“อาพาหนูมาที่นี่ทำไม” ฉันพูดเสียงสั่นเมื่ออาไรเฟิลจูงมือเดินขึ้นมาบนห้อง ถ้าเดาไม่ผิดมันน่าจะห้องนอนของอา
“อาแค่อยากอยู่กับหนูสองต่อสอง” น้ำเสียงเย็นเยือกชวนขนลุก ทำเอาตัวเล็กถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว หัวใจดวงน้อยตกวูบเมื่อใบหน้าหล่อคมโน้มเข้ามาใกล้
“อาคะ หนูกลัว อย่าทำอะไรหนูเลย” สองเท้าถอยหนีอย่างอัตโนมัติเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
“อาไม่ได้จะทำอะไร อาแค่อยาก...” สายตาดุดันคู่นั้นมองมาที่ริมฝีปากบางที่สั่นระริกด้วยความกลัว
“ภูพิงค์อยากกลับบ้าน อาอย่าทำอะไรภูพิงค์เลยนะ” ฉันร้องไห้ออกมา เมื่อถอยหนีจนหลังชนผนังห้อง แต่อาไรเฟิลกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้จนประชิดตัว ถูกดันติดผนังห้อง
“สิ่งที่อาไม่ชอบที่สุดคือน้ำตาหนู รู้มั้ยเวลาที่หนูร้องไห้อาเจ็บ....”
หมับ!
มือหนาจับมือเล็กทาบลงบนอกตัวเอง
“ไม่ร้องนะเด็กดี อาแค่อยากจูบหนู อาสัญญา อาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าจูบ ถึงอยากจะทำมากแค่ไหนก็ตาม”
“เฮือก!! อึก!!” คนตัวเล็กสะดุ้งตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อริมฝีปากอุ่นแตะจูบซับน้ำตา สัมผัสมันอ่อนโยนและนิ่มนวลมาก แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้ความกลัวหายไปไหน ยิ่งหวาดกลัวกับการกระทำที่อาไรเฟิลค่อย ๆ เอาปลายจมูกแตะลงแก้มใส เกลี่ยคลอเคลียมันอยู่แบบนั้น ตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“ฮื่อ” เสียงเล็กร้องท้วงในลำคอเมื่อรู้สึกอุ่นที่ริมฝีปาก ก่อนมันจะเริ่มชาเมื่ออาไรเฟิลเริ่มจูบแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“อืม” คนตัวโตครางออกมาอย่างขัดใจเมื่อริมฝีปากบางเม้มแน่น ปิดปากสนิทไม่ยอมให้เรียวลิ้นร้อนที่พยายามสอดดันเข้ามาภายในโพรงปากเล็ก
จ๊วบ!!!
“ฮื่อ จะ...ฮื่อ” สองมือเล็กดันแผงอกแกร่งเมื่ออาไรเฟิล จูบบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างแรง และเขาก็ใช้โอกาสนั้นสอดดันเรียวลิ้นร้อน เขามาดูดดึงลิ้นเล็กอย่างอุกอาจ
มือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง ฉันทั้งผลักทั้งดันแต่มันกลับไม่เป็นผล อาไรเฟิลยิ่งกอดรัดแน่นกว่าเดิม
“ฮื่อ” ฉันร้องท้วงเมื่อกำลังจะขาดอากาศหายใจ แต่ดูเหมือนอาไรเฟิลเขาจะไม่ได้สติ กลับยิ่งจูบดูดเม้มริมฝีปากบางแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนมันชาปวดบวมไปทั่วทั้งบริเวณ ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ขัดขืนเมื่อมือหนาสองข้างจับประคองใบหน้าเล็ก ไม่ให้หันหนี
ตุ๊บ ตุ๊บ
สองกำปั้นน้อย ๆ ทุบลงที่แผ่นหลังกว้าง แต่ดูเหมือนอาไรเฟิลเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไร เขายังคงจูบบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับที่อ่อนระทวยไปทั้งตัวเมื่อกำลังจะขาดอากาศหายใจ สองมือเล็กจับท่อนแขนแกร่ง ร้องท้วงในลำคออย่างอ้อนวอน น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว ทำไมเขาถึงได้น่ากลัวมากถึงขนาดนี้
“เฮือก!” ฉันที่กำลังจะขาดอากาศหายใจตาย สูดลมหายใจเข้าอย่างแรงเมื่อริมฝีปากหยักค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“......” อาไรเฟิลไม่พูดอะไร เขาเอาแต่มอง มือหนาเกลี่ยเขี่ยแก้มไปมา
พรึบ!!
“ฮื่อ อะ...อา จะทำอะไรปล่อยภูพิงค์” ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวสุดใจ เมื่อตัวเล็กถูกยกตัวลอยเหนือพื้น เดินตรงไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่
พรึบ!!
“ฮื่อ…อาไรเฟิล ปล่อยหนูนะ ไหนอาบอกว่าจะไม่ทำอะไรภูพิงค์ไง” คนตัวเล็กใต้ร่างได้แต่ร้องไห้สะอื้นออกมาด้วยความหวาดกลัว ถูกวางนอนราบลงกับเตียง ก่อนร่างหนาจะทาบทับลงมา ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้หนีเมื่อมือสองข้างถูกกดไว้แน่นด้วยฝ่ามือใหญ่ของเขา
“อารักภูพิงค์ รักตั้งแต่แรกเจอ รักทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอหน้า”
“ฮื่ออาคะ...หยุดนะ ปล่อยหนู ปล่อยนะ! ปล่อย!!!” ฉันร้องไห้แทบขาดใจ เมื่อใบหน้าหล่อคมก้มลงซุกไซ้ซอกคออย่างหื่นกระหาย ดวงตาอาไรเฟิลมันแดงก่ำ เขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับปีศาจ ผีห่าซาตาน น่ากลัวกว่าในหนังที่เคยดูอีก
“กรี๊ด!! ฮื่อ…ปล่อยนะหนูเจ็บ” เสียงหวานกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อริมฝีปากหนากดจูบดูดทำรอยลงที่คอระหงอย่างแรง มันเจ็บจี๊ดเหมือนเนื้อจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ฮื่อ…อาไรเฟิลหยุดนะ” ฉันพยายามพูดเรียกสติอาไรเฟิล แต่เขากลับไม่ฟัง เขาปล่อยมือก่อนมือหนาจะลูบไล้ลงไปที่เรียวขา พยายามล้วงเข้ามาใต้กระโปรงนักเรียน
“อาไรเฟิล ฮื่อ…” ฉันดิ้นพยายามขัดขืน แต่อาไรเฟิลตอนนี้เขาขาดสติไปแล้ว มือเล็กจับมือหนาพยายามดันคนตัวโตออกห่าง แต่เขากลับไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
“อืม…” เขาครางออกมาอย่างพอใจเมื่อกลีบปากอุ่นประกบปากจูบดูดเม้มริมฝีปากบางอีกครั้ง มือหนาเลื่อนขึ้นมาบีบขย้ำหน้าอกอย่างหนักหน่วง
“ฮื่อ…” ตัวเล็กดินทุรนทุรายปานจะขาดใจตาย ร้องไห้สะอื้นขอความเห็นใจจากคนตัวโตที่ไม่ได้สติ นี่เหรอที่เขาบอกว่ารัก รักแล้วทำแบบนี้เหรอ ฉันหยุดนิ่งปล่อยให้เขาจูบ บีบขย้ำตามที่เขาต้องการ
“ฮึก ฮื่อ” ฉันร้องไห้ตัวสั่น ก่อนอาไรเฟิลจะหยุดทุกการกระทำ ริมฝีปากหนาค่อย ๆ ถอนจูบ พร้อมลมหายใจติดขัดที่ไม่เป็นจังหวะ
“...เฮ้อ...อาขอโทษที่อาขาดสติแบบนี้” อาไรเฟิลพ่นลมหายใจแรง ๆ รดต้นคอแต่เขายังคงไม่ยอมลุกออกจากตัว มือหนาค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมากุมมือเล็กที่สั่นเทา
สติเขาค่อย ๆ กลับมาพร้อมกับความกลัวของฉันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮึก อาใจร้าย ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรภูพิงค์ อาโกหก หนูอยากกลับบ้าน” ฉันพูดเสียงสะอื้น
“ขออาอยู่แบบนี้ก่อนได้มั้ย อาอยากอยู่กับภูพิงค์” เขาพูดเสียงอู้อี้ ริมฝีปากร้อนแตะจูบที่ซอกคออย่างแผ่วเบา นั่นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำของคนตรงหน้ามากขึ้น เขามันโรคจิต!
“อาอย่าทำให้หนูรังเกียจอาไปมากกว่านี้ได้มั้ย อารู้มั้ยสิ่งที่อาทำกับหนูมันทำให้หนูรู้สึกขยะแขยงอามากแค่ไหน!” ฉันพูดออกไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ภูพิงค์!!” อาไรเฟิลตะเบ็งเสียงใส่ จ้องหน้าฉันอย่างไม่พอใจ
“หนูพูดอย่างที่หนูรู้สึก อาอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเพราะอาคงทำเรื่องพวกนี้ประจำ แต่หนูไม่ใช่ผู้หญิงที่อยากจะนอนกับอาเหมือนผู้หญิงที่อาพาขึ้นเตียง!!” ฉันพูดตามความรู้สึก
“อาจะไม่ถือสาสิ่งที่หนูพูดออกมาเมื่อตะกี้ เพราะถือว่าหนูยังไม่รู้จักอา แต่ถ้าหลังจากนี้ยังพูดกับอาแบบนี้อีก อา... คงจะไม่ปล่อยให้หนูมาด่าอาแบบนี้อีก” อาไรเฟิลพูดอย่างข่มอารมณ์ สีหน้าท่าทางเขาดูไม่พอใจกับสิ่งที่ฉันพูดออกไป พวกรับความจริงไม่ได้ก็แบบนี้สินะ พวกผู้ชายเจ้าชู้
“ทำไมคะ อาจะฆ่าหนูเหรอ หรืออาจะให้ลูกน้องอาที่อยู่หน้าบ้านมาทำร้ายหนู!” ฉันพูดออกไปอย่างเหลืออด ความกลัวทั้งหมดมันหายไป... จ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรง ทำไมฉันต้องยอมตกเป็นเหยื่อให้เขาด้วย แล้วเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำแล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาทำร้าย มารังแกฉันแบบนี้
อาไรเฟิลขบกรามแน่น จ้องหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง เอาสิอย่างมากก็แค่ตาย ถ้าเขาทำอะไรฉัน ฉันยอมตายซะยังจะดีกว่าต้องเป็นเมียคนแก่ อายุน้อยกว่าพ่อไม่กี่ปี
“หึหึ... สมแล้วที่เป็นลูกมาเฟียแห่งวงการมายา แบบนี้สิ... ค่อยสมเป็น ภูสิตา เมีย ริชาร์ค” แต่อยู่ ๆ อาไรเฟิลกลับแค่นหัวเราะออกมาอย่างพอใจ ก่อนเขาจะลุกออกจากตัวแล้วเดินออกจากห้อง ท่ามกลางความงุนงงของฉัน?
2ปี ผ่านไป“หนูบอกแล้ว อยู่บ้านรับรองพ่อแม่ไม่มีเหงา”“ฮึ...เรานี่มันอ้อนเก่งจริง ๆ ” พ่อพูดยิ้ม ๆ“ก็พ่อจ๋า แม่จ๋า ทำงานมามากพอแล้ว ควรหยุดได้แล้วค่ะ” คนตัวเล็กพูดเสียงอ้อน กอดพ่อไว้แน่น หลังจากที่อ้อนอยู่นานกว่าพ่อกับแม่จะยอมเกษียณตัวเอง ยอมอยู่บ้านเล่นกับหลาน ๆ แล้วปล่อยให้พี่ภูผาและขุนศึกดูแลงานต่อ ถึงพี่ภูผาจะวุ่น ๆ เพราะต้องดูแลงานให้บ้านลุงกันต์ แต่ก็ยังมีขุนศึก ที่ถึงจะเที่ยวดื่มแทบทุกวันแต่เรื่องงานน้องเอาอยู่ ทำงานเด็ดขาดไม่ต่างอะไรจากพ่อตอนหนุ่ม ๆ เลยอันนี้แม่พูดเอง“แล้วนี่อาเขาไปไหน แม่ไม่เห็นแต่เช้าแล้วนะ”“ห้องทำงานค่ะ ช่วงนี้อาเขางานยุ่ง หนูเลยต้องกันเด็ก ๆ ไม่ให้ไปกวนพ่อ” ฉันมองไปที่สามแสบที่กำลังวิ่งเล่นกัน โพนี่ตั้งแต่สเตฟานกลับไปก็กลับมาแสบซนเหมือนเดิม ยิ่งมีตัวแสบอย่างพูมามาเพิ่ม ความซนไม่ต้องพูดถึง ขุนศึกยังต้องยอม ส่วนมินนี่สายหวาน ชอบไปกองละครกับป๋าศึกเขา เห็นขุนศึกบอกน้องแสดงเก่ง ยิ่งฉากร้องไห้ พอสั่งเท่านั้นน้ำตานี่ไหลอาบสองแก้ม ตอนนี้เลยกลายเป็นขวัญใจเหล่าบรรดาคนในกอง เอ็นดูน้องกันใหญ่ และถ้าลูกชอบฉันกับอาก็คุยกันแล้วจะสนับสนุนไม่บังคับ แต่โพนี่นี่สิ ซนอย่าง
“โพนี่ ลูกอย่าวิ่ง เดี๋ยวหกล้ม”“อุนแม่เดินช้า โพนี่จะไปหาพ่อ!”“อุนพ่อ อุนพ่อคะ”“จริง ๆ เลยเด็กคนนี้” ฉันได้แต่ส่ายหัว ท้องก็โตจะให้วิ่งตามลูกก็ไม่ได้ ดีนะที่มีขุนศึกคอยดูแลมินนี่ที่ยังเล่นกับพี่ ๆ อยู่ที่สวนหลังบ้าน แต่โพนี่ นี่สิอยู่ก็บอกจะไปหาพ่อ แล้วอาเขาก็กำลังทำงานอยู่ นี่ยังไม่ออกจากห้องทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว“ได้...ถ้ามีอะไรค่อยรายงานกูอีกที แค่นี้”“อุนพ่อ” เด็กหญิงตัวกลมวิ่งเข้าไปกอดพ่อ ที่ยังคุยงานอยู่“ว่าไงครับคนเก่ง” อารีบวางมือถือ แล้วอุ้มลูกกอดหอมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร“พอดีโพนี่อยากมาหาอา หนูไม่รู้จะทำไง บอกว่าพ่อทำงานอยู่ก็ไม่ฟัง” ร่างท้วมท้องแก่ใกล้คลอดค่อย ๆ เดินเข้าไปหาสามีกับลูก ขนาดไม่ใช่ท้องแฝด แต่ขนาดท้องมันไม่ต่างอะไรกับตอนท้องมินนี่โพนี่เลย แล้วคนนี้เป็นเด็กผู้ชายด้วย น้องดิ้นทีมันหน่วงท้องจนต้องนิ่วหน้า บางทีนอน ๆ อยู่ก็ต้องสะดุ้ง เอาเรื่องตั้งแต่อยู่ในท้อง คลอดออกมาคงจะแสบซนไม่แพ้พี่ ๆ“อาทำงานเสร็จกำลังจะออกไปหาหนูกับลูกพอดี เป็นไงบ้าง” คนตัวโตอุ้มลูกเดินเข้ามาหา มือหนาลูบท้องอย่างอ่อนโยน แล้วทันทีที่มือพ่อสัมผัสโดนตัวเล็กในท้องก็ดิ้น ถีบยันอย่างแรง จนท้อ
พรึบ!“?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม เมื่อเดินเข้ามาในห้องอาเขาก็ถอดเสื้อแล้วโยนทิ้งทันที“อย่ามองอาแบบนั้น” อาไรเฟิลพูดเสียงกระเส่า สองเท้าถอยหนีอย่างอัตโนมัติ เมื่ออาเขาทำหน้านิ่ง สองเท้าค่อย ๆ ขยับตาม เฮ้อ...โรคจิตไม่หายพรึบ!“อาหยุดเลยนะ ทำบ้าอะไรเนี่ย!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ด้วยความตกใจเมื่อเขาถอดกางเกงที่ใส่อยู่ออกเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว“ก็อาจะนอน หนูเป็นอะไร” เขาพูดเสียงเรียบ เดินตรงเข้ามาหา จนขาชนกับขอบเตียง“นะ...นอนแล้วถอดเสื้อผ้าทำไม?” ค่อย ๆ เอนตัวหนีเมื่อใบหน้าหล่อ ยื่นเข้ามาใกล้“จะได้นอนสบาย ๆ หนูก็ควรถอดนะรู้มั้ย” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ สองมือค้ำยันที่นอน ดันนอนราบลงไปกับเตียง“หนูว่า...หนูไม่นอนแล้ว หนู...หนู...จะไป...จะไปดูทีวี” สองมือดันอกแกร่ง พยายามคิดหาทางรอด เพราะถ้าอยู่แบบนี้มันคงไม่ใช่แค่นอนแน่ ๆ“อาดูด้วย” ร่างหนาค่อย ๆ แทรกตัวเข้ากลางหว่างขา สายตาที่เขามองมามันชวนสยิว ชวนขนลุกยังไงไม่รู้“อาคะ หนูท้องอยู่นะ” คนตัวเล็กใต้ร่างทำเสียงอ้อน“.....” อาเขาเงียบ เกลี่ยตามองอย่างพิจารณา“กลัวอะไร อาแค่จะนอนกอด” เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี“ก็อา...มันไม่น่าไว้ใจแล้วดูทำหน้าทำ
“ยิ้มอะไรคะ หนูเห็นอามองลูกแล้วยิ้มแบบนั้น นานแล้วนะ” คนตัวเล็กเดินไปนั่งตักคนตัวโต ที่เอาแต่นิ่งมองลูกสาวทั้งสองแล้วก็เอาแต่อมยิ้ม สายตาอามันเต็มไปด้วยความสุข“……” อาเขาเงียบ สองแขนโอบเอวคอดกิ่วไว้แน่น“อาแค่ดีใจที่เรามีวันนี้ ถึงอาจะชอบทำอะไรแปลก ๆ แต่อารักหนูกับลูกมากนะรู้มั้ย”“อารมณ์ไหนของอาเนี่ย อยู่ ๆ ก็มาทำเป็นซึ้ง แล้วนี่อาจะกลับไปทำงานมั้ย?” ที่ถามเพราะแอบได้ยินว่าอา จะกลับไปรักษาคนไข้อีก ก็วันก่อนเห็นมีคนมาหาถึงที่บ้าน บอกว่าลูกเขาป่วยอยากให้อาช่วยไปดู“ทำไม?” เขามองหน้าฉันยิ้ม ๆ“เปล่า” คนตัวเล็กทำหน้านิ่ง แกล้งมองไปที่ลูก จะผิดมั้ยนะถ้าจะบอกว่าหวง ก็คนไข้ที่อาจะไปรักษาเป็นผู้หญิง“หึง?” อายังคงยิ้มกริ่ม“…..” ฉันยังคงเงียบ ก็ไม่อยากทำตัวงี่เง่า เพราะมันก็คืองาน อาเรียนจบทางนี้มาก็ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมารักษาคนอื่น เขาคงจะหมดหนทางถึงขอร้อง ให้พ่อพามาพบอาถึงที่บ้าน“มองหน้าอา” เขาพูดเสียงเรียบเมื่อฉันเอาแต่เงียบ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ก็ไม่อยากเป็นแบบนี้สักหน่อย“ก็มันคืองาน จะมาให้อาอยู่เลี้ยงลูกกับหนูที่บ้านทุกวันมันก็ไม่ได้ หนูเข้าใจ แล้วอีกอย่างอาก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้สักหน่
“จะหอมอีกนานมั้ย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“……” พ่อหันมามองอาแล้วเล่นกับมินนี่ต่อ“กูจะกอดจะหอมทั้งวัน มันก็เรื่องของกู หลานถู” พ่อพูดอย่างไม่ใส่ใจ“แต่นั้นมันลูกผม เอาคืนมา”“อาคะ” มือเล็กรีบคว้าแขนคนตัวโตทันทีเมื่อเขาทำทีจะลุกไปหาพ่อ“อย่ามาทำเป็นหวง ที่มึงกอดลูกกู กูยังไม่ว่า!” พ่อจ้องหน้าอาตาเขม็ง“ก็ภูพิงค์เป็นเมียผม แล้วโพนี่กับมินนี่ก็เป็นลูกผม กอดหอมนานไม่ได้” อาพูดเสียงแข็ง“เรื่องของมึง หลานกู กูจะกอดจะหอมมีอะไรมั้ย!” แล้วทั้งสองก็จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครแม่กับฉันได้แต่มองหน้ากันแล้วส่ายหัว เอือมระอากับสองคนนี้ พูดดีกันไม่ถึงสามวิ กัดกันอีกแล้ว“อ๊าก ฮา ฮา ฮา”แต่อยู่ ๆ เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของสองสาวก็ดังขึ้น มินนี่ โพนี่ มองหน้าพ่อกับตาที่ทำหน้าขรึมสลับไปมาแล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“เราไปเล่นทางโน้นดีกว่า ตามีอะไรจะให้” พ่อหันมายิ้มเยาะอา แล้วลุกขึ้นไปอุ้มมินนี่จากแม่แล้วเดินขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์ดี“เราก็จริง ๆ เลยนะ ทั้งพ่อทั้งลูก” แม่จ้องหน้าอาอย่างเหนื่อยหน่าย“…..” อาไรเฟิลไม่พูดอะไรแต่กลับดึงเข้าไปกอด พร้อมไหวไหล่เบา ๆ ให้แม่ แม่ได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเดินตามพ่
“ภูพิงค์” เสียงใครนะ ไม่คุ้นเลย ก่อนที่กำลังเก็บของรอพ่อลูกที่กำลังจะลงมา จำเป็นต้องวางมือจากของตรงหน้า แล้วหันไปทางต้นเสียง“……” เขาเงียบไม่พูดอะไรแต่ส่งยิ้มให้ ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแต่รอยยิ้มนี้ ไม่เคยลืม“พี่ตะวัน” สองเท้าวิ่งเข้าไปกอดน้าชาย ที่ไปทำงานต่างประเทศนานหลายปี ขนาดงานแต่งยังไม่กลับมามันน่าน้อยใจจริง ๆ“คิดถึงจัง แล้วนี่มาได้ไง แม่รู้ยังคะ ถ้าแม่รู้ว่าพี่กลับมาต้องดีใจแน่เลย”“ทีละคำถาม แล้วหลาน ๆ ไปไหน พี่มีของมาฝาก”“แล้วของหนูล่ะ” คนตัวเล็กทำหน้างอน“ฮึ...นี่ไง ของภูพิงค์” พี่ตะวันหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมากระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้“อะไร?” ไม่รอช้าฉันรีบเปิดดูทันที“สวยจัง” คนตัวเล็กยิ้มอย่างพอใจ ของขวัญในกล่องคือสร้อยคอ พร้อมจี้เพชรรูปหงส์คู่“ชอบมั้ย พี่สั่งทำมาให้เราโดยเฉพาะเลยนะ” พี่ตะวันลูบหัวอย่างอ่อนโยน“ชอบสิคะ ของขวัญทุกชิ้นที่พี่ให้ ภูพิงค์เก็บไว้อย่างดีเลยนะ” ถึงพวกเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ความสัมพันธ์ครอบครัวไม่เคยน้อยลง ตอนเด็ก ๆ แม่จะพากลับไปเยี่ยมตาทุกอาทิตย์ และเริ่มมาห่าง ๆ กันช่วงที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย พี่ตะวันไปทำงานที่นิวซีแลนด์ ส่วนตาแม่ก็จ้างคนดูแลเพราะตา