บทที่ 13 เข้าครัวด้วยกัน
“กลับมาแล้วขอรับ”
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมกับมีผู้ใหญ่ตามมาด้วยสองสามคน ที่พาของมาด้วยพะรุงพะรัง เนื่องจากเย่หัวได้ขอเครื่องครัวบางอย่างไปด้วย เพราะในครัวของนางในตอนนี้มีแค่หม้อใบโตหนึ่งใบกับหม้อใบเล็กอีกใบเท่านั้น
“ขอบคุณท่านน้าทั้งสองมากนะเจ้าคะ ที่เป็นธุระช่วยขนของมาให้” เย่หัวพยักหน้าให้กับจางซิวจางหลัวและจางต้าพังเบาๆ ก่อนที่จะหันมากล่าวขอบคุณหญิงชายวัยยี่สิบปลายๆ ทั้งสองคน ที่เคยเห็นหน้าค่าตากันประจำ เนื่องจากทั้งสองมาคอยช่วยงานที่นี่บ่อยๆ
และที่จำได้แม่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพรสวรรค์ในการทำอาหารของพี่ผู้หญิงกับฝีมือในงานไม้ของพี่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยจานหรือแก้วน้ำในบ้านของนางเองก็ได้อาศัยฝีมือของพี่ผู้ชายท่านนี้เป็นส่วนใหญ่
“ไม่เป็นอะไรขอรับ สิ่งที่ข้ามีมากที่สุดก็คงไม่พ้นเป็นเรี่ยวแรกกับฝีมือเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละขอรับหากว่ามันสามารถช่วยเหลือคุณหนูได้บ้างก็ดีมากแล้วขอรับ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ผู้หญิงอีกคนกล่าวไปในทำนองเดียวกัน “ถ้าหากพวกเราสามารถช่วยอะไรคุณหนูได้บ้างพวกเราทุกคนล้วนยินดี เพียงแค่หม้อกระทะไม่กี่ใบพวกนี้ตัวข้าและคนอื่นๆ สามารถมอบให้แก่คุณหนูได้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย เพียงแค่แบ่งปันในสิ่งที่ข้าพอมีอยู่ก็เท่านั้น” เย่หัวกล่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างกระดากอายอยู่หน่อยๆ “ต้องเป็นข้าด้วยซ้ำที่ต้องขอบคุณท่านน้าและทุกๆ คนในหมู่บ้านที่ต้อนรับข้าเป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเหลือข้ามากมาย ทั้งยังให้เด็กๆ มาเล่นเป็นเพื่อนข้าอีก...”
“...”
“...”
ทั้งสองคนเงียบมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้ากันไปมาก่อนที่จะยิ้มออกมา มองไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ไม่นาน แต่กลับเปลี่ยนแปลงอะไรไปอย่างมากมาย ยิ่งมองไปทางเด็กๆ ที่กำลังเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้แล้ว
มันเป็นภาพที่พวกเขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว...
“ว่าแต่ท่านน้าทั้งสองเอาทั้งหม้อทั้งกระทะมาให้ข้าแบบนี้มันจะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะถึงเก็บเอาไว้ที่บ้านมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา” ฝ่ายหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“...”
“...”
“อย่างนั้นแล้วถ้าหากท่านน้าทั้งสองคนไม่ได้มีธุระต้องไปที่ไหนต่อ อยู่ช่วยข้าทำกับอาหารเลี้ยงฉลองกับข้าและเด็กๆ ได้ไหมเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป เย่หัวก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไปดี แต่ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกจึงตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่นางถนัดที่สุด “ถ้าหากมีอะไรเรามาคุยไปทำอาหารกันไปนะเจ้าคะ”
“ได้เจ้าค่ะ/ขอรับ”
ทั้งสองตอบรับอย่างรวดเร็วทำให้ในวันนี้เย่หัวมีลูกมือเป็นคนโตๆ ที่พอจะทำอะไรเป็นจริงๆ ไม่ใช่เด็กๆ อย่างหลายๆ วันที่ผ่านมา ทำให้นางตัดสินใจที่จะทำอาหารที่แตกต่างออกไปจากทุกวัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเมนูที่นางชอบทำมากที่สุด
เพราะทุกครั้งที่ทำเมนูนี้ทั้งสามีและลูกสาวต่างก็ทานมันจนหมดทุกครั้ง...
หมูก้อนทอด
เมนูง่ายๆ ที่เป็นได้ทั้งกับข้าวและของทานเล่น แต่ด้วยวัตถุดิบที่จำกัดจำเขี่ยเกินไป นางจึงดัดแปลงไปตามสิ่งที่มีอยู่
ด้วยการแยกส่วนมันติดหนังของหมูสามชั้นออกไปบางส่วน เพื่อนำไปเจียวเป็นน้ำมัน ยังดีที่หมูสามชั้นที่มีนี้เป็นแบบที่หาซื้อจากตลาดสด ทำให้มีส่วนที่ติดมันค่อนข้างมากอยู่ปลายด้านหนึ่ง เพราะถ้าหากเป็นหมูสามชั้นในห้าแล้วล่ะก็ ต่อให้มีเป็นชิ้นที่ไม่ใช่เบคอนสไลด์แล้วล่ะก็ จะเป็นชิ้นพื้นท้องที่เป็นสามชั้นจัดเจนไม่ติดเนื้อซี่โครง ทำให้มีมันน้อยกว่า
โดยที่ในระหว่างนั้นไม่ลืมให้คุณน้าผู้ชายไปต้มมันพลางๆ ที่จะใช้แทนแป้ง หลังจากนั้นก็ผสมหมูสับเข้ากับมันต้มที่ถูกบดบี้จนเป็นเนื้อเหนียวๆ แล้วปั้นเป็นก้อนๆ นำไปทอดในน้ำมันที่เจียวจากมันหมูจนได้กากหมูแยกออกไปต่างหากเก็บเอาไว้
แล้วหลังจากที่ทำหมูก้อนทอดเสร็จแล้วก็ไม่ลืมทำเมนูอื่นๆ เช่นมันบดที่ใช้น้ำผึ้งแทนนมสด แล้วก็มันฝรั่งทอดที่เอาไปกินกับหมูก้อนทอด
ซึ่งในระหว่างที่ทำอาหารด้วยกันนางก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้นางเข้าใจได้แล้วว่าทำไมผู้คนในหมู่บ้านถึงได้ให้ความสำคัญกับนางนัก
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง