Masukและมันก็ได้ผล แสงสีเขียวเรืองรองปรากฏขึ้นจาง ๆ บริเวณบาดแผล เลือดที่เคยไหลซึมหยุดลงในบัดดล ปากแผลเริ่มสมานตัวเข้าหากันอย่างช้า ๆ แม้จะไม่หายสนิท แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ลมหายใจของอีกฝ่ายก็เริ่มสม่ำเสมอขึ้น
“เฮ้อ... รอดไปที” หยางเหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ปัญหายังไม่จบ “จะทิ้งไว้ตรงนี้ก็ไม่ได้ กลิ่นเลือดคลุ้งขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้เรียกเพื่อนบ้านมาจัดปาร์ตี้กันพอดี”
เขาต้องย้ายที่ แต่จะย้ายเจ้ายักษ์นี่ไปได้อย่างไรด้วยพละกำลังระดับมดปลวกของเขา? เขาลองสอดแขนเข้าไปใต้ร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้วออกแรงยก ผลลัพธ์คือร่างของพระเอกไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว แต่เป็นหลังของเขาเองที่ส่งเสียงกร๊อบออกมาเป็นการประท้วง
หลังจากพยายามอยู่หลายท่า ทั้งลากทั้งดึงทั้งผลัก สุดท้ายเขาก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ เขาถอดผ้าคลุมชั้นนอกของเจิ้งเฟิงเยวี่ยออก ปูลงบนพื้นแล้วกลิ้งร่างสูงใหญ่นั่นลงไปนอนทับ จากนั้นก็ใช้มันต่างเลื่อน ลากไปบนพื้นหญ้าและใบไม้แห้ง
“ขอโทษนะเพื่อน แต่ข้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ” เขาพึมพำขอขมาขณะที่ออกแรงลากพระเอกผู้สูงส่งไปตามพื้นดินราวกับกระสอบข้าวสาร
แล้วจะไปที่ไหน? ความทรงจำของผู้สร้างทำงานอีกครั้ง เขาจำได้ว่าเคยเขียนถึงถ้ำเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังม่านน้ำตกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบริเวณนี้ มันเป็นสถานที่ที่เขาตั้งใจจะให้พระเอกค้นพบในภายหลังเพื่อใช้เป็นที่พักฟื้นและฝึกวิชา ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นคนพามันมาที่นี่เสียเอง
เขาใช้เวลาเกือบชั่วยามในการลากพระเอกฝ่าความมืด จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมา เขาลากร่างที่หนักอึ้งผ่านม่านน้ำเข้าไป พบกับโพรงถ้ำที่แห้งและปลอดภัยดังที่เขาจำได้ไม่ผิดเพี้ยน
ภายในถ้ำ กงหยางเหวินก่อกองไฟขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาไม่มีทักษะการจุดไฟแบบคนโบราณ แต่โชคดีที่ในย่ามของเจิ้งเฟิงเยวี่ยมีหินเหล็กไฟอยู่ชุดหนึ่ง เขาใช้เวลางมอยู่นานกว่าที่เปลวไฟสีส้มจะลุกโชนขึ้น ขับไล่ความหนาวเย็นและความมืดมิดออกไปได้
เขานั่งลงข้างกองไฟ มองดูร่างของเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ยังคงหลับสนิท ใบหน้ายามไร้ซึ่งความเย็นชาดูอ่อนเยาว์และสงบสุขอย่างน่าประหลาด กงหยางเหวินถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยของวัน แผนการหนีธงมรณะของเขาได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ เปลือกตาของบุรุษที่นอนอยู่ก็เริ่มขยับไหว เจิ้งเฟิงเยวี่ยค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา สิ่งแรกที่เขารู้สึกคือความอบอุ่นจากกองไฟ และความเจ็บปวดที่บาดแผลซึ่งทุเลาลงไปมากแล้ว เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือเพดานถ้ำหิน ตามมาด้วยภาพของเด็กหนุ่มคนเดิมที่นั่งกอดเข่าทำหน้าเหมือนโลกจะแตกอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟ
สมองของเขาเริ่มประมวลผลเรื่องราวทั้งหมด การต่อสู้ บาดแผล การปรากฏตัวของเด็กหนุ่ม ก้อนหินพิฆาต แล้วเขาก็หมดสติไป...
‘เจ้าเด็กนั่นช่วยข้าไว้’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิดในใจ ‘แถมปราบจ่าฝูงอสูรด้วยกระบวนท่าที่มองผิวเผินเหมือนการดิ้นรน แต่แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยความแม่นยำอันน่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็พาข้าที่บาดเจ็บมายังถ้ำที่ปลอดภัยและซ่อนเร้นแห่งนี้ แถมยังช่วยรักษาแผลข้าอีกด้วย...’
ทุกการกระทำมันสวนทางกับท่าทีตื่นกลัวปอดแหกที่เด็กหนุ่มคนนี้แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง ชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะทำเรื่องแบบนี้ได้?
ความเข้าใจผิดได้ก่อตัวขึ้นสูงตระหง่าน และดูเหมือนว่ากงหยางเหวินจะเป็นคนลงมือฉาบปูนด้วยตัวเองในทุก ๆ อิฐที่ก่อขึ้น
“เจ้าช่วยข้าไว้” เจิ้งเฟิงเยวี่ยเอ่ยขึ้น เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่คำถาม
เสียงนั้นทำให้หยางเหวินที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งสุดตัว “กะ ก็เจ้าเล่นสลบไปนี่หว่า! ขืนทิ้งไว้ตรงนั้นก็ได้กลายเป็นปุ๋ยกันพอดี!” เขาโพล่งสวนกลับไปตามความเคยชิน
เจิ้งเฟิงเยวี่ยขมวดคิ้วกับสรรพนามแปลก ๆ ของอีกฝ่าย แต่ก็เลือกที่จะมองข้ามไป “ถ้ำแห่งนี้ เจ้าหาพบได้อย่างไร?”
‘ชิบ!’ หยางเหวินอุทานในใจ ‘จะตอบยังไงดีวะ! อ๋อ พอดีข้าเป็นคนเขียนพล็อตแถวนี้น่ะงั้นเรอะ!’
เขาหัวเราะแหะ ๆ “ก…ก็เดินมั่ว ๆ มาแล้วก็เจอน่ะสิ! โชคดีน่ะ โชคดี!”
‘โชคดีอีกแล้วรึ?’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยคิด สายตาของเขาราวกับมีดผ่าตัดที่กรีดเฉือนคำโกหกจอมปลอมของหยางเหวินออกเป็นชิ้น ๆ ‘ไม่มีใครโชคดีได้ถึงเพียงนี้ นี่ต้องเป็นการเตรียมการมาอย่างดีแน่แท้ ท่าทีอ่อนแอขลาดกลัวนั่นเป็นการเสแสร้งเพื่อหยั่งเชิงข้างั้นรึ?’
“เรื่องเมื่อครู่ ก้อนหินนั่น ไม่ใช่เรื่องฟลุก” เขากล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจ
หยางเหวินแทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น “ก็บอกว่าฟลุกไงเล่า! ท่านจะให้ข้าพูดสักกี่ครั้งกัน! ข้าเกือบจะโดนกินอยู่แล้ว จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำเรื่องเท่ ๆ แบบนั้นได้!” ความสิ้นหวังในน้ำเสียงของเขานั้นจริงแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สำหรับเจิ้งเฟิงเยวี่ยแล้ว มันคือการปฏิเสธที่แนบเนียนของผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เป็นความถ่อมตนของยอดฝีมือที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
เขาไม่เอ่ยถามต่อให้มากความอีก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการจะยอมรับ เขาก็จะไม่คาดคั้น แต่ในใจของเขานั้นได้ตัดสินไปแล้วว่า เด็กหนุ่มปริศนาผู้นี้คือยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นกายาอย่างไม่ต้องสงสัย
เจิ้งเฟิงเยวี่ยพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ก่อนจะประสานมือคารวะหยางเหวินอย่างจริงจัง “ข้าเจิ้งเฟิงเยวี่ย ติดหนี้ชีวิตเจ้า”
จากนั้นเขาก็มองตรงมาที่หยางเหวินด้วยแววตาที่หนักแน่น “บาดแผลของข้ายังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายวัน ก่อนที่ข้าจะหายดี ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
กงหยางเหวินเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง มองดูพระเอกที่ประกาศตัวว่าจะขอเกาะติดเขาไปอีกหลายวันด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ
ปฏิบัติการหนีธงมรณะของเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้ธงมรณะต้นใหม่ที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าเดิมมาปักอยู่กลางหลังเสียแล้ว
ภายในถ้ำอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงเปลวไฟที่ลุกเลียฟืนแห้งดังเป๊าะแป๊ะเป็นเพื่อนขับกล่อมความเงียบ กงหยางเหวินนั่งกอดเข่าอยู่อีกฟากของกองไฟ จ้องมองดูพระเอกของเรื่องที่เพิ่งจะประกาศตัวเป็นภาระของเขาไปหมาด ๆ ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยายได้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! แผนการทั้งหมดของเขาคือการหนี! หนี! แล้วก็หนี! เขาควรจะอยู่ห่างจากบุรุษผู้นี้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่มานั่งจ้องหน้ากันในถ้ำแคบ ๆ แบบนี้!
บรรยากาศระหว่างพวกเขากระอักกระอ่วนเสียจนจับต้องได้ ความเงียบนั้นหนักหน่วงราวกับจะบดขยี้กระดูกให้แหลกลาญ เขาอยากจะกรีดร้อง อยากจะทึ้งผมตัวเอง อยากจะขุดอุโมงค์หนีออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ เป็นหินแกะสลักต่อไป
เจิ้งเฟิงเยวี่ยเองก็นั่งเงียบ ๆ เช่นกัน เขากำลังพินิจพิเคราะห์บาดแผลของตัวเองที่ถูกรักษาอย่างหยาบ ๆ แต่ได้ผลชะงัด ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมามองหยางเหวินเป็นครั้งคราว แววตาคมกริบคู่นั้นเต็มไปด้วยการไตร่ตรองและค้นหา ราวกับกำลังพยายามจะไขปริศนาชิ้นเอกที่อยู่เบื้องหน้า สายตาของเขาราวกับมีดผ่าตัดที่กรีดเฉือนคำโกหกจอมปลอมของหยางเหวินออกเป็นชิ้นมๆ ทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนเป็นกบที่กำลังจะถูกชำแหละ
‘เขากำลังคิดอะไรอยู่? เขาสงสัยอะไรในตัวเราอีก? หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าเราเป็นนักต้มตุ๋น?’ ความคิดฟุ้งซ่านนับพันวิ่งวนอยู่ในหัวของหยางเหวินจนแทบระเบิด
“ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป
กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”
เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล
เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ
ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด
หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก







