“ฉันรับรองได้แค่ว่าจะไม่เป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้กับโจวอวี้ชวนเอง แต่ถ้าเขาคาดเดาได้ หรือรู้จากปากคนอื่น ฉันก็ควบคุมไม่ได้”“แกไม่พูด ฉันไม่พูด แล้วเขาจะไปรู้มาจากไหน?”เมิ่งชิงหว่านไม่ยอมแก้ไขอยู่แล้ว “เวินซ่ง เงินของตระกูลโจวของเราก็ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ...”คำพูดเธอยังไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ของเวินซ่งก็ดังขึ้นทันใดหน้าจอแสดงสายเรียกเข้า โจวอวี้ชวนทันทีที่เธอรับสาย เสียงของโจวอวี้ชวนก็ดังขึ้นมา “เสี่ยวซ่ง ทำไมถึงมีคนลือเรื่องการหย่าของเรา?”เวินซ่งไม่ได้จงใจหลบเลี่ยงเมิ่งชิงหว่าน คำพูดนี้ทั้งสองได้ยินชัดเจนเมิ่งชิงหว่านขมวดคิ้ว เตือนเธอว่าห้ามบอกความจริงเธอเม้มปากเบา ๆ น้ำเสียงไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อย “ใครเป็นคนปล่อยข่าว? ฉันจะหย่าคนเดียวได้ยังไง?”“เธออยู่ที่ไหน?”“อยู่ที่บ้านใหญ่กำลังดื่มชากับคุณแม่ค่ะ” เวินซ่งตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมเมื่อได้ยินดังนั้น โจวอวี้ชวนก็อุ่นใจขึ้นบ้าง พลางเหลือบมองเวลา “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันทำงานเสร็จจะไปรับเธอกลับบ้านนะ”“ตกลง”เวินซ่งรับคำอย่างว่าง่าย หลังจากวางสายก็มองไปยังเมิ่งชิงหว่าน “คุณเห็นไหมคะ ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนพูด”“...”เมิ่งชิงหว่านสูด
“ใช่แล้ว”หญิงสาวคนนั้นเพิ่งมารู้เรื่องก็คราวก่อนที่ได้ยินที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเวินซ่งกับเส้าหยวนฉือ จึงเบาเสียงลงพูดว่า “แต่ว่า พี่เสี่ยวซ่งคงไม่อยากให้คนรู้มากนักหรอก ฉันเองก็บังเอิญได้ยินมา”“พวกเธออย่าเอาไปบอกใครนะ”“สบายใจได้เลย”เสิ่นหมิงถังตบไหล่เธอ แล้วรีบลุกขึ้นอย่างแทบรอไม่ไหว “ฉันอิ่มแล้ว พวกเธอกินกันตามสบายนะ”เธอเดินออกจากโรงอาหาร ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปโทรศัพท์หาโจวอวี้ชวนทันที“อวี้ชวน! เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องหนึ่งมา ยังไม่แน่ใจว่าจะบอกคุณดีไหม แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรปิดบังคุณ…”โจวอวี้ชวนกำลังประชุมอยู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องอะไรเหรอ?”“เวินซ่งกับเจียงสวินมู่ ความสัมพันธ์ดูท่าจะไม่ธรรมดาจริง ๆ”โจวอวี้ชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสิ่นหมิงถังเอ่ยขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาว่า เธอบอกกับคนในคลินิกกับปากตัวเองว่า เธอหย่าแล้ว”“ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ตอนที่ฉันได้ยินครั้งแรก ก็ตกใจเหมือนกัน”โจวอวี้ชวนลุกขึ้นยืนทันที แล้วเดินออกจากห้องประชุม “เธอว่าอะไรนะ?”“อวี้ชวน…”เสิ่นหมิงถังเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “คุณอา
ซางอวี้เบะปาก “ฉันบอกว่าไม่ได้ เธอก็จะไม่เข้าร่วมแล้วเหรอ?”เวินซ่งไม่แน่ใจความหมายของเขา แต่เพราะจะเข้าร่วมโครงการ ก็ไม่ควรยั่วให้เขาโมโห “นี่คือโครงการที่อยู่ในนามของคุณ ฉันต้องเคารพความเห็นของคุณสิ”หลังจากแต่งงานกับโจวอวี้ชวน ความสัมพันธ์กับเขาก็ห่างเหินยิ่งกว่าคนนอกเสียอีกบรรยากาศเงียบงันไปหนึ่งวินาที ซางอวี้หัวเราะเยาะในอกเบา ๆ แววตาเย็นเยียบไร้ซึ่งความอบอุ่น “ถ้าอย่างนั้นเธอก็อย่ามาเลย”พูดจบก็เปิดประตูรถ ก้าวขายาว ๆ เดินจากไปทันทีเวินซ่งอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าถ้อยคำไหนของตนไปยั่วให้เขาโกรธ ถึงกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ไม่ไปก็ไม่ไป!แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี คืนนั้นตอนหลับ กลับฝันว่าตัวเองกำลังตอแยซางอวี้ “ซางอวี้ ถ้าคุณไม่ให้ฉันไป ฉันจะไม่พูดกับคุณอีกเลย!”หางตาเรียวยาวของซางอวี้เลิกขึ้น “เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?”“ฉันผิดไปแล้วค่ะ พี่ชาย!”เวินซ่งสะดุ้งตื่นจากความฝัน มองเพดานมืดมิด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงผ่านไปสักพักใหญ่ กว่าจะตั้งสติได้เธอกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกันมานานแล้ว จะไปตามตื๊อไม่มีเหตุผลเหมือนสมัยเด็กได้อย่างไรเธอเปิดไฟ ไปที่ห
ในเมื่อต้องการหลบหน้าเจียงสวินมู่ แสดงว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วเวินซ่งขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ประธานซาง ฉันจำไม่ได้ว่าระหว่างเรามีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันส่วนตัว”ซางอวี้ชายตามองเธอ หางตาและคิ้วเต็มไปด้วยความเย็นชา “เสินเย่ให้ฉันเอาของชิ้นหนึ่งมาคืนเธอ ไม่เอาแล้วเหรอ?”“…”เวินซ่งไม่พูดอะไรต่อ พลางมองไปยังเจียงสวินมู่ “พี่สวินมู่ พี่ไปก่อนเถอะ”เจียงสวินมู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่คิดว่าสองคนนี้อย่างน้อยก็เคยเป็นพี่น้องกัน ซางอวี้คงไม่ทำเรื่องเกินเลย จึงเดินไปก่อนพอเขาไป เวินซ่งก็ยื่นมือไปหาซางอวี้ “ของอะไรเหรอคะ?”ซางอวี้แม้แต่เปลือกตาก็ไม่กระดิก มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า แล้วเดินตรงออกไปข้างนอก…เวินซ่งนึกไม่ออกว่าตัวเองทิ้งอะไรไว้กับเสินเย่ ได้แต่จำใจตามเขาไปไม่รู้ว่าชายหนุ่มจำรถของเธอได้อย่างไร หยุดยืนลงตรงหน้ารถ ดึงที่จับประตู เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเชยตาขึ้นมองเธอ“…”เวินซ่งสูดหายใจลึก “คืนของต้องขึ้นรถด้วยเหรอคะ?”“รถของฉันไปส่งพี่สวินมู่ของเธอแล้ว เธอไม่ไปส่งฉันหน่อยเหรอ?”เวินซ่งคิดในใจ ฉันก็ไม่ได้ให้คุณไปส่งเสียหน่อยแต่เมื่อนึกถึงไม่กี่วันก่อนที่บ้า
“ถึงตอนนั้น พวกเราคงต้องไปที่ซางซื่อกรุ๊ปบ่อย ๆ…”เขาพูดพลางชำเลืองมองสีหน้าของเวินซ่งอย่างลังเลกลุ่มบริษัทซางซื่อกรุ๊ปมีอาคารอยู่สองหลัง ห้องทดลองและสถาบันวิจัยล้วนอยู่ในอาคารนั้น แม้โอกาสที่จะเจอซางอวี้นั้นมีไม่มากนัก แต่ก็ยังมีอยู่ดีเวินซ่งเผยรอยยิ้มจนใจ “ทำไมพี่ถึงเหมือนอาจารย์จัง?”เธอก็วางตะเกียบลง แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “พี่สวินมู่ พี่วางใจได้ ฉันแยกแยะออก จะไม่ให้เรื่องส่วนตัวมากระทบงานเด็ดขาด…”ชั้นสองของร้านอาหาร ประตูห้องส่วนตัวบานหนึ่งเปิดอยู่ ชายหนุ่มหน้าประตูเอามือใหญ่ที่มีกระดูกนิ้วชัดเจนเท้าลงบนราวบันได ดวงตาดำมืดคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังชายหญิงคู่หนึ่งที่อยู่ชั้นล่างหญิงสาวที่ต่อหน้าเขาจะทำสีหน้าห่างเหิน เวลานี้กลับดูเชื่อฟังเรียบร้อย ไม่รู้ว่ารับปากอะไรกับผู้ชายอีกคน“ซางอวี้ นายมองอะไรอยู่น่ะ? ไม่เข้ามาสักที”ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกันเดินออกมา ชำเลืองมองลงไปตามสายตาของเขา แล้วพูดโดยไม่สำรวม “อ๋อ ดูน้องสาวนายอยู่นี่เอง”“...ไปให้พ้น”ซางอวี้เหล่มองเขา พลางล้วงกระเป๋ากางเกงเดินลงชั้นล่างอย่างไม่ใส่ใจ “ที่เหลือพวกนายก็คุยกันต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ”“ได้ งั้น
เธอไม่ได้คิดจะให้โจวอวี้ชวนมารับเธอหลังเลิกงานเลยแต่พอเห็นภาพนี้ ก็อดรู้สึกเยาะเย้ยเล็ก ๆ ไม่ได้โจวอวี้ชวนค่อย ๆ ผลักผู้หญิงในอ้อมแขนออก ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เพื่อนร่วมงานสายตาดีสองสามคนก็หัวเราะล้อเลียนขึ้นมา“พี่หมิงถัง นี่แฟนพี่ใช่ไหม?”ตอนกลางวันทำงาน เสิ่นหมิงถังก็แอบอวดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอยู่ตลอดทั้งวันแล้วว่ามีแฟนที่สูงใหญ่ หล่อเหลา อ่อนโยน แถมยังรวยมากรถสปอร์ตคันนั้นเมื่อเช้า ก็เป็นแฟนหนุ่มที่มอบให้ตอนนี้ดูแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่ได้โป้ปดเลยสักนิด เป็นหนุ่มสูงหล่อรวยอย่างแท้จริงเอ่อไม่สิ ไม่ใช่ระดับเดียวกับหนุ่มสูงหล่อรวยทั่วไป บุคลิกก็ดีมากเช่นกัน ทั้งสง่างามและสูงส่งเสิ่นหมิงถังปัดผมไปไว้หลังใบหูด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย ก่อนมองไปยังโจวอวี้ชวน “อวี้ชวน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันเอง”โจวอวี้ชวนขมวดคิ้วแน่น พอเงยหน้ามองไปอีกที เวินซ่งก็เดินออกไปไกลแล้ว!เขาไม่ได้ตอบอะไร ทุกคนคิดว่าเขามีนิสัยเก็บตัวอีกอย่าง เจ้าพ่อที่ร่ำรวยขนาดนี้ ไม่ชอบคุยกับคนอื่นก็เป็นเรื่องปกติพอเสิ่นหมิงถังกับโจวอวี้ชวนขึ้นรถไปแล้ว เพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนก็อิจฉาแทบบ้า“