาน การแสดงออกของหยางเหวินในสายตาของเขาคือความไม่แยแสต่อของล้ำค่า ราวกับว่าสมบัติระดับนี้เป็นเพียงของธรรมดาสามัญสำหรับเขาเท่านั้น“อ่า... ก็เคยได้ยินมาบ้าง” หยางเหวินตอบเสียงอ่อย พลางรีบเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย “ในเมื่อมันเป็นยาชั้นดีเช่นนี้ ท่านก็รีบดื่มมันเสียสิ แผลของท่านจะได้หายสนิท”เขากล่าวพลางผายมือไปยังขวดยา มันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริง เพราะยิ่งเจิ้งเฟิงเยวี่ยหายเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นเจิ้งเฟิงเยวี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหยางเหวิน เขาเห็นเพียงความว่างเปล่า แต่เขากลับตีค
“บ้าที่สุด! ติดอยู่ในถ้ำที่ตัวเองไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ! ไอ้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดของข้าก็นำมาสู่หายนะชัด ๆ! นี่ข้าเป็นนักเขียนประเภทไหนกันวะเนี่ย ขนาดพล็อตของตัวเองยังคาดเดาไม่ได้เลย!”เจิ้งเฟิงเยวี่ยยืนมองดูพฤติกรรมแปลก ๆ ของหยางเหวินอย่างเงียบ ๆ ในสายตาของเขา การเดินวนไปวนมา และคำพูดพึมพำเหล่านั้นไม่ใช่การเสียสติ แต่เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมอย่างลึกซึ้งต่างหาก“แล้วดูกำแพงบ้านี่สิ!” หยางเหวินชี้ไปที่ทางตันอย่างหัวเสีย “โคตรจะดาษดื่น! ทางตันหลังอุโมงค์ถล่มเนี่ยนะ! ถ้าข้าเป็นคนเขียนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใส่ปริศนาอะไรไว้บนกำแพงบ้าง หรือไม่ก็มีสวิตช์ลับซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่กำแพงโง่ ๆ น่าเบื่อแบบนี้!”เขาเดินเข้าไปทุบกำแพงเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงกำแพงนั้นอย่างหมดแรง “โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยโว้ย”และในวินาทีที่แผ่นหลังของเขาพิงลงไปบนจุดหนึ่งของกำแพงนั่นเอง...ครืด... ครืดดดดด...เสียงหินเสียดสีกันดังก้องขึ้นมาจาก
ทั้งสองคนเดินเรียงหนึ่งเข้าไปในอุโมงค์ลับ บรรยากาศข้างในนั้นอับทึบและคับแคบยิ่งกว่าข้างนอกหลายเท่า พวกเขาต้องเดินเบียดเสียดไปตามทางเดินที่กว้างพอสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น ความมั่นใจของกงหยางเหวินที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่า ในความทรงจำของเขาอุโมงค์นี้มันควรจะเงียบไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างกึกกัก... กึกกัก...มันเป็นเสียงขูดขีดที่ดังมาจากข้างหน้า เป็นเสียงที่น่ารำคาญและชวนให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน‘เสียงอะไรวะ?’ หยางเหวินขมวดคิ้ว ‘ในพล็อตไม่ได้มีบอกไว้นี่นา หรือว่าข้าจะลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป?’ความมั่นใจของเขาในยามนี้นั้นช่างเปราะบางราวกับแผ่นน้ำแข็งในฤดูใบไม้ผลิ ที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อเจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาทำสัญญาณมือให้หยางเหวินเงียบ แล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า หลายตัวด้วย”“จะเป็นก็อบลินได้ยังไง” หยางเหวินเผลอโพล่งออกมา
“ขอบคุณ” เจิ้งเฟิงเยวี่ยรับถุงเงินมาโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังกระดานภารกิจขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโถงกระดานภารกิจนั้นเปรียบเสมือนบันไดสู่ชื่อเสียงและเงินทอง แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้ บนกระดานเต็มไปด้วยใบประกาศที่เขียนภารกิจต่าง ๆ ไว้มากมาย ตั้งแต่การคุ้มกันคาราวานสินค้า ไปจนถึงการล่าไวเวิร์นในเทือกเขาทางเหนือเจิ้งเฟิงเยวี่ยกวาดสายตามองภารกิจระดับสูงด้วยแววตาครุ่นคิด แต่ก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย บาดแผลของเขายังไม่หายดีพอที่จะรับงานเสี่ยง ๆ เช่นนั้นได้ในขณะเดียวกัน กงหยางเหวินก็กำลังไล่สายตาอ่านภารกิจจากล่างขึ้นบน เขาไม่ได้มองหาภารกิจที่ให้รางวัลสูงที่สุด แต่กำลังมองหาภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดต่างหาก และแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใบประกาศที่เหลืองกรอบใบหนึ่งในมุมที่ต่ำที่สุดของกระดาน[ภารกิจระดับ F: ปราบก็อบลินในถ้ำทางทิศเหนือ][รายละเอียด: ช่วงนี้มีก็อบลินกลุ่มหนึ่งเข้ามายึดถ้ำทางเหนือของเมืองและคอยดักปล้นชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ขอให้น
เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ หยางเหวินจึงตัดสินใจชวนคุย “เอ่อ... คุณชายเจิ้ง ท่านมาจากที่ไหนรึ? ท่าทางเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้” มันเป็นคำถามพื้น ๆ ที่สุดที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามได้เจิ้งเฟิงเยวี่ยหยุดเดินไปชั่วครู่ แววตาของเขาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามนั้น “ที่มาไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง”คำตอบของเขาราวกับสายหมอก จับต้องไม่ได้และซ่อนเร้นความจริงไว้ภายใน มันเป็นคำตอบตามแบบฉบับพระเอกนิยายกำลังภายในที่หยางเหวินเคยเขียนไม่มีผิดเพี้ยน‘ตอบแบบนี้ใครจะไปตรัสรู้กับท่านเล่า!’ หยางเหวินอยากจะตะโกนออกไป ‘แค่ตอบว่ามาจากเมืองหลวงมันจะตายรึไง! ไอ้พระเอกบ้าเอ๊ย!’การเดินทางที่เหลือจึงเต็มไปด้วยความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งกำแพงเมืองชิงเย่ปรากฏให้เห็นอยู่ลิบ ๆ นั่นแหละ หยางเหวินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมเสียทีทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง เขา
‘โอกาสมาแล้ว!’เขากลั้นใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังเคี้ยวขนมปังด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะฉีกยิ้มครั้งที่สองออกไปรอยยิ้มครั้งนี้ดูพัฒนากว่าครั้งแรกเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่กระตุกรุนแรงเท่าเดิม แต่มันก็ยังคงดูผิดธรรมชาติอย่างร้ายกาจ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูราวกับคนพยายามจะบอกว่าอาหารอร่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ในปากมีแต่ทราย เป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนจนน่าเวทนาเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่กำลังจะกัดขนมปังคำต่อไปถึงกับชะงักค้าง เขามองรอยยิ้มประหลาดนั่นด้วยแววตาที่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม‘รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว’ ความคิดของเขาถักทอเป็นตาข่ายแห่งความซับซ้อนที่พันธนาการความจริงอันแสนเรียบง่ายเอาไว้ ‘เขายิ้มทำไม? เขากำลังพึงพอใจกับสภาพอันน่าอดสูของข้าที่ต้องมานั่งกินขนมปังแข็ง ๆ เช่นนี้รึ รอยยิ้มนี้มันไม่ใช่ความเป็นมิตร มันแฝงไว้ด้วยความเวทนา หรืออาจจะเป็นการหยามหยัน? เขากำลังทดสอบความอดทนและความทะนงในศักดิ์ศรีของข้างั้นหรือ?’คิ้วกระบี่ของเข