วันเวลาที่ต้อมรอคอยมาถึงวันนี้จะได้เจอเพื่อนเก่าอีกหลายคน หนึ่งในนั้นที่อยากเจอมากเขายังไม่แน่ใจว่าจะมาหรือไม่ เพราะต้อมมาในงานร่วมชั่วโมงยังไม่เห็นวี่แวว มีเพียง อาคม โบ้ผู้ทะเล้น จืดกับแฟนสาวนั่นคือปิ่นเพื่อนร่วมคณะนั่นเอง และอีกหลายคนต่างนั่งเรียงรายสองแถวหันหน้าเข้าหากัน โดยต้อมนั่งติดอาคมส่วนอีกข้างยังว่างเปล่าไม่มีใครมานั่ง
“หายไปนานเลยนะไอ้ต้อม เรานึกว่าไปอยู่กับแฟนที่ต่างประเทศเหมือนแหวนแล้ว” โบ้พูดขึ้นมาโดยยังคงเอกลักษณ์ความเป็นขึ้เล่นเหมือนเดิม
“เพื่อนเราได้ดีแล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ต้อมมีสีหน้าท่าทางประหลาดใจพอสมควร
“ใช่ เหลือแต่นายนั่นแหละ เขามีครอบครัวกันหมดแล้วนายมัวรออะไรอยู่ หรือรอใครเอ่ยอยากรู้จัง”
“เปล่า ยังไม่เจอคนที่ใช่มั้ง”
ต้อมพูดจบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนข้างๆ สายตาของต้อมเห็นเพื่อนร่วมห้องมองมายังใกล้บริเวณที่นั่งอยู่ ต้อมผิดสังเกตเลยหันหน้ามองและเงยขึ้น
“พระเอกของเราทำไมมาช้าจังเลย” โบ้เอ่ยขึ้นทันใดเมื่อคงเดชนั่งลงข้างๆ ต้อม
“เราพึ่งมาถึงเลยต้องไปส่งเมียกับลูกที่บ้านก่อน” คงเดชพูดจบแล้วหันหน้ามามองต้อมที่นั่งนิ่งๆ
คำพูดและท่าทางนิ่งๆ ของคงเดชทำให้ความรู้สึกของต้อมนั้นเปลื่ยนไป ด้วยคิดว่าคงเดชคงจะทำอย่างตอนสมัยเรียน เพียงเสี้ยววินาทีต้อมคิดได้ว่าคงไม่เหมาะและเป็นไปได้อยาก เวลายี่สิบกว่าปีนั้น ความคิดความรู้สึกมีทางพลิกผันกันได้
“ว่าไงต้อมนั่งเงียบเลยนะ” คงเดชหันมามองต้อมด้วยสายตาคงเดิม เขายังจำดวงตากลมโตคู่นี้ได้ ถึงแม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้อมเผลอไผลมีรักใหม่อยู่หลายครั้ง
“สบายดี” ต้อมยิ้มด้วยแววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“เอาล่ะ ไหนๆ วันนี้พวกเราก็มาเจอกันแล้ว มาคุยเรื่องความหลังกันดีกว่า” โบ้ยังคงเป็นหัวหน้ากลุ่มเช่นเดิม ถึงแม้เขาจะมีครอบครัวแล้วแต่ก็ยังมีความทะเล้นทะลึ่งอยู่ไม่เปลื่ยนแปลง
ดวงตาสองคู่แอบมองกันเป็นระยะๆ ความรู้สึกอย่างวันเก่าก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย โดยไม่มีเพื่อนคนไหนล่วงรู้
“มาอย่างไง” คงเดชถามไถ่หลังจากเห็นต้อมเงียบอยู่เช่นเดิม
“มากับอาคม”
“พักที่ไหน”
“โรงแรมในตัวเมืองนี่แหละ”
“อือ กลับวันไหนเหรอ ถ้ายังไปเที่ยวบ้านเราก็ได้นะ”
“คงไม่ได้หรอก อาคมมีธุระต้องกลับวันพรุ่งนี้”
“เสียดายเหมือนกัน พอดีเรากับครอบครัวจะไปเที่ยวเขาค้อ อยากชวนนายไปด้วยจะได้เจอกับลูกๆ เรา” สายตาขอคงเดชรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“นายไปกับครอบครัวจะชวนเราไปทำไม” สายตาของต้อมนั้นก็ไม่ต่างกัน
“สองคนนั่นน่ะ มัวจีบกันอยู่ได้ มาดื่ม ดื่ม” โบ้ยังคงนิสัยเหมือนเดิม พูดตามอย่างใจคิดไม่เปลื่ยนแปลง
คงเดชและต้อมหยุดคุยกันชั่วครู่ ทั้งคู่หันมาดื่มเหล้าอย่างที่โบ้ต้องการ ความรู้สึกของต้อมในตอนนี้ไม่ได้ค่อยมีความสุขเท่าไร ผิดหวังไม่เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้ เพราะเจอแต่ความน่าเบื่อ ทุกคนล้วนคุยเรื่องครอบครัวหน้าที่การงาน เหตุนี้เองทำให้ต้อมอยากจะลุกหนีหายไป ด้วยเขาไม่มีเรื่องราวจะคุยกับเพื่อน ถึงแม้จะคุยเรื่องเก่าๆ มันมีหลายสิ่งที่ต้อมไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“เดี๋ยวเราเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ต้อมหันไปบอกอาคมแต่ไมได้หันหน้ามามองคงเดชแม้แต่น้อย
เมื่อต้อมออกมาจากห้องน้ำเขาควักน้ำมาลูบบนใบหน้า เพื่อนคลายความเครียดและสับสนในตัวเอง เขาจ้องมองหน้าที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นไม่ว่าจะเป็นร่องแก้มหรือส่วนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน
“ต้อม” เสียงเรียกคุ้นเคยดังอยู่ข้างหลัง
ต้อมรีบหันไปมองจึงได้เห็นคงเดชยืนยิ้มอย่างเบิกกว้าง เช่นเดียวกับเขาที่เริ่มมีความสุขขึ้นมาบ้างนิดหน่อย
“รู้สึกนายเปลื่ยนไปเยอะเลยนะ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนแต่ก่อน มีอะไรในใจหรือเปล่าบอกเราได้นะ ถึงอย่างไงเราก็เป็นเพื่อนกัน” คงเดชเดินมายังอ่างน้ำข้างๆ ที่ต้อมยืนอยู่
“เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก เราก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ไม่น่าใช่ นายต้องมีอะไรในใจอย่างแน่นอน”
“ไม่มีจริงๆ”
“อือ เราเชื่อนายก็ได้”
ความรู้สึกทั้งสองถึงแม้จะตรงกัน แต่มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถบอกความในใจกันได้ จึงได้เพียงแต่แสดงความรู้สึกทางสายตาให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“เราเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อไรเหรอนายจำได้ไหม” ต้อมเอ่ยขึ้น
“เราจำไม่ได้ หรือว่าที่พิษณุโลกหรือเปล่า”
“ใช่”
วันนั้นเป็นวันผันแปรทำให้ความรู้สึกความรักของต้อมได้เปลื่ยนไป เขาไม่อยากจะจำวันนั้นเพราะเป็นวันที่พังทลายทำให้ชีวิตได้ย้ายจากไปอยู่ที่อื่น
“เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าพูดถึงมันเลย เราว่าออกไปข้างนอกกันดีกว่า พวกเราเข้ามานานแล้ว” คงเดชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้ง
“อือ” ต้อมพยักหน้า
สองร่างเดินคู่กันมาจากห้องน้ำมายังโต๊ะของพวกเขา เมื่อเดินมาถึงทุกสายตาต่างจ้องมองด้วยความสงสัย แต่ไม่มีเพื่อนคนใดเอ่ยขึ้นมายกเว้นโบ้ ผู้ที่พูดโดยไม่ใคร่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ไปทำอะไรกันในห้องน้ำ”
“ดื่มเหล้าดื่มเบียร์มันก็ต้องปวดฉี่สิ นายนี่พูดไปเรื่อยเหมือนเดิมนะ” คงเดชเริ่มไม่พอใจคำพูดของโบ้
“เอาน่า เพื่อนกันอะไรนิดหน่อยอย่าถือโทษโกรธกันเลย” อาคมรีบห้ามมองไปที่โบ้เหมือนปรามอย่าพูดอะไรขึ้นมาอีก
ต้อมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขามีแค่ยิ้มและกระดกดื่มเหล้าจนเริ่มมึนดูเหมือนจะไม่ไหว ขืนดื่มต่อมีหวังนอนฟุบอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน
“อาคมไปส่งเราหน่อย เรารู้สึกไม่ไหวแล้วนะ” ต้อมมีความรู้สึกมึนหัวหน่อยๆ
“เดี๋ยวเราไปส่งเองก็ได้ เพราะเราต้องรีบกลับบ้านเหมือนกัน” คงเดชเอ่ยขึ้น เพราะเขาต้องรีบไปหาเมียและลูกที่รออยู่
“ดีเลยต้อม เรากำลังติดพันดูเพื่อนสิ กำลังได้ที่เลยนายนี่คออ่อนไม่เปลื่ยนแปลง ตั้งแต่วัยรุ่นยันแก่” อาคมยิ้มนิดๆ ด้วยความเอ็นดู
“ไอ้ต้อมจะรีบกลับไปไหน ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย” โบ้โผงพูดขึ้นมา
“ปีหน้าค่อยว่ากัน เดี๋ยวเราไปฝีกให้คอแข็งมากกว่านี้ก็ได้ แล้วค่อยมาดวลกันครั้งต่อไป”
“แหม มาปากดีตอนจะกลับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะจูบปากให้ดู”
“ตอนนี้ก็จูบได้นะ” อาคมพูดแทรกขึ้น
“ทำได้นะ เพื่อเพื่อน” โบ้ยิ้มนิดๆ
“เอาล่ะ ขอบใจทุกคนมากนะ ปีหน้าเจอกัน” ต้อมโบกมือให้เพื่อนๆ ทุกคน
“โชคดีๆ ไอ้ต้อม ไอ้เดช ปีหน้าเจอกันนะ” เพื่อนๆ หลายคนพูดคนละครั้งสองครั้ง
“โอเค ไปล่ะ” คงเดชลุกขึ้นและเดินออไปจากร้านอาหารพร้อมต้อม
สองหนุ่มใหญ่นั่งอยู่ในรถเก๋งกำลังแล่นไปยังโรงแรม ไม่ได้อยู่ไกลจากร้านอาหารมากนัก ในความรู้สึกทั้งสองอยากพูดความในใจออกมา แต่ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อน จนต้อมไม่สามารถหักห้ามใจได้ เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ามีความเศร้าปนอย่างเจือจาง
“เดชนายมีความสุขดีไหมกับครอบครัว” ต้อมพูดขึ้นลอยๆ โดยไม่หันไปมองหน้าคงเดชที่มีสีหน้านิ่งเฉย
“เรามีความสุขกับลูกเมียเรานะ ถึงจะลำบากทำงานหาเลี้ยง แต่เมื่อได้กลับมาบ้านได้เห็นหน้าลูกเมียหายเหนื่อยเลย”
“นายโชคดีนะ ได้มีครอบครัวที่อบอุ่น”
“ทำไมนายถึงไม่มีกับเขาบ้างล่ะ ปล่อยให้ตัวเป็นโสดอย่างนี้ แก่ตัวไปจะทำอย่างไร” คงเดชขมวดคิ้วจนเป็นปม
“นายไม่น่าถามถ้ามีได้ทำไมเราจะไม่มีล่ะ”
“อือ จริงของนายด้วย”
“ไม่ต้องห่วงเราหรอก เรามีหลานเต็มบ้าน” ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้าเงยหน้าขึ้นพร้อมกะพริบตาถี่ๆ
“ชีวิตเป็นโสดก็ดีนะ อยากทำอะไร อยากไปไหน อยากมีใคร ไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง” คงเดชเม้มปากกัดฟันเล็กน้อย
“แต่มันเหงา ดิ่งเป็นบางครั้งเมื่อต้องอยู่คนเดียว บางครั้งเหมือนจะมีความสุข แต่ภายในใจไม่ได้สุขอย่างใบหน้า”
“ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละ ต้องสู้และดิ้นรนต่อไป”
ต้อมไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ออกมา เพราะถึงหน้าโรงแรมที่เขาพักอาศัยอยู่แล้ว ในช่วงเวลานี้จิตใจของต้อมอยากบอกอะไรหลายอย่าง แต่ใจยังไม่กล้าพอด้วยกลัวความผิดหวัง จึงได้พูดแต่คำพื้นทั่วไป
“ขอบใจมากนะที่มาส่งเรา” ต้อมเอ่ยขึ้น
“นอนคนเดียวเหรอ”
“เปล่านอนกับอาคมเป็นเตียงคู่ ถามทำไมมาด้วยกันก็ต้องนอนด้วยกันสิ” ต้อมพูดแกมประชดเพราะอดใจไม่ไหว กับความนิ่งเฉยเย็นชาของคงเดช
“ถามดู คือ” คงเดชอ้ำอึ่ง
“คงอีกนานกว่าอาคมจะมาบางทีอาจนอนค้างบ้านของโบ้ก็ได้” เสียงอันแห่บด้วยฤทธิ์เหล้าดังขึ้น พร้อมกันใบหน้าค่อยๆ หันมามองคงเดช
ดวงตาอันเล็กหรี่มองดวงตากลมโตคู่ตรงหน้าอย่างมีความหวัง นัยน์ตาโตคู่นั้นมองกลับสะท้อนสองใจแต่มีความเจ็บปวดอยู่ไม่ใช่น้อย
“ต้อม นายยังเหมือนเดิมไม่เปลื่ยนเลยนะ” ริมฝีปากหนาเม้มกัดแน่นพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น
“เราก็เป็นแบบนี้แหละ ไปคุยกันต่อที่ห้องไหม” ต้อมหันหน้ากลับมองตรงที่มีแสงไฟส่องสว่างเป็นระยะทางไกลสุดลูกตา
“เราต้องกลับไปหาลูกหาเมียคงอยู่ไม่ได้หรอก และอีกอย่างไม่คงไม่เหมาะอีกแล้ว” เมื่อคงเดชพูดจบก้มหน้าลงต่ำ
“เราเข้าใจนาย เราไปก่อนนะ ปีหน้าเจอกันใหม่”
“อย่างไงเราก็คุยกันทางไลน์ก็ได้นิ”
“อือ ตามนั้นอย่างที่นายต้องการ”
ต้อมหลับตาพริ้มถอนหายใจพร้อมกับความผิดหวัง และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกันที่คิดสิ่งไม่เหมาะสม มือน้อยๆ ค่อยๆ เปิดประตูออก
“เดี๋ยวก่อนต้อม” คงเดชจับมือที่เริ่มไม่บอบบางเพราะทำสวนอยู่หลายปี
เพียงต้อมหันหน้ามาเขารับสัมผัสริมฝีปากของคงเดชแถวแก้ม ใจหนึ่งเต้นระรัวอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป อีกใจหนึ่งอยากตัดขาดวิ่งเข้าไปยังโรงแรม สองจิตใจสองความคิดของคนสองคน ได้อยู่ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ
ต้อมนั่งคิดถึงเหตุการณ์รักครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้าน หลังจากวันนี้ด้วยความอับอายและพ่อกับแม่ที่แก่ชรามากแล้ว ต้อมจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมายังบ้านเกิดของตัวเอง ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินในส่วนมะม่วงของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกขานดังมาแต่ไกลต้อมจึงลุกขึ้นยืนมองตรงใต้ต้นมะม่วง ซึ่งคนที่เดินมาหาไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนรักนั่นเอง “อาคมนี่เองนึกว่าใครมาหาเราถึงที่นี่เลย”ต้อมยิ้มให้อย่างใคร่ยินดี “ปัก ปัก ปัก”อาคมรัวหมัดใส่ใบหน้าของต้อมไม่ยั้งจนล้มลงกองนอนกับพื้น “นายต่อยเราทำไมอาคม”ต้อมใช้มือกุมปากไว้ที่เลือดออกมานองอุ้งมือ “ไอ้ต้อมกูรักมึง ถึงมึงจะเป็นอย่างไรแบบไหนก็รักมึงแบบเพื่อน ไม่เคยรังเกียจมึงเลยแม้แต่น้อย ทำไมมึงทำกับกูได้ลงคอ”อาคมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เราไปทำอะไรให้นาย”ต้อมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน “มึงยังมีหน้ามาพูดอีก เมื่อคืนมึงทำอะไรลูกกู”เมื่ออาคมพูดจบก็หันหน้าไปทางอื่น “อ่อ เมื่อคืนอาคารมานอนกับเราเอง”ต้อมพูดพาซื่อ “เพลี้ยะ
สองสามวันมานี้เรื่องราวของต่อและต่อมไมได้มีปัญหาอะไร เพราะต้อมไม่ได้ให้เงินต่อแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นเหตุให้ต่อไม่สามารถที่จะไปเมาที่ไหนได้อีก แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงด้วยที่ต่อยังไม่ได้งานทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมาตกที่ต้อมทั้งหมด ในค่ำคืนนี้ทั้งต่อและต้อมต่างนอนนิ่งไม่คุยกันเท่าไรนัก แต่ในความรู้สึกของต้อมในตอนนี้ก็รู้สึกที่ดีด้วยต่อไม่ได้เมามาย เพราะทำให้สบายใจนอนอิ่มหลับสนิทมาหลายคืน แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายอะไรกันอย่างครั้งก่อนๆหน้านี้ “ไม่ได้ดื่มเหล้ามันเลยทำให้มีอารมณ์”ต่อเอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าต้อมด้วยความใคร่อยากขึ้นมา “แล้วไง”ต้อมพูดขึ้นลอยๆถึงแม้จะอยากมีอะไรกับต่อ “ไม่อยากเหรอ” “ไม่อยาก” “แต่เราอยาก” “ก็ทำเองสิ” “อยากให้นายทำได้ไหม ถือว่าให้ของขวัญเราที่ไมได้เมา และ อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะไปหางานแล้วนะ” “ให้ทำอะไร” ต้อมพูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อต้องการให้ทำอะไร แต่ก็แกล้งไปอย่างนั้นเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน สายตาของต้อมจึงได้เหล่ไปมอง แล้วก็เห็นในสิ่งที่เคยเห็นเป
ค่ำคืนดึกดื่นเงียบสงัดต้อมได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านเห่า จึงแอบส่องทางหน้าต่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาคารลูกชายอาคมที่เป็นเพื่อนสมัยเรียน “อาต้อมครับเปิดประตูให้ผมหน่อย” ต้อมไม่สามารถที่จะให้อาคารอยู่หน้าบ้านได้เพียงลำพัง จึงได้เดินออกไปเปิดประตูเพื่อสอบถามทำไมมาตอนดึกขนาดนี้ เมื่อต้อมเดินไปถึงก็ได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจตรงหน้า “มีอะไรเหรอ” “เดี่ยวค่อยบอกผมขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม ยุงกัดผมจนคันไปหมดแล้วครับ” ต้อมไม่สามารถที่จะปฏิเสธเหตุการณ์และคำของจากอาคารได้ จึงเปิดประตูให้เข้ามาอย่างง่ายดายและพาขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง “ห้องอาต้อมใหญ่จังเลย ใหญ๋กว่าห้องผมที่บ้านพ่ออีก”ต่อนั่งลงบนเตียงนอน เพราะที่ห้องของต้อมไม่ได้มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งแต่อย่างใด “มาหาอามีธุระอะไรหรือเปล่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วมาอย่างไงเนี่ยไม่เห็นมีรถเลย อ้าว กระเป๋าเสื้อผ้าด้วยยังไม่ได้กลับบ้านเหรอ”ต้อมมีท่าทีตกใจพอสมควร “ถามผมหลายอย่างเลยจนผมไม่อยากจะตอบอะไรสักอย่าง แต่ในเมื่ออาต้อมถามผมก็จะตอบให้หมดอาต้อมจะได้ไม่คาใจในตัวผมไงครับ”
ด้วยเหตุที่ต่อได้พักงานหลายวันจึงถูกให้ออก สาเหตุนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักเท่าไร เพราะมีเหตุร้ายแรงกว่านี้อีก ด้วยต่อได้เมามายไปทำงานจึงเกิดภาพที่ดูไม่ดีหลายครั้ง ทางนายจ้างจึงต้องตัดใจเลิกจ้าง เพราะด้วยความประพฤตินั้นเกินเยียวยา “เราบอกนายหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกดื่มเหล้า เห็นไหมโดนไล่ออกจากงานต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ”ต้อมนั่งลงบนเตียงด้วยอารมณ์กลัดกลุ้ม ส่วนต่อนั้นหากลุ้มใจไม่นอนเล่นโทรศัพท์มือถือย่างสบายใจสบายอารมณ์ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแม้แต่น้อย “เอาน่า ตอนนี้ถือว่าพักผ่อนเดี๋ยวเราก็ออกไปหางานเองนั่นแหละนายไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” “ให้มันจริงเถอะ”ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” ต้อมไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก เรพาะขืนพูดอาจมีปากเสียงกันได้ และอีกอย่างหนึ่งไปกดดดันคนตกงานมันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยดี ด้วยเป็นครั้งแรกที่ต่อไม่ได้ทำงานซึ่งแต่ก่อนหน้านี้ขยันไปทำงานทุกวัน ได้เงินมาก็แบ่งให้ใช้จ่าย ไม่เหมือนตอนนี้แม้แต่เงินก็ไม่มีให้ต้อมแม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้อยู่กินกับต้อมทั้งนั้น “อืม” “ดีมากที่รัก ขอเง
ความรักของต้อมกับต่อคืบหน้าไปได้พอสมควร ต่างรักใคร่กันมีอะไรเผื่อแผให้แก่กันไม่ขาด แต่มีอยู่สิ่งที่หนึ่งต้อมเริ่มรู้สึกระอาในเมื่อใจยังรักจึงต้องทน ถึงค่ำคืนต่อจะเมามายไม่มีวันหยุดพักเช่นเดียวกันกับตอนนี้ “เมื่อไรนายจะเลิกดื่มเหล้าซะที นายดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเหล้า”ต้อมนั่งบนเก้าอี้มองต่อนอนเกือกกลั้วกองกับพื้น “ใครเมา อย่ามาพูดแบบนี้นะ”ต่อพยายามลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาต้อม พร้อมกับลากขึ้นไปบนเตียงนอน “ปล่อยนะเราเหม็นเหล้า”ต้อมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของต่อ “อ่อ เดี๋ยวนี้รังเกียจเรามากเลยนะ” “เปล่า แต่นายเมาเกินไป”ต้อมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อยังรักอยู่ จำใจต้องฝืนทนต่อไปอีก “ได้เลย ถ้างั้นคืนนี้นายอยู่คนเดียวก็แล้วกัน เราจะออกไปเที่ยวข้างนอก” เมื่อต่อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป อย่างไม่เหลียวหลังมามองต้อมแม้แต่น้อย จนต้อมได้แต่ถอดถอนหายใจถึงแม้จะรู้สึกสบายกายและใจเมื่อได้อยู่คนเดียว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับต่อ เพราะไปในสภาพเมามายอย่างนั้น แต่ต้อมก็พยายามทำใจแข็งฝืนทนความคิด
พักหลังอาคารได้มาหาต้อมบ่อยๆบางครั้งก็อยู่ทั้งวันกว่าจะได้กลับใช้เวลานานพอสมควร วันนี้เช่นเดียวกันเป็นวันอาทิตย์ซี่งอาคารต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ยังไม่วายแวะเวียนเข้ามาหาต้อมอยู่ก่อนจากไปอีกหลายวัน “มาหาอาทำไมแต่เช้า วันนี้ไม่ไปกรุงเทพเหรอ”ต้อมนั่งลงตรงหน้าอาคารซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วตรงเรือนชานหน้าบ้าน “วันนี้ผมจะไปแล้วไง ก็อยากมาเห็นหน้าอาต้อมสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ”อาคารยิ้มอย่างมีความสุข “มันก็ดี เดี๋ยวไปไม่ทันรถหรอกจะทำไง” “ถ้าไปไม่ทันก็มาอยู่กับอาต้อมไงครับ” “จะมาอยู่กับอาได้ไงบ้านของอาคารก็มี” “อยู่กับพ่อกับแม่ไม่เหมือนอยู่กับอาต้อมเลย ผมอยู่กับอามีความสุขมากที่สุด อยากหยุดเวลาทั้งหมดไว้ที่นี่” “พูดเป็นนิยายไปได้ คนเราต้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบนะอาคาร อย่าเอาชีวิตมายึดติดกับอาเลย” สาเหตุที่ต้อมพูดเช่นนี้ออกไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่อาคารได้ทำให้นั่น สามารถบอกได้เป็นลางๆว่าคิดเช่นไร แต่ยังเผื่อใจว่าอาจคิดไปเองบ้างนิดหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ต้อมจึงไม่อยากที่จะให้มีความสัมพันธ์มากไปกว่