ฟาหยางปรายตามองคนที่อยู่ต่ำกว่า ใบหน้าเย็นชาและดวงตาแข็งกร้าวทำเอาคนใต้เท้าสั่นผวา เขาในเวลานี้พร้อมจะปลิดชีพทุกคนที่ทำให้ไม่พอใจ
"มึงลองพูดอีกครั้งสิ" สรุเสียงนั้นก้องไปทั่วโกดัง เหล่าลูกน้องได้แต่กลืนน้ำลายไว้อาลัยให้กับผู้โชคร้ายคนนั้น
ที่นี่คือฮ่องกง ฟาหยางบินมาเพื่อจัดการคนทรยศที่กล้าหักหลังเขา บุหรี่ในมือถูกขยี้ลงกับพื้น ดวงตาสีรัตติกาลวาววับเมื่อมองเห็นคนใต้อาญัติที่มีสีหน้ากลัวเขาสุดขีด
"กูบอกให้มึงพูดอีกรอบ" ชายคนนั้นตัวสั่นปากสั่น ยกมือท้วมหัวขอให้ฟาหยางเมตตา
เมตตางั้นหรือ? คำคำนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวของฟาหยางสักนิด ถ้ามันกล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบต่อสิ่งที่ตามมา
ความกลัวกัดกินในใจจนชายใต้เท้าหน้าซีดเผือด มันพูดคำเดิมซ้ำๆไปมาราวกับเสียสติ ดวงตาล่อกแล่กไปมาเมื่อฟาหยางขยับเดินเข้ามาใกล้
"คะ...คุณหยาง" ชายที่เพิ่งหาเสียงตัวเองเจอจะเอ่ยขอความเห็นใจ แต่มันก็ช้าไปเสียแล้วเพราะฟาหยางตอนนี้ก้มลงถึงพื้นที่มันนั่งอยู่
"กูไม่รู้ว่านรกมีจริงไหม...งั้นมึงไปพิสูจน์ให้หน่อยแล้วกัน" เสียงเหี้ยมเกรียมพูดชิดหู ชายคนนั้นกรีดร้องเสียสติ แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของมันนั้น ดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความผวา ดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก
สองสัปดาห์แล้วหลังจากที่เยว่ซินไปถ่ายโฆษณากับผู้กำกับฝูมา ทันทีที่แบรนด์เปิดตัวว่าเธอคือพรีเซนเตอร์เล่นเอาโซเชียลปั่นป่วนไปหมด
ใครจะไปคิดว่าคุณหนูหลี่ เยว่ซินคนนั้นจะเข้าทำงานวงการนี้!
และเพราะกระแสที่แรงชั่วข้ามคืนเป็นผลให้เยว่ซินมีหลายแบรนด์มาสนใจจองตัว จากคนที่ว่างงานไม่รู้จะทำอะไร กลายเป็นเยว่ซินนั้นหัวหมุนต้องจัดการทุกอย่างเองคนเดียว!
"ฉันว่าแกต้องมีผู้ช่วยสักคน" จางลี่เอ่ยขึ้นในขณะที่มองเพื่อนตนเองกำลังพิมพ์ตอบข้อความมือพัน
"อือ...เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ฉันว่าให้แกมาเป็นผู้ช่วยฉันดีไหม" จางลี่รีบส่ายหน้ารัว
"รู้อะไรไหม เขาว่ากันว่าเพื่อนสนิทกันห้ามทำงานที่เกี่ยวข้องกับเงินๆทองๆด้วยกัน"เยว่ซินหัวเราะ ดูเหมือนว่าจางลี่จะคิดละเอียดรอบคอบกว่าเธอเสียอีก
"งั้น...ฉันควรเปิดรับสมัคร?" แต่ใครกันล่ะจะมาสมัครเป็นผู้ช่วยให้กับ หลี่ เยว่ซินนางร้ายคนนั้น
แค่คิดเยว่ซินก็ปวดหัวตุบๆแล้ว
สุดท้ายแล้วจางลี่ก็บอกจะช่วยคัดผู้ช่วยให้ ในระหว่างนี้เยว่ซินก็จะต้องจัดการงานต่างๆที่เข้ามาด้วยตัวเองก่อนโดยมีจางลี่คอยให้คำแนะนำ
และในสองอาทิตย์นี้ฟาหยางก็ไม่ได้ติดต่อมาหาเธอเลย เขาหายไปในฮ่องกงจนเยว่ซินนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
อ้างอิงจากนิยายช่วงที่ฟาหยางไปฮ่องกงนั้น ผู้แต่งบรรยายถึงอาจูที่คอยคิดถึงชายหนุ่มโดยไม่ได้มีบทของเยว่ซินเลยสักนิด
งั้นตอนนี้อาจูกำลังคิดถึงฟาหยางอยู่หรือเปล่านะ?
เยว่ซินส่ายหน้า ไม่ว่าพระเอกนางเอกจะเป็นเช่นไรแต่เธอจะต้องเอาชีวิตให้รอดไปจนท้ายที่สุดให้ได้! เยว่ซินจะไม่ให้จุดจบตัวเองต้องไปอยู่โรงพยาบาลบำบัดเป็นแน่
"คิดอะไรอยู่ฮะคุณหนูเยว่ซิน คงไม่ได้คิคถึงพี่ฟาหยางของแกอยู่ใช่ไหม" เสียงของจางลี่ดึงให้อีกคนหลุดจากภวังค์
"พงพี่อะไรกัน ฉันไม่ได้คิดถึงคุณฟาหยางเสียหน่อย"
"แหม เดี๋ยวนี้แล้วเรียกคุณ เมื่อก่อนทั้งพี่ฟาหยางทั้งอาฟา ตอนนั้นฉันกลัวคุณฟาหยางจะบีบแกให้เละคามือจริงๆ" พูดถึงตรงนี้แล้วเยว่ซินสันหลังวาบ ความเกลียดของพระเอกที่มีต่อนางร้ายอย่างเธอนั้นมันเยอะจริงๆ
"ก็ตอนนี้ฉันไม่ทำแล้วไง อีกอย่างเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายมาวอแว" จางลี่แทบจะล้มหงายหลัง ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับเยว่ซินมาเพิ่งจะเคยเห็นเธอปฏิเสธฟาหยางก็ตอนนี้
"ฉันเชื่อแล้วจริงๆว่าแกผีออก" เยว่ซินส่ายหน้าให้กับความขี้เว่อร์ของจางลี่ ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเป็นผีเข้ามากกว่า
"ช่างเรื่องคุณฟาหยางเถอะ...จางลี่ แกว่าฉันรับงานน้ำหอมนี่ดีไหม" เยว่ซินเลื่อนโน๊ตบุ๊คให้อีกคนดู จางลี่อ่านละเอียดชั่วครู่แล้วเป็นคนกดรับงานเองโดยไม่ถามหญิงสาวสักคำ
"เฮ้...ได้ไงอะ ฉันแค่ถามเฉยๆเองนะ"
"ไม่รับก็บ้าแล้ว นี่มันงานในเครือคุณหยวน"
"หยวน อี้?"
"ใช่ค่ะเพื่อนรัก แกต้องไม่พลาดโอกาสนี้" เยว่ซินเม้มริมฝีปาก จะว่าไปในนิยายเคยเอ่ยถึงกิจการของพระรองอยู่เช่นเดียวกัน และน้ำหอมแบรนด์นี้ก็ติดอันดับของโลกในอนาคตด้วย
"งั้นในเดือนนี้ฉันรับแค่นี้ก่อนแล้วกัน" เยว่ซินยืดตัวขึ้น ปิดโน๊ตบุ๊คแล้วยกชาขึ้นดื่ม
"คุณหนูเยว่ซินนี่ทำฉันแปลกใจได้ตลอดจริงๆ"
"หืม?"
"ก็ดูสิ จัดการทุกอย่างด้วยตัวเองแถมยังเรียบร้อยเสียด้วย หากเป็นเมื่อก่อนเธอต้องอกแตกตายแน่ๆที่ทะเลาะกับพ่อแบบนี้" นั่นก็เพราะนี่ไม่ใช่เยว่ซินเพื่อนคนนั้นของเธอไง แม้อยากจะพูดแต่หญิงสาวก็เลือกแค่หัวเราะตอบไปเท่านั้น
บทสนทนาหยุดลงเมื่อโทรศัพท์มือถือของเยว่ซินดังขึ้น หน้าจอปรากฏเป็นชื่อของคนที่หายไปกับฮ่องกงราวสองสัปดาห์
เยว่ซินในนิยายนั้นมีเบอร์โทรฯฟาหยางด้วยหรือ?
เยว่ซินเงยหน้าขึ้นจะขอความเห็นจากจางลี่ว่าควรรับสายดีไหม แต่เพื่อนตัวดีกลับเบือนหน้าหนีราวชมนกชมไม้ทั้งๆที่ริมฝีปากยิ้มกริ่ม
มือเรียวตัดสินใจกดรับ แนบโทรศัพท์ข้างหูและเอ่ยพูดเสียงหวาน
"สวัสดีค่ะ"
'...' เยว่ซินขมวดคิ้ว ทำไมปลายสายถึงเงียบใส่?
"คุณฟาหยาง?"
'มีเบอร์ฉันจริงๆด้วย' คราวนี้คนฟังสงสัยกว่าเก่า ฟาหยางพูดว่าอะไรนะ?
"คะ?"
'ไม่เจอกันหลายวันเชียวคุณหนูเยว่'
'ฉันอยากชวนเธอไปกินข้าวด้วยกัน คุณหนูเยว่พอจะมีคิวว่างหรือไม่'
"คุณกลับมาแล้วเหรอคะ?" ปลายสายหัวเราะ
'ครับ...เพิ่งถึงจีนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน" เยว่ซินอยากจะถามว่าทำไมฟาหยางถึงไม่พักผ่อนก่อนแต่รีบนัดเธอทานข้าวเนี่ยนะ?
"ลำบากคุณหยางแล้ว...ตัวงานมีปัญหาหรือคะ ถึงได้รีบนัดฉันไป" เพราะหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เยว่ซินจึงถามเช่นนั้นออกไป
'ก็แค่ไม่เจอกันนานเลยนึกถึง คุณหนูเยว่ไม่สะดวกหรือเปล่า' เยว่ซินเม้มปาก ตีความของคำว่านึกถึงเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่?
"ค่ะ...ถ้าคุณหยางต้องการเช่นนั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธ" สายถูกวางไปเมื่อฟาหยางบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะให้อาโปมารับ
"นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้วคุณหนูเยว่ แกไปทำอะไรให้คุณฟาหยางเปลี่ยนไปขนาดนี้" จางลี่รีบแซวทันทีที่เยว่ซินวางโทรศัพท์ลง
อย่าว่าแค่จางลี่สงสัยเลย...เยว่ซินก็สงสัยเช่นเดียวกัน เนื้อหาจากในนิยายมันเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
"แบบนี้ตำแหน่งนายหญิงตระกูลหยางคงไม่ไกลเกินไปแล้วมั้ง" เยว่ซินคร้านจะต่อความยาวอีก เธอยอมปล่อยให้จางลี่พูดไปเรื่อยๆจนรออาโปมารับนั่นแหละ...
ฟาหยางมองอีกคนที่อยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีดำสั้นเหนือเข่า เยว่ซินให้เหตุผลว่าเมื่อช่วงเช้าเธอต้องไปทดลองถ่ายแบบเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง พอเสร็จช่วงเช้าก็มาเจอจางลี่ต่อที่ร้านกาแฟและยังไม่ได้กลับห้องพักจึงยังไม่ได้เปลี่ยน
"ฉันรู้มาว่าคุณหนูเยว่มีโฆษณาหลายตัวติดต่อมา" ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ร้านอาหารแบบจีนที่เป็นร้านของเครือตระกูลหยาง เยว่ซินเกร็งเล็กน้อยที่เห็นราคาอาหารในเมนู
ตอนโลกชีวิตจริงนั้นก็ได้ทานของแพงๆบ่อยอยู่เหมือนกัน หากแต่ตอนนี้ที่เธอเข้ามาในโลกนิยายนี่ เธอไม่ได้มีเงินพอใช้ขนาดนั้นแล้วนี่นา...
"ค่ะ...ก็ต้องขอบคุณคุณหยางที่เป็นสปอนเซอร์ให้ คนเลยสนใจกันเยอะ" ต้องยอมรับจริงๆว่าฟาหยางนั้นมีอิทธิพลทั้งด้านธุรกิจและด้านสังคมอย่างล้นเหลือ เพียงแค่เขาขยับตัวหยิบจับอะไรก็สามารถสร้างเงินได้เป็นกอบเป็นกำ คิดว่าชาตินี้ทรัพย์สินของฟาหยางนั้นคงใช้ไม่หมดแน่ๆ
"ไม่เป็นไร...แล้วแบบนี้คุณหนูเยว่ทำคนเดียวไหวหรือ?"
"อืม...จริงๆก็ให้จางลี่ช่วยคัดผู้ช่วยอยู่เหมือนกันค่ะ"
"เอาอาโปไปสิ"
"คะ?" เยว่ซินตาโต นี่เขาให้คนกันเป็นผักเป็นปลาเลยหรือไง!?
เมื่อเห็นหญิงสาวตกใจ ฟาหยางหัวเราะก่อนจะยกชาขึ้นจิบ ท่าทีที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรทำเอาหลี่ เยว่ซินกุมขมับ
"ไม่รบกวนคุณหยางดีกว่าค่ะ ยังไงอาโปก็เป็นคนสนิท"
"ก็ไม่เป็นปัญหาถ้าคุณหนูเยว่ต้องการ" เยว่ซินชักสงสัยนักว่าอะไรที่ทำให้ฟาหยางเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
ไม่นานนักอาหารที่สั่งมาก็มาเสิร์ฟ พนักงานโค้งให้อย่างนอบน้อมเมื่อรู้ว่าแขกโต๊ะนี้เป็นผู้ใดและทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นพบกับหลี่ เยว่ซินซึ่งส่งยิ้มมาให้ทำเอาพนักงานควบคุมมือตนเองไม่ให้สั่นเสียไม่ได้
หลี่ เยว่ซินตัวจริงช่างงดงามยิ่งนัก...
แต่ชายผู้นั้นก็ต้องค้อมให้ศีรษะชิดอก เมื่อรู้ว่าคุณหนูท่านนี้มากับฟาหยาง... ทายาทตระกูลหยางที่ปกครองแผ่นดินจีน...
หลังจากที่พนักงานเดินออกไปกลับเป็นอาโปที่เดินเข้ามาแทน เขาโน้มลงรายงานแก่เจ้านายตัวเอง
"คุณหนูจูอยากขอพบครับ" อาจเพราะเป็นห้องทานอาหารแบบส่วนตัวจึงไม่มีเสียงรบกวน เป็นผลให้เยว่ซินได้ยินอาโปไปด้วย
ฟาหยางหันมามองเธอชั่วครู่เขาเอ่ยตอบลูกน้องราวกับตั้งใจให้เธอได้ยินเช่นนั้น
"บอกคุณหนูจูว่าฉันทานข้าวอยู่กับคุณหนูเยว่ เสร็จจากนี่คงไปทำธุระด้วยกันต่อ...หากมีอะไรเร่งด่วนก็ให้บอกผ่านนายมา" อาโปค้อมตัวลง เดินออกไปทิ้งความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้านายตนเอง
"ธุระอะไรหรือคะ?" เมื่อเขาตั้งใจให้เธอได้ยินอยู่แล้ว หลี่ เยว่ซินจึงเอ่ยถาม
"ที่จริงช่วงนี้เครือหยางสนใจทำจิวเวลรี่อยู่ หากคุณหนูเยว่ไม่ไปไหน...ฉันจะพาไปดูน่ะ" เยว่ซินตาโต อ้างอิงจากนิยายนั้นในตอนท้ายๆของเรื่อง ฟาหยางสร้างแบรนด์จิวเวลรี่ให้กับอาจูที่เป็นคู่หมั้น เขาออกแบบและสวมมันให้กับอาจูด้วยตนเอง
แต่ตอนนี้ฟาหยางกำลังชวนเธอไปดูเนี่ยนะ?
เยว่ซินลังเลเล็กน้อย แต่เพราะแบบนั้นเธอก็ยังมีความอยากเห็นด้วยตาตัวเองคู่นี้
"ขอบคุณคุณฟาหยางค่ะ"
"แบบนี้คือไม่ปฏิเสธสินะ"
"ได้เห็นเป็นคนแรกๆทั้งที่ จะปฏิเสธได้ไงคะ" ฟาหยางหัวเราะ เขาเท้าแขนลงบนโต๊ะและทอดมองคุณหนูหลี่ เยว่ซินอย่างเอ็นดูที่สุด...
เยว่ซินดูตื่นตาตื่นใจที่ได้กลับมาคฤหาสน์ตระกูลหยางอีกครั้ง ในห้องรับแขกบนโซฟาตัวยาว ฟาหยางกำลังนั่งไขว่ห้างมองคนที่ดูคอลเลคชั่นจิวเวลรี่อย่างสนใจ
"เส้นนี้สวยจังเลยค่ะ"
"คุณหนูเยว่ตาถึงมากค่ะ เส้นนี้ทำจากพลอยหายากเสริมด้วยทับทิมที่ช่วยเสริมด้านการงาน หากจิวเวลรี่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ สร้อยเส้นนี้จะอยู่ในตู้โชว์อันดับท็อปๆของแบรนด์เราค่ะ" เลขาหลิงร่ายยาวอดชื่นชมคุณหนูเยว่ไม่ได้ที่ไม่ว่าจะสนใจเส้นไหนก็ดูเป็นตัวท็อปทั้งสิ้น
"คุณเยว่ซินลองเส้นนี้ไหมคะ" คุณหนูตระกูลหลี่รับเอาสร้อยคอประดับแซฟไฟร์มาลองสวม เมื่อพลอยสีน้ำเงินยามอยู่บนคอระหงส์ที่ขาวราวหิมะนั้นช่างตัดกันอย่างลงตัว ฟาหยางยกยิ้มเมื่อเห็นว่าเยว่ซินจะใส่เส้นไหนก็น่ามองไปเสียหมด
เลขาหลิงลุกขึ้นยืนและขยับตัวออกเมื่อเห็นเจ้านายตนเองย้ายที่จะมานั่งข้างคุณหนูเยว่ มือหนาประดับรอยสักหยิบยกสร้อยคอที่ประดับด้วยเพชรสีชมพูที่ชื่อว่าLulo Rose
เยว่ซินตกใจเผลอโน้มตัวออกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฟาหยางนั้นหยิบอะไรขึ้นมาให้ตน
กุหลาบลูโล หรือ Lulo Rose เป็นเพชรสีชมพูที่งดงามดั่งกับกุหลาบ ถูกจัดให้เป็นเพชรเม็ดโตที่หายากมากที่สุดในโลก เพชรที่หลายคนปรารถนาอยากที่จะครอบครองแต่แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว ราคาของกุหลาบลูโลนั้นสูงชนิดที่ต่อให้เยว่ซินทำงานทั้งชาติก็คงไม่สามารถซื้อได้ ต้องมีเงินหลายพันล้านถึงจะได้ครอบครองเพชรกุหลาบลูโลนี้ แล้วฟาหยางผู้นี้กลับมีมันไว้ครอบครองเนี่ยนะ?
"ฉันไม่นึกว่ากุหลาบลูโลจะอยู่ในคอลเลคชั่นที่ตระกูลหยางคิดจะขาย..." เยว่ซินเอ่ยเสียงเบา ความงามของมันที่ได้เห็นใกล้ๆนั้นทำหญิงสาวตื่นเต้นมากจริงๆ
"ถูกของคุณหนูเยว่...กุหลาบลูโลนี้ไม่ใช่ของที่หากันง่ายๆ" เธอรู้ดีเลยล่ะ...แต่นั่นก็หมายความว่าฟาหยางมีทั้งทรัพย์สินและอำนาจมากพอเขาถึงได้มีไว้ครอบครองเช่นนี้
"อยากสวมหรือไม่" เยว่ซินพยักหน้ารัว แน่นอนว่าของดีแบบนี้เธอจะไม่พลาด!
ทั้งเลขาหลิงและเหล่าลูกน้องในบริเวณต่างแปลกใจจนแทบจะอุทานกันไปตามๆกัน เมื่อเยว่ซินตอบเช่นนั้น ฟาหยางหยิบสร้อยกุหลาบลูโลขึ้นแล้วเตรียมสวมให้กับหญิงสาว
เขาโน้มตัวลงไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมของเยว่ซิน มือหนาแตะลงที่หลังคอ เอ่ยขออนุญาตเสียงเบาก่อนจะสวมมันให้กับคุณหนูตระกูลหลี่
อาจเพราะเยว่ซินตื่นเต้นเกินไปถึงไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มีหลายสายตาจับจ้องเธออยู่แบบใด ทันทีที่สร้อยคอประดับเพชรน้ำงามราคาหลายพันล้านอยู่บนลำคอระหงส์นั้น ทุกคนต่างมีความคิดเช่นเดียวกันว่าสร้อยเส้นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อคุณหนูเยว่โดยเฉพาะ!
"อืม...เหมาะกับคุณหนูเยว่จริงๆ" เสียงทุ้มเอ่ยพูด เยว่ซินหันกลับมาวาดรอยยิ้มให้อย่างขอบคุณ
"เพราะสร้อยเส้นนี้มันสวยมากค่ะ"
"ของสวยงามก็ต้องอยู่กับคนแบบเดียวกัน"
"..."
"คุณหลิงเห็นด้วยไหม?"
"ค่ะคุณฟาหยาง...คุณหนูเยว่เหมาะมากจริงๆ" เยว่ซินหน้าแดง เล่นมาชมกันโต้งๆแบบนี้ เธอก็เขินเป็นเหมือนกันนะ!
"เอาไว้ฉันจะให้ช่างปรับสายให้อีกเล็กน้อยแล้วจะส่งไปให้คุณหนูเยว่" เยว่ซินเลิกคิ้ว มองคนตัวสูงด้วยความสงสัย
"ให้ฉัน?...ให้ทำไมคะ?" ถ้าตามนิยาย ฟาหยางต้องให้อาจูไม่ใช่หรือ?
"ก็แค่ต้องการบอกให้หลายๆตระกูลรู้น่ะ"
"..." เยว่ซินเงียบ รอฟังอีกคนพูดต่อ
"ว่าอาเยว่เป็นคนของฉัน หากจะมาแย่งไปก็คงยากเสียหน่อยแล้ว" โดยเฉพาะหยวน อี้ คิดว่าเขาไม่รู้หรือว่าฝ่ายนั้นตั้งใจดึงเยว่ซินไปเช่นเดียวกัน
ถ้าหยวน อี้คิดว่าทำได้ล่ะก็ฟาหยางคนนี้จะรอดูหน่อยแล้วกัน