หลินมู่อิงมีโอกาสกลับไปเกิดใหม่ใน ปี1976 เพื่อแก้ไขชีวิตในอดีตของเธอ เพื่อช่วยชีวิตสามีที่ป่วยตายตั้งแต่ยังหนุ่มการกลับมาครั้งนี้ของเธอ ทันทีที่เกิดใหม่หลินมู่อิงได้ตัดสัมพันธ์กับครอบครัว ในชาตินี้เธอเกิดมาพร้อมกับมิติวิเศษหรือที่เรียกกันว่าพื้นที่หลิงฉวนที่มีบ่อน้ำพุจิตวิญญาณขนาดใหญ่ หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ หลินมู่อิงตั้งใจว่าจะต้องตามจีบสามีของเธอให้ได้และจับเขาเอาไว้ให้มั่น ในชาติที่แล้วเธอและเขาแต่งงานกันได้เพียงสามปี สามีก็มาด่วนจากไปทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวพร้อมกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รักและครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ หลังจากผ่านพ้นความเสียใจเธอได้มุ่งมั่นเรียนแพทย์อย่างหนักเพื่อรักษาผู้คนจนในวันสุดท้ายของชีวิต หลินมู่อิงไม่เคยคิดว่าเธอจะได้มีโอกาสมาเกิดใหม่อีกครั้ง ในเมื่อพระเจ้าอวยพรให้เธอและให้โอกาสเธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้น หลินมู่อิงตั้งใจเอาไว้ว่าเธอจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสามีของเธอเอาไว้และจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า การเกิดใหม่ครั้งนี้ของหลินมู่อิงกับภารกิจหลักไล่ตามสามีได้เริ่มขึ้นในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง
View More14 เมษายน 2025 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกภายในห้องผู้ป่วยสีขาวสะอาดตา มีหญิงชราที่มีใบหน้าเหนื่อยล้านอนอยู่บนเตียงนิ้วมือที่เหี่ยวๆ ลูบรูปถ่ายขาวดำเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่งจะเห็นได้ว่าเธอดูและสัมผัสรูปภาพนี้นับครั้งไม่ถ้วนภาพถ่ายที่มีชายและหญิงนั่งเคียงข้างกัน
หลินมู่อิงยังจำได้ว่ารูปนี้ถ่ายเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 1984 ผู้หญิงในรูปอายุ 25 ปี และผู้ชายอายุ 30 ปี รูปนี้ถ่ายไว้ตอนไปขอใบทะเบียนสมรส ผู้ชายในรูปมีใบหน้าหล่อเหลาและเป็นคนอบอุ่นมาก แต่ชีวิตของเขาช่างแสนสั้น เขาจากเธอไปในช่วงฤดูหนาวปี 1987ส่วนใบหน้าของผู้หญิงกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและมีความสุข
“โจวอี้หมิง ดูเหมือนว่าฉันจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วสามสิบเจ็ดปี สามสิบเจ็ดปีที่ไม่มีคุณ ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อจะใช้ชีวิตอย่างดีฉันได้ช่วยชีวิตคนมาแล้วเป็นหมื่นๆ คน แต่ฉันไม่มีโอกาสได้ช่วยคุณเลยฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน มากเหลือเกิน เหลือเกิน...”
ดวงตาของหญิงชราที่ยังแจ่มใสอยู่ กลับพร่ามัวลงอย่างกะทันหันเนื่องมาจากน้ำตาที่ไหลรินออกมเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการตรวจหาสัญญาณชีพก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติในที่สุด
“ศาสตราจารย์หลิน!”
ในขณะนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยต่างตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างรุนแรง ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของชาติ อัจฉริยะด้านการแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้หมดลมหายใจไปอย่างสิ้นเชิงในขณะนี้
...
“หลินมู่อิง! ฉันกำลังพูดกับเธออยู่ เธอได้ยินไหม ถ้าเธอไม่ยอมไปชนบทแทนพี่ชาย ฉันจะให้เธอแต่งงานทันที ฉันหาสามีเอาไว้ให้เธอแล้ว มีคนหนึ่งในมณฑลถัดไปที่ยินดีจะจ่ายสินสอด 200 หยวนและกำลังรอที่จะแต่งงานกับเธออยู่ ถึงเขาจะมีลูกสองคนแล้ว แม้ว่าขาและเท้าของเขาจะไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่เขาก็เป็นคนซื่อสัตย์และมีศีลธรรมที่สำคัญเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอใสนตอนนี้”
สินสอดสองร้อยหยวน ในปี1976 นั้นถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อม่ายที่มีลูกติดถึงสองคนและผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนพิการ ถ้าหากว่าหลินมู่อิงไม่ใช่คนที่หน้าตาสวยและอายุน้อยแบบนี้ เขายังจะยินดีจ่ายเงินสินสอด 200 หยวนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากหลินมู่อิงไม่ยอมไปชนบทแทนจางจิ้งผิงเกรงว่าซูเนี่ยนเจินคงจะขายเธอให้กับพ่อหม้ายในราคา200 หยวนเมื่อหลินมู่อิงได้ยินเสียงแหลมๆของซูเนี่ยนเจินที่ดังข้างๆเธอ จิตสำนึกของหลินมู่อิงที่ยังไม่ชัดเจนนักก็ค่อยๆกลับมาชัดเจนอีกครั้งเมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่าย ผนังที่เดิมปกคลุมไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ จนกลายเป็นสีเหลืองเข้มตามกาลเวลา
ในเวลานี้ หลินมู่อิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ที่พิงอยู่กับผนัง ในขณะที่ ซุเนี่บยนเจินกำลังชี้นิ้วไปที่เธอ และด่าทอสาปแช่งเสียงดังจนหลินมู่อิงรู้สึกรำคาญ หลินตงพ่อของหลินมู่อิงกำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่ข้างโต๊ะรับประทานอาหาร โดยไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย มีกาน้ำชาเก่าๆวางอยู่บนโต๊ะไม้ ข้างในเต็มไปด้วยใบชาราคาถูกและมีไอน้ำกำลังพวยพุ่งออกมา บนปฏิทินใกล้ประตูระบุว่าเป็น ปี 1976 สีแดงอันสะดุดตาได้กระตุ้นหัวใจของหลอนมู่อิง ทันมใดนั้นความทรงจำเก่าๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอทันที
“นี่ฉัน…เกิดใหม่อีกแล้วใช่ไหม? กลับไปในยุคปี 1976 ที่ผู้คนถูกบังคับให้ออกไปอยู่ชนบทในชีวิตก่อนของเธอ แม่ของหลินมู่อิงเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ เธอจำได้ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และน้ำในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกได้กลืนกินชีวิตของแม่ของเธอไป ในปีนั้นเธอได้กลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ สองเดือนต่อมา พ่อของเธอก็แต่งงานกับซูเนี่ยนเจิน
ซูเนี่ยนเจินเป็นหญิงม่ายจากหมู่บ้านเดียวกันและมีลูกชายชื่อจางจิงผิงซึ่งอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี ต่อมาซูเนี่ยนเจินให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวให้พ่อของเธอ ต่อหน้าคนนอก ซูเนี่ยนเจินทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้าตาของเธอ เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ในสิ่งที่นางปฏิบัติต่อหลินมู่อิง
ที่บ้าน หลินมู่อิงมักจะถูกเธอปฏิบัติเหมือนคนรับใช้และถูกเธอทุบตีอยู่เสมอ หากหลินมู่อิงทำอะไรบางอย่างที่ซูเนี่ยนเจินไม่พอใจ เธอจะทุบตีหลินมู่อิงอย่างโหดเหี้ยม แต่ซูเนี่ยนเจินนั้นเป็นคนฉลาดมาก เธอลงมือทุบตีหลินมูอิงในที่ที่สามารถปกปิดได้ด้วยเสื้อผ้า และหลินมู่อิงนั้นเกินกว่าจะบอกคนอื่น
เธออดทนกับเรื่องนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งปี1976 เมื่อซูเนี่ยนเจินบังคับหัเธอไปที่ชนบทแทนลูกชายของเธอ พี่ชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน พี่ชายที่เป็นลูกติดแม่เลี้ยงอย่างวูเนี่ยนเจินมา หลินมู่อิงเริ่มทำงานในโรงงานเสื้อผ้าตั้งแต่อายุสิบหกปี โดยได้รับค่าจ้างเดือนละยี่สิบหยวน ตราบใดที่คนหนุ่มสาวมีงานประจำอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปชนบท
เนื่องจากน้องชายและน้องสาวของเขายังเด็กอยู่ ภารกิจในการไปชนบทจึงตกอยู่ที่จางจิ้งผิง ในวันปกติเขาไม่มีงานทำและอยู่ว่างงานตลอดทั้งวัน แบบนี้แล้วเขาจะยอมไปทำงานหนักในชนบทได้อย่างไรกัน?
ดังนั้น ซูเนี่ยนเจิน จึงบังคับให้หลินมู่อิง ไปที่ชนบทแทนจางจิ้งผิงและด้วยวิธีนี้ งานของหลินมู่อิงในโรงงานเสื้อผ้าจึงสามารถขายเป็นเงินได้ ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงของเธอเก่งเรื่องการคำนวณมาก ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลินมู่อิง ตกลงที่จะไปชนบทเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับผู้ชายหย่าร้างที่มีขาพิการ โชคดีที่เธอฉลาดพอที่จะขายงานของเธอที่โรงงานเสื้อผ้าก่อนที่จะลาออก
เธอขายมันไปในราคา 200 หยวน แล้วออกเดินทางไปยังชนบทพร้อมกับเงินและตั๋วไม่กี่ใบที่เก็บสะสมจากการประหยัดเมื่อก่อน หากประหยัดเงินได้200หยวน ก็จะสามีรถใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากมากนักในชนบท
ขณะที่หลินมู่อิง ทำงานแลกแต้มคะแนนอยู่ในชนบท ก็มีข่าวการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ด้วยความพยายามของตนเองและรากฐานการเรียนรู้ในอดีต หลินมู่อิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุดในตอนที่เธอกลับเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แม่เลี้ยงอย่างซูเนี่ยนเจินก็บีบบังคับให้หลินมู่อิงมอบจดหมายตอบรับการเข้ามหาวิทยาลัยให้กับลูกชายของเธอ เมื่อหลินมู่อิงไม่ยอม แม่เลี้ยงจึงได้วางยาเธอ จากนั้นก็ส่งเธอให้กับพวกค้ามนุษย์
ปรากฏว่าคนที่ซื้อเธอไปมีอาการทางจิต เขาชอบทรมานเด็กสาวโดยการเฆี่ยนตีจนทำให้หลินมู่อิงมีรอยแผลเป็นทั้งตัว เมื่อเธอสามารถหลบหนีออกมาได้แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีพ้นแม่เลี้ยงของเธอได้ ซูเนี่ยนเจินถึงกับให้พวกอันธพาล100 หยวนเพื่อให้พวกนักเลงจับหลินมู่อิงไปขังเอาไว้และอย่าให้หลุดออกมาได้อีก เพื่อที่จะให้ลูกชายของเธอสามารถไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น
หลินมู่อิงถูกพวกอันธพาลขังไว้ในห้องเก็บของที่มืดมิด เธอต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากพวกอันธพาลทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนร้ายถูกจับได้ว่าก่ออาชญากรรม เธอก็หนีออกจากสถานที่อันมืดมิด สกปรก และน่าขยะแขยงแห่งนั้นได้ จากนั้นฉันก็ได้พบกับ โขวอี้หมิง อีกครั้ง ผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านหลี่เจียที่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเธอในขณะที่เธออยู่ชนบท
แต่ในเวลานั้น หลินมู่อิงสูญเสียความหวังในชีวิตไปแล้ว ร่างกายและจิตใจของเธอพังทลายจนไม่อาจจดจำได้ เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับใครอีกแล้ว แม้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้ถูกละเมิด แต่เธอกลับ... รู้สึกขยะแขยงเมื่อเห็นผู้ชาย
เป็นเวลาสองปีที่ โจวอี้หมิง ดูแลหลินมู่อิง และทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เธอหายดีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มันทำให้เธอเริ่มยอมรับทุกสิ่งรอบตัวและจุดประกายความหวังในการมีชีวิตอยู่ของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้น โจวอี้หมิงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่พร่างพราย คอยส่องสว่างให้กับโลกที่มืดมิด และสิ้นหวังของเธอ
ในปี 1984 โจวอี้หมิงขอเธิแต่งงานไม่ใช่ว่าเธอไม่ยินดีแต่งงานกับเขา แต่กลัวว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงที่จะฉุดรั้ง โจวอี้หมิง เช่นกัน เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้วในเวลานั้น โจวอี้หมิง วัย 30 ปีดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง การกรนะทำทุกอย่างของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสม
หลินมู่อิงซึ่งเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จะเป็นคนที่คู่ควรกับเขาได้อย่างไร? จนในที่สุดเขาบอกว่าเขาตกหลุมรักเธออย่างลึกซึ้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเขาได้รอคอยเธอมานาน
เมื่อมองไปที่ดวงตาของโจวอี้หมิงที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเธอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอจึงตัดสินใจรับข้อเสนอของโจวอี้หมิงและตกลงแต่งงานกับเขา ช่วงเวลาหลังแต่งงานเป็นวันที่มีความสุข มั่นคงที่สุด และสนุกสนานที่สุดในชีวิตของหลินมู่อิง
แต่ทว่าน่าเสียดายที่เชือกป่านมักจะขาดตรงส่วนที่บางที่สุดเสมอ และความโชคร้ายมักจะมีมากกกว่าความโชคดีในชีวิตของหลินมู่อิง
ณ จุดนี้ หลู่เหวินชิงรู้ดีว่าชื่อเสียงของเขากำลังย่ำแย่ เขาไม่กล้าคิดถึงหลินมู่อิงเลย เขารู้จักเธอดี หากเขากล้าแตะต้องเธอจริงๆ คงไม่จบลงด้วยดีสำหรับหลิวอิ๋ง เสือสาวนั่นต่างหากที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องยกหลิวอิ๋งให้...และเขาต้องได้เงิน 500 หยวนที่ตกลงไว้กับเธอก่อนหน้านี้หลู่เหวินชิงรู้สึกเสียใจจริง ๆ ที่ฟังคำพูดของหลิวอิ๋งหากเขาไม่ฟังคำยุยงของเธอเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เธอและเฉียนจุนไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าคนที่จับไปคือหลินมู่อิงหรือไม่ก่อนที่จะส่งมาให้เขา แต่ละคนก็โง่กว่าคนอื่น!แต่เรื่องก็จบลงแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประนีประนอมและแต่งงานกับหานเฟยเซียนก่อนเขาได้หารือเรื่องการสร้างบ้านกับเจียงอ้ายกั๋วในวันนี้ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป เขาไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะเสร็จทันไปรับใบทะเบียนสมรสหรือไม่พรุ่งนี้เขาจะไปเมืองเพื่อแต่งงาน และต้องเขียนจดหมายขอเงินกลับบ้าน เงิน100 หยวนที่พวกเขาให้ก่อนเดินทางมาที่ชนบทนั้นไม่พอหลู่เหวินชิงคิดในใจ เตรียมเขียนจดหมายแน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเขากำลังฟื้นตัวจากอาการป่วยโดยไม่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานครอบครัวของเ
ในขณะที่เจ้าเสือน้อยยืนตะลึงงันอยู่ไม่ไกล มันกำลังสงสัยตัวเองว่าทำพลาดไปหรือ? ไม่หรอก ดูเหมือนพวกเขากำลังสนุกกันอยู่ หลังจากกอดกันครู่หนึ่ง หลินมู่อิงก็ผลักโจวอี้หมิงในที่สุด เป็นสัญญาณว่าถึง เวลาลงมือทำงานแล้ว ต้นกล้าของเขายังคงรอปลูกอยู่ โจวอี้หมิงปล่อยหลินมู่อิงอย่างไม่เต็มใจ หยิบเครื่องมือทำไร่ข้างๆ ขึ้นมาเตรียมลงมือ โจวอี้หมิงเป้นคนแข็งแรงและมีพละกำลังมหาศาล ดังนั้นการปลูกต้นกล้าจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา หลินมู่อิงอยากช่วยขุดหลุม แต่โจวอี้หมิงปฏิเสธ "ตอนนี้ร่างกายฉันแข็งแรงมาก แข็งแรงมาก" หลินมู่อิงตบต้นแขนตัวเองเบาๆ บ่งบอกว่าเธอแข็งแรงมาก "ผมไม่อยากให้คุณทำงาน" โจวอี้หมิงพูดจบก็กลับไปทำงานต่อ เจ้าเสือน้อยนอนอยู่ไม่ไกล มองโจวอี้หมิงขุดหลุม ฉันก็ทำได้เหมือนกัน! เจ้าเสือน้อยบิดตัวแข็งแรงเซไปเซมาอยู่ห่างจากโจวอี้หมิงสองสามเมตร โบกขาหน้าหน้าสองข้างแตะพื้น ไม่นานนักก็ขุดหลุมสำเร็จ เจ้าเสือน้อยมองหลินมู่อิงด้วยสีหน้าประจบประแจงหลินมู่อิง ยกนิ้วโป้งให้เป็นการชมเชยว่าเจ้าเสือน้อยทำดีมากเจ้าเสือน้อย เข้าใจและขุดต่อไป ต้องบอกว่าหลินมู่อิงไม่เคยเห็นเสือขุดหลุมได้ดีขนาดนี้มาก่อน แต่เจ้า
แน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหา หลินมู่อิงหากระดาษมาและรวบรวมส่วนผสมสำหรับอาบน้ำยาของโจวเฉินตงเธอจะเริ่มแช่โจวเฉินตงในยาวันนี้“เราต้องการอ่างแช่เท้าที่ลึกพอคลุมเข่า” หลินมู่อิงบอกกับโจวอี้หมิงโจวอี้หมิงพยักหน้าตกลง เขาสามารถทำอ่างเองได้ เขา ต้องการแค่ไม้และน้ำยาเคลือบกันน้ำพิเศษโจวอี้หมิงตรงดิ่งไปเตรียมของทันทีตอนนั้นแม้แต่สหกรณ์จัดหาและการตลาดก็ยังไม่มีอ่างแบบนี้ การได้ล้างเท้าทุกวันถือเป็นเรื่องดีไม่มีอ่างแช่เท้าที่ลึกถึงเข่าหลินมู่อิงเตรียมยาและบรรจุแยกต่างหาก เพียงพอสำหรับเจ็ดวัน เธอนำไปต้มในครัวก่อนคราวนี้หลินมู่อิงเปลี่ยนน้ำพุจิตวิญญาณอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง น้ำพุจิตวิญญาณนี้จำเป็นต่อการเปิดเส้นประสาทที่ขาของโจวเฉินและฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน หลินมู่อิงวางแผนที่จะหักขาของโจวเฉินตงและเริ่มการรักษาอย่างเป็นทางการทางด้านโจวอี้หมิง เขายังสร้างถังไม้สูงจากแผ่นไม้ เส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าสองฟุต ทำให้โจวเฉินตงสามารถแช่ขาและเท้าทั้งสองข้างลงไปได้สะดวก"ดื่มน้ำถั่วเขียวก่อน" หลินมู่อิงยื่นชามน้ำถั่วเขียวให้กับโจวอี้หมิง แต่ในมือของเขายังมีขี้เลื่อยเหลืออยู
สีหน้าของหลินมู่อิงดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เธอกำลังคิดหาวิธีฟื้นฟูขาของโจวเฉินตงให้กลับมาเป็นปกติให้ได้มากที่สุดแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้นแต่ถ้าเขาไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ ต้องใช้ไม้ค้ำยัน หรือเดินไม่ได้ หลินมู่อิงก็รู้สึกว่าการรักษานั้นไร้ความหมายทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าโจวเฉินตงจะยอมทนกับความยากลำบากและความทุกข์ทรมานนี้ หรือไม่ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหลินมู่อิงก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นไปอีกคนรอบข้างแทบจะกระโดดออกจากที่นั่ง นี่มัน... รักษาไม่หายหรือ?ความหวังของโจวเฉินตงที่ฟื้นคืนมาดูเหมือนจะดับวูบลงเขาทรุดตัวลงพิงพนักเก้าอี้จากการนั่งตัวตรง โจวอี้หมิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือขาของพี่ชายเขาสาหัสมากจนหินมู่อิงรักษาไม่หาย?เขาเชื่อมั่นในตัวหลินมู่อิงมาก และรู้ว่าเธอจะทำเต็มที่ ดังนั้นเขาจะไม่โทษเธอ เขาแค่รู้สึกสงสารพี่ชายเล็กน้อย แม่โจวไม่ได้สงบนิ่งเหมือนลูกชายอีกสองคน เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของหลินมู่อิง เธอจึงถาม“มู่อิง...ไม่มีทางรักษาได้หรือ” เสียงของแม่โจวดังไปถึงหูของหลินมู่อิง เธอส่ายหน้าหัวใจของแม่โจวตกตะลึง“ไม่มี ไม่มีวิธีรักษา” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของแม่
ในยุคนี้ การแพทย์แผนจีนกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก แม้ว่าจะมีผู้สูงอายุบางส่วนที่ชื่นชอบการแพทย์แผนจีนมากกว่าการแพทย์แผนตะวันตก แต่ในขณะนั้นมีผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนเพียงไม่กี่คนที่ได้รับใบอนุญาต ทำให้เป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นทางการดังนั้น คำถามของโจวฉีซานถึงหลินมู่อิงจึงค่อนข้างกะทันหันอย่างไรก็ตาม อาการป่วยของชายชราผู้นี้เกินเอื้อมสำหรับใครก็ตามในแวดวงของเขาเขาแค่พยายามลองดู แม้ว่าหลินมู่อิงจะดูอ่อนเยาว์ แต่เขารู้สึกว่าเธอมีความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้น โจวฉีซานเคยไปเยี่ยมชมหอสมุนไพรจีนหลายครั้งแล้ว และมองว่าเธอเป็นคนดีมาก"ตกลง เมื่อไหร่?" หลินมู่อิงตอบตกลงทันที ซึ่งทำให้โจวฉีซานประหลาดใจ"ฉันต้องคุยกับชายชราก่อน สองวันดีไหม?" ชายชราที่โจวฉีซานพูดถึงมีนิสัยค่อนข้างประหลาดเขาอาจไม่อยากให้เด็กสาวเช่นนี้มาพบเขา เขาจึงให้เวลาเขาโน้มน้าวเขา สองวันดูสมเหตุสมผล และเขาน่าจะโน้มน้าวเขาได้"ตกลง งั้นฉันจะมาที่นี่อีกสองวัน" หลินมู่อิงพยักหน้าเห็นด้วย"ตกลง!" โจวฉีซานรู้สึกว่าหลินมู่อิงแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ เธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวและมีบุคลิกที่ดีหากเธอสามารถรักษาชายชราผู้นี้ให้หายได้จริง จะเป็น
เดิมทีพวกเขาจะกลับหมู่บ้านทันที แต่หลินมู่อิงนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดกับโจวอี้หมิงว่า"คุณตามฉันมาด้วยสิ ฉันจะไปไป๋เฉาถังเพื่อซื้อยาจีน" หลินมู่อิงพูดกับโจวอี้หมิง เขาเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร พยักหน้า แล้วตามจักรยานของหลินมู่อิงไป ไป๋เฉาถังอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารของรัฐทั้งสองมาถึงอย่างรวดเร็ว คนละแถวกัน หลังจากมาถึงไป๋เฉาถัง หลินมู่อิงก็ขอให้โจวอี้หมิงและโจวเฉินตรออยู่ข้างนอกก่อนจะเข้าไปซื้อของ และไม่นานก็ออกมา โจวอี้หมิงพยักหน้าเห็นด้วย หลินมู่อิงเข้าไปในไป๋เฉาถังและพบกับหมอวัยกลางคนที่เขาขอสูตรยาของเธอไว้ก่อนหน้านี้"สวัสดีค่ะ คุณหมอ ฉันต้องการสมุนไพรค่ะ นี่คือรายการสมุนไพรทั้งหมดที่ฉันต้องการ"หลินมู่อิงยื่นรายการสมุนไพรกว่ายี่สิบชนิด ให้หมอดูและบอกว่ามีครบทุกอย่างแล้ว เขาจึงจัดวางยาทีละชนิดตามปริมาณที่หลินมู่อิงต้องการ"คุณหมอคะ มีร้านไหนในเขตเราขายเข็มเงินสำหรับฝังเข็มบ้างไหมคะ" หลินมู่อิงถามพร้อมรอยยิ้มถึงแม้ว่าหลินมู่อิงจะรู้ว่าต้องมีขายในเมือง แต่จะดีกว่านี้ถ้าเธอซื้อตอนนี้"เข็มเงินเหรอครับ คุณฝังเข็มด้วยเหรอครับ" หมอวัยกลางคนรู้ว่าหลินมู่อิงเป็นแพทย์แผนจีน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ศา
Comments