หลินมู่อิงมีโอกาสกลับไปเกิดใหม่ใน ปี1976 เพื่อแก้ไขชีวิตในอดีตของเธอ เพื่อช่วยชีวิตสามีที่ป่วยตายตั้งแต่ยังหนุ่มการกลับมาครั้งนี้ของเธอ ทันทีที่เกิดใหม่หลินมู่อิงได้ตัดสัมพันธ์กับครอบครัว ในชาตินี้เธอเกิดมาพร้อมกับมิติวิเศษหรือที่เรียกกันว่าพื้นที่หลิงฉวนที่มีบ่อน้ำพุจิตวิญญาณขนาดใหญ่ หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ หลินมู่อิงตั้งใจว่าจะต้องตามจีบสามีของเธอให้ได้และจับเขาเอาไว้ให้มั่น ในชาติที่แล้วเธอและเขาแต่งงานกันได้เพียงสามปี สามีก็มาด่วนจากไปทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวพร้อมกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รักและครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีอยู่ หลังจากผ่านพ้นความเสียใจเธอได้มุ่งมั่นเรียนแพทย์อย่างหนักเพื่อรักษาผู้คนจนในวันสุดท้ายของชีวิต หลินมู่อิงไม่เคยคิดว่าเธอจะได้มีโอกาสมาเกิดใหม่อีกครั้ง ในเมื่อพระเจ้าอวยพรให้เธอและให้โอกาสเธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้น หลินมู่อิงตั้งใจเอาไว้ว่าเธอจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสามีของเธอเอาไว้และจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า การเกิดใหม่ครั้งนี้ของหลินมู่อิงกับภารกิจหลักไล่ตามสามีได้เริ่มขึ้นในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง
View More14 เมษายน 2025 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกภายในห้องผู้ป่วยสีขาวสะอาดตา มีหญิงชราที่มีใบหน้าเหนื่อยล้านอนอยู่บนเตียงนิ้วมือที่เหี่ยวๆ ลูบรูปถ่ายขาวดำเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่งจะเห็นได้ว่าเธอดูและสัมผัสรูปภาพนี้นับครั้งไม่ถ้วนภาพถ่ายที่มีชายและหญิงนั่งเคียงข้างกัน
หลินมู่อิงยังจำได้ว่ารูปนี้ถ่ายเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 1984 ผู้หญิงในรูปอายุ 25 ปี และผู้ชายอายุ 30 ปี รูปนี้ถ่ายไว้ตอนไปขอใบทะเบียนสมรส ผู้ชายในรูปมีใบหน้าหล่อเหลาและเป็นคนอบอุ่นมาก แต่ชีวิตของเขาช่างแสนสั้น เขาจากเธอไปในช่วงฤดูหนาวปี 1987ส่วนใบหน้าของผู้หญิงกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและมีความสุข
“โจวอี้หมิง ดูเหมือนว่าฉันจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วสามสิบเจ็ดปี สามสิบเจ็ดปีที่ไม่มีคุณ ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อจะใช้ชีวิตอย่างดีฉันได้ช่วยชีวิตคนมาแล้วเป็นหมื่นๆ คน แต่ฉันไม่มีโอกาสได้ช่วยคุณเลยฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน มากเหลือเกิน เหลือเกิน...”
ดวงตาของหญิงชราที่ยังแจ่มใสอยู่ กลับพร่ามัวลงอย่างกะทันหันเนื่องมาจากน้ำตาที่ไหลรินออกมเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการตรวจหาสัญญาณชีพก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติในที่สุด
“ศาสตราจารย์หลิน!”
ในขณะนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยต่างตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างรุนแรง ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของชาติ อัจฉริยะด้านการแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้หมดลมหายใจไปอย่างสิ้นเชิงในขณะนี้
...
“หลินมู่อิง! ฉันกำลังพูดกับเธออยู่ เธอได้ยินไหม ถ้าเธอไม่ยอมไปชนบทแทนพี่ชาย ฉันจะให้เธอแต่งงานทันที ฉันหาสามีเอาไว้ให้เธอแล้ว มีคนหนึ่งในมณฑลถัดไปที่ยินดีจะจ่ายสินสอด 200 หยวนและกำลังรอที่จะแต่งงานกับเธออยู่ ถึงเขาจะมีลูกสองคนแล้ว แม้ว่าขาและเท้าของเขาจะไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่เขาก็เป็นคนซื่อสัตย์และมีศีลธรรมที่สำคัญเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอใสนตอนนี้”
สินสอดสองร้อยหยวน ในปี1976 นั้นถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อม่ายที่มีลูกติดถึงสองคนและผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนพิการ ถ้าหากว่าหลินมู่อิงไม่ใช่คนที่หน้าตาสวยและอายุน้อยแบบนี้ เขายังจะยินดีจ่ายเงินสินสอด 200 หยวนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากหลินมู่อิงไม่ยอมไปชนบทแทนจางจิ้งผิงเกรงว่าซูเนี่ยนเจินคงจะขายเธอให้กับพ่อหม้ายในราคา200 หยวนเมื่อหลินมู่อิงได้ยินเสียงแหลมๆของซูเนี่ยนเจินที่ดังข้างๆเธอ จิตสำนึกของหลินมู่อิงที่ยังไม่ชัดเจนนักก็ค่อยๆกลับมาชัดเจนอีกครั้งเมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่าย ผนังที่เดิมปกคลุมไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ จนกลายเป็นสีเหลืองเข้มตามกาลเวลา
ในเวลานี้ หลินมู่อิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ที่พิงอยู่กับผนัง ในขณะที่ ซุเนี่บยนเจินกำลังชี้นิ้วไปที่เธอ และด่าทอสาปแช่งเสียงดังจนหลินมู่อิงรู้สึกรำคาญ หลินตงพ่อของหลินมู่อิงกำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่ข้างโต๊ะรับประทานอาหาร โดยไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย มีกาน้ำชาเก่าๆวางอยู่บนโต๊ะไม้ ข้างในเต็มไปด้วยใบชาราคาถูกและมีไอน้ำกำลังพวยพุ่งออกมา บนปฏิทินใกล้ประตูระบุว่าเป็น ปี 1976 สีแดงอันสะดุดตาได้กระตุ้นหัวใจของหลอนมู่อิง ทันมใดนั้นความทรงจำเก่าๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอทันที
“นี่ฉัน…เกิดใหม่อีกแล้วใช่ไหม? กลับไปในยุคปี 1976 ที่ผู้คนถูกบังคับให้ออกไปอยู่ชนบทในชีวิตก่อนของเธอ แม่ของหลินมู่อิงเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 8 ขวบ เธอจำได้ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และน้ำในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกได้กลืนกินชีวิตของแม่ของเธอไป ในปีนั้นเธอได้กลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ สองเดือนต่อมา พ่อของเธอก็แต่งงานกับซูเนี่ยนเจิน
ซูเนี่ยนเจินเป็นหญิงม่ายจากหมู่บ้านเดียวกันและมีลูกชายชื่อจางจิงผิงซึ่งอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี ต่อมาซูเนี่ยนเจินให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวให้พ่อของเธอ ต่อหน้าคนนอก ซูเนี่ยนเจินทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้าตาของเธอ เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ในสิ่งที่นางปฏิบัติต่อหลินมู่อิง
ที่บ้าน หลินมู่อิงมักจะถูกเธอปฏิบัติเหมือนคนรับใช้และถูกเธอทุบตีอยู่เสมอ หากหลินมู่อิงทำอะไรบางอย่างที่ซูเนี่ยนเจินไม่พอใจ เธอจะทุบตีหลินมู่อิงอย่างโหดเหี้ยม แต่ซูเนี่ยนเจินนั้นเป็นคนฉลาดมาก เธอลงมือทุบตีหลินมูอิงในที่ที่สามารถปกปิดได้ด้วยเสื้อผ้า และหลินมู่อิงนั้นเกินกว่าจะบอกคนอื่น
เธออดทนกับเรื่องนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งปี1976 เมื่อซูเนี่ยนเจินบังคับหัเธอไปที่ชนบทแทนลูกชายของเธอ พี่ชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน พี่ชายที่เป็นลูกติดแม่เลี้ยงอย่างวูเนี่ยนเจินมา หลินมู่อิงเริ่มทำงานในโรงงานเสื้อผ้าตั้งแต่อายุสิบหกปี โดยได้รับค่าจ้างเดือนละยี่สิบหยวน ตราบใดที่คนหนุ่มสาวมีงานประจำอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปชนบท
เนื่องจากน้องชายและน้องสาวของเขายังเด็กอยู่ ภารกิจในการไปชนบทจึงตกอยู่ที่จางจิ้งผิง ในวันปกติเขาไม่มีงานทำและอยู่ว่างงานตลอดทั้งวัน แบบนี้แล้วเขาจะยอมไปทำงานหนักในชนบทได้อย่างไรกัน?
ดังนั้น ซูเนี่ยนเจิน จึงบังคับให้หลินมู่อิง ไปที่ชนบทแทนจางจิ้งผิงและด้วยวิธีนี้ งานของหลินมู่อิงในโรงงานเสื้อผ้าจึงสามารถขายเป็นเงินได้ ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงของเธอเก่งเรื่องการคำนวณมาก ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลินมู่อิง ตกลงที่จะไปชนบทเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับผู้ชายหย่าร้างที่มีขาพิการ โชคดีที่เธอฉลาดพอที่จะขายงานของเธอที่โรงงานเสื้อผ้าก่อนที่จะลาออก
เธอขายมันไปในราคา 200 หยวน แล้วออกเดินทางไปยังชนบทพร้อมกับเงินและตั๋วไม่กี่ใบที่เก็บสะสมจากการประหยัดเมื่อก่อน หากประหยัดเงินได้200หยวน ก็จะสามีรถใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากมากนักในชนบท
ขณะที่หลินมู่อิง ทำงานแลกแต้มคะแนนอยู่ในชนบท ก็มีข่าวการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ด้วยความพยายามของตนเองและรากฐานการเรียนรู้ในอดีต หลินมู่อิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุดในตอนที่เธอกลับเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แม่เลี้ยงอย่างซูเนี่ยนเจินก็บีบบังคับให้หลินมู่อิงมอบจดหมายตอบรับการเข้ามหาวิทยาลัยให้กับลูกชายของเธอ เมื่อหลินมู่อิงไม่ยอม แม่เลี้ยงจึงได้วางยาเธอ จากนั้นก็ส่งเธอให้กับพวกค้ามนุษย์
ปรากฏว่าคนที่ซื้อเธอไปมีอาการทางจิต เขาชอบทรมานเด็กสาวโดยการเฆี่ยนตีจนทำให้หลินมู่อิงมีรอยแผลเป็นทั้งตัว เมื่อเธอสามารถหลบหนีออกมาได้แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีพ้นแม่เลี้ยงของเธอได้ ซูเนี่ยนเจินถึงกับให้พวกอันธพาล100 หยวนเพื่อให้พวกนักเลงจับหลินมู่อิงไปขังเอาไว้และอย่าให้หลุดออกมาได้อีก เพื่อที่จะให้ลูกชายของเธอสามารถไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น
หลินมู่อิงถูกพวกอันธพาลขังไว้ในห้องเก็บของที่มืดมิด เธอต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากพวกอันธพาลทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนร้ายถูกจับได้ว่าก่ออาชญากรรม เธอก็หนีออกจากสถานที่อันมืดมิด สกปรก และน่าขยะแขยงแห่งนั้นได้ จากนั้นฉันก็ได้พบกับ โขวอี้หมิง อีกครั้ง ผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านหลี่เจียที่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเธอในขณะที่เธออยู่ชนบท
แต่ในเวลานั้น หลินมู่อิงสูญเสียความหวังในชีวิตไปแล้ว ร่างกายและจิตใจของเธอพังทลายจนไม่อาจจดจำได้ เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับใครอีกแล้ว แม้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้ถูกละเมิด แต่เธอกลับ... รู้สึกขยะแขยงเมื่อเห็นผู้ชาย
เป็นเวลาสองปีที่ โจวอี้หมิง ดูแลหลินมู่อิง และทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เธอหายดีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มันทำให้เธอเริ่มยอมรับทุกสิ่งรอบตัวและจุดประกายความหวังในการมีชีวิตอยู่ของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลานั้น โจวอี้หมิงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่พร่างพราย คอยส่องสว่างให้กับโลกที่มืดมิด และสิ้นหวังของเธอ
ในปี 1984 โจวอี้หมิงขอเธิแต่งงานไม่ใช่ว่าเธอไม่ยินดีแต่งงานกับเขา แต่กลัวว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงที่จะฉุดรั้ง โจวอี้หมิง เช่นกัน เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้วในเวลานั้น โจวอี้หมิง วัย 30 ปีดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง การกรนะทำทุกอย่างของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสม
หลินมู่อิงซึ่งเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จะเป็นคนที่คู่ควรกับเขาได้อย่างไร? จนในที่สุดเขาบอกว่าเขาตกหลุมรักเธออย่างลึกซึ้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเขาได้รอคอยเธอมานาน
เมื่อมองไปที่ดวงตาของโจวอี้หมิงที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเธอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอจึงตัดสินใจรับข้อเสนอของโจวอี้หมิงและตกลงแต่งงานกับเขา ช่วงเวลาหลังแต่งงานเป็นวันที่มีความสุข มั่นคงที่สุด และสนุกสนานที่สุดในชีวิตของหลินมู่อิง
แต่ทว่าน่าเสียดายที่เชือกป่านมักจะขาดตรงส่วนที่บางที่สุดเสมอ และความโชคร้ายมักจะมีมากกกว่าความโชคดีในชีวิตของหลินมู่อิง
หลินมู่อิงมีผิวที่บอบบางมาก ทำให้หัวเข่าที่แดงและบวมดูเด่นชัดขึ้น จริงๆ แล้วมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นก่อนที่หลินมู่อิงจะได้เกิดใหม่ เธอมีรอยแผลเป็นมากมายหลายขนาดบนร่างกาย แต่ภายใต้การบำรุงรักษาของน้ำพุจิตวิญญาณ ก็ไม่มีรอยแผลเป็นแม้แต่น้อยโจวอี้หมิงเห็นหัวเข่าที่แดงและบวม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ขมวดคิ้วและหันไปที่ห้องหลักแม่โจวและโจวหนิงหนิงที่อยู่ข้างๆ เขาก็แสดงความเจ็บปวดเช่นกัน"มู่อิง มันเจ็บไหม หัวเข่านี่..." แม่โจวรู้สึกสงสารหลินมู่อิงเธอดูผอมและอ่อนแอ มีแขนและขาที่ผอมแห้ง และเธอไม่สามารถกินอะไรได้มาก มิฉะนั้น หากเธอมีเนื้อบนร่างกายมากกว่านี้ หัวเข่าของเธอจะไม่เป็นแบบนี้แม้ว่าแม่โจวจะคิดเช่นนั้น แต่เธอก็เห็นว่าหลินมู่อิงยังคงมีเนื้ออยู่มากตรงที่เธอควรอยู่...เมื่อความคิดของแม่โจวล่องลอยไปเล็กน้อย โจวอี้หมิงก็กลับมาเขาถือน้ำมันยาอยู่ในมือ แต่ตอนนี้แม่และน้องสาวของเขายังอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่เขาจะทายาให้กับหลินมู่อิงแม่โจวมองไปที่ลูกชายที่ยืนอยู่ในสนามพร้อมกับน้ำมันยาด้วยท่าทางสับสน ขณะที่เธอกำลังจะพูด โจวหนิงหนิงก็พูดขึ้นมาว่า“แม่ ไปทำอาหารกันเถอะ แล้วให้พ
ป้าโจวมีลูกชายคนเดียวและลูกสาวหนึ่งคน และหลานชายของเธอชื่อฮู่จื่อ แม้ว่าชีวิตจะยากลำบาก แต่ทั้งครอบครัวก็อยู่ด้วยกันและมีความสุขหากหลานชายของเธอจากไป เธอรู้สึกว่าชีวิตสูญเสียความหวังไป ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาหลินจื้อชิง และเป็นเธอเองที่ช่วยหลานชายของเธอเอาไว้ ในเวลานี้ แม่ของฮู่จื่อก็ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน เธอจับลูกชายและคุกเข่าลง“คุณ...” หลินมู่อิงช่วยเหลือทั้งคนแก่และคนหนุ่มจริงๆถ้าเธอไม่ใช้เวลากลืนน้ำพุจิตวิญญาณสองคำเข้าไป เธอคงช่วยใครไม่ได้จริงๆ ด้วยร่างกายที่ดูอ่อนล้าของเธอ“คุณเป็นผู้ช่วยชีวิตของครอบครัวเรา ขอบคุณ ขอบคุณมาก”แม่ของฮู่จื่อยังแสดงความขอบคุณหลินมู่อิง เด็กคือเลือดเนื้อของแม่“ไม่เป็นไร คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น”ในฐานะแพทย์ชาวจีน หลินมู่อิงเป็นสิ่งที่เธอควรทำจริงๆแต่สำหรับคนนอก หลินมู่อิงก็เหมือนนางฟ้าจริงๆ ดึงเด็กที่หายใจไม่ออกกลับมาจากด้านของความตาย เธอเป่าลมเจ้าปากของเด็กที่ไม่หายใจแล้ว ไม่มีการดูถูก ไม่ยอม
ที่ริมแม่น้ำเด็กสาววัยยี่สิบกว่าตัวเปียกโชกในเวลานี้ เด็กสาวคนนี้คือคนที่เพิ่งช่วยเด็กขึ้นมาจากแม่น้ำ เสื้อผ้าในฤดูกาลนี้บางไปหน่อย และเมื่อปียกน้ำแล้วก็จะเผยให้เห็นเนื้อหนัง หญิงชราคนหนึ่งยืมผ้าเนื้อหยาบที่ยังไม่ได้ซักให้เธอสวมใส่ เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินมู่อิงก็รีบคุกเข่าลงข้างๆ เด็กที่จมน้ำและเอาหูแนบกับจมูกของเด็ก จริงๆ แล้วไม่มีการหายใจแต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะอายุไม่เกินหกหรือเจ็ดขวบ และหลินมู่อิงก็ไม่ยอมหมดหวังแม้แต่น้อยเธอคุกเข่าลงบนพื้นและกดหน้าอกของเด็กชายด้วยมือพับไว้ ทุกครั้งที่กด หน้าอกของเด็กชายจะยุบลงอย่างเห็นได้ชัด และหญิงชราและป้าที่อยู่ข้างๆ ก็อุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่า“โอ๊ย เด็กตระกูลโจวตายแล้ว ทำไมคุณยังทรมานเขาแบบนี้อีก”“คุณใช้กำลังมากขนาดนี้ ฉันกลัวว่าคุณจะหักซี่โครงเด็กใช่ไหม”“ตระกูลโจวอยู่ที่ไหน พวกเขายังไม่มาถึงอีกเหรอ”ป้าและพี่สาวพูดคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครขึ้นไปหยุดหลินมู่อิง พวกเขารู้ดีว่าหลินมู่อิงใช้วิธีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพื่อช่วยหลี่เป่าเป้ยในลานนวดข้าวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า? พวกเขายังกลัวที่จะรับผิดชอบด้วย จึงปล่อยให้หลินมู่อิงทำการเคลื่อนไหวที่พวกเขา
หลินมู่อิงเดินขึ้นภูเขาไปตรงๆ แน่นอนว่าเธอไม่เห็นสถานการณ์ที่นี่ ทันทีที่เธอเข้าไปในภูเขา หลินมู่อิงก็ตรงไปที่ภูเขาที่ลึกในเวลากลางวันแสกๆ ถ้าไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ไม่มีสัตว์ใหญ่ๆ ปรากฏตัว หลินมู่อิงเดินไปประมาณหนึ่งชั่วโมงและเห็นร่างของเจ้าเสือน้อยในเวลานี้ เจ้าเสือน้อยนอนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่เห็นได้ชัด เมื่อเจ้าเสือน้อยเห็นหลินมู่อิง ดวงตาทั้งสองข้างของมันก็สดใสอย่างเห็นได้ชัด แต่มันไม่ได้ลุกขึ้นและวิ่งไปหาหลินมู่อิง มันเพียงยกอุ้งเท้าขึ้น เกาหน้าสองครั้ง หันศีรษะ และนอนลงต่อไป"เฮ้ แกโกรธเหรอ"หลินมู่อิงก้าวเท้าอย่างรวดเร็วและมาหาเจ้าเสือน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าเสือน้อยเสือจะโกรธตัวเอง หลินมู่อิงหยิบซี่โครงชิ้นหนึ่งจากพื้นที่มิติของเธอและเขย่ามันต่อหน้าเจ้าเสือน้อย"ฉันซื้อกระดูกมาให้แกกิน แต่ดูเหมือนว่าแกไม่อยากกินมัน"หลินมู่อิงทำท่ามองซี่โครงในมือด้วยแววตาสงสาร เจ้าเสือน้อยเงยหน้าขึ้นและนอนลงต่อไป“ตกลง เดิมทีแกควรอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าแกไม่อยากกลับไปในพื้นที่มิติกับฉันแล้วใช่ไหม อย่างนั้นฉันจะกลับไปคนเดียว” หลินมู่อิงพูดและหันหลังจะจากไปเจ้าเสือน้อยสับสน นายของเขาหมดควา
อย่าประมาทน้ำพุจิตวิญญาณเพียงแค่หนึ่งหรือสองหยด ซึ่งสามารถยกระดับรสชาติของอาหารไปสู่อีกระดับหนึ่งได้“ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้แล้ว วันนี้ฉันทำหมูตุ๋นชุดนี้ได้”หลิ่วหงเหลียงรับเอาเครื่องปรุงและซอสจากหลินมู่อิงอย่างมีความสุขหลังจากที่จัดการธุรกิจเครื่องในหมูตุ๋นเรียบร้อยแล้ว หลินมู่อิงก็ถามหลิ่วหงเหลียงว่ามีใครต้องการซื้อผักและธัญพืชบ้าง หลินมู่อิงไม่ได้วางแผนที่จะขายมันในตลาดมืดด้วยตัวเอง เพราะจะเสียเวลาและปริมาณที่เธอขายก็มีน้อยจะดีกว่าถ้าหาคนมาซื้อในปริมาณมาก แม้ว่าวิธีนี้อาจทำให้ได้เงินน้อยลง แต่ก็จะช่วยประหยัดเวลาและปลอดภัยมากกว่า“เด็กสาวคนนี้ไม่ง่ายเลย นอกจากทักษะในการตุ๋นเนื้อแล้ว เธอยังมีผักและธัญพืชอีกด้วย”“ราคาเท่าไหร่ เท่าไหร่ ฉันมีวิธีจริงๆ”หลิ่วหงเหลียงรู้สึกจริงๆ ว่าลูกชายของเขายังเด็กเกินไป หากลูกชายของเขาอายุมากกว่าเขาสองสามปี... ลืมมันไปเถอะ เด็กผู้หญิงคนนี้มีพลังมาก แม้ว่าเธอจะอายุเท่ากับลูกชายของเขา เธอก็คงจะไม่พึงพอใจลูกชายของเขา“ข้าว ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ยังไม่ได้ขัดสี แต่ละอย่างมีน้ำหนัก 1,000 จิน”“ผักได้แก่ พริกหยวก แตงกวา มะเขือเทศ ถั่ว มันฝรั่ง แ
“เยี่ยมมากพวกเรามาพูดคุยถึงรายละเอียดข้อตกลงกันดีกว่า”พ่อค้าเนื้อตกลงทันที ในโลกนี้ ใครบ้างที่ไม่อยากทำธุรกิจที่ทำเงินได้ พ่อค้าเนื้อมองไปที่เนื้อไม่ติดมันและซี่โครงที่ยังไม่ได้ขาย และมอบมันให้กับหลินมู่อิงอย่างในจกว้างหลินมู่อิงรับมันไปพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ยังให้เงินพ่อค้าเนื้อ 20 หยวน เงิน 20 หยวนก็เพียงพอสำหรับสิ่งเหล่านี้ ทั้งสองคนไม่ต้องการเอาเปรียบอีกฝ่ายนี่คือสาเหตุที่หลินมู่อิงต้องการหาพ่อค้าเนื้อเพื่อร่วมมือกัน ทั้งสองเดินไปที่ตรอกที่มีคนน้อยกว่าจากนั้นหลินมู่อิงก็บอกพ่อค้าเนื้อถึงวิธีที่เธอต้องการร่วมมือกันพ่อค้าเนื้อชื่อหลิวหงเหลียง และเขามีบุคลิกที่ร่าเริงมาก หลังจากฟังคำพูดของหลินมู่อิงแล้ว เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย“สาวน้อย เจ้าไว้ใจพี่ชายของเจ้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ”วิธีการร่วมมือที่หลินมู่อิงมอบให้กับหลิ่วหงเหลียงก็คือหลินมู่อิงจะมอบสูตรและเครื่องปรุงสำหรับทำเนื้อตุ๋นให้ หลิ่งหงเหลี่ยงหลังจากนั้นเธอแค่รอรับส่วนแบ่งจากการขายก็พอหลิ่วหงเหลียงรู้สึกว่าวิธีการร่วมมือแบบนี้เป็นการไว้วางใจเขาอย่างมาก ไม่เช่นนั้น หลินมู่อิงก็คงจะไม่ใหสูตรและเครื่องปรุงในการทำหมูตุ๋นให้เขาได้ด้วยว
Comments