1 ชั่วโมงผ่านไป
สไนเปอร์กับนับดาวพอรู้เรื่องก็รีบขับรถกลับบ้าน แต่เพราะรถติดกว่าจะถึงบ้านก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง สองสามีภรรยาเดินอย่างรีบเร่งเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วงลูก ๆ
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮื่อ!!!!” เด็กขี้อ้อนพอเห็นพ่อกับแม่เดินเข้าบ้านเท่านั้นแหละ ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ภูพิงค์ หยุดร้องก่อนหนวกหู” ขุนศึกถึงกับพูดเอ็ดพี่สาวที่ร้องไห้แบบนี้มาเป็นชั่วโมง
“ก็พี่กลัวนิ ฮื่อ…ใครก็ไม่รู้น่ากลัว หน้าเขาเหมือนพวกโรคจิตเลยค่ะพ่อ หนูกลัว” เด็กสาวเอาแต่กอดพ่อที่ได้แต่นั่งนิ่งพยายามคิดว่าใครกันที่มันกล้าบุกเข้าบ้านแล้วยังกล้าบุกเข้าถึงห้องนอนลูกสาวสุดที่รักอีก
“ไปหาแม่ เดี๋ยวพ่อไปดูเอง” สไนเปอร์กอดปลอบหอมหัวลูกรัก
“แม่จ๋า ฮื่อ…ภูพิงค์กลัว” ภูพิงค์โผเข้ากอดแม่ด้วยความหวาดกลัว
“แม่มาแล้วไม่ต้องร้อง พี่ภูผาก็อยู่ น้องก็อยู่ หยุดร้องไห้ก่อนลูก” นับดาวเองก็ได้แต่กอดปลอบลูก ปกติภูพิงค์ไม่ใช่เด็กขี้กลัวแบบนี้ แต่ใครเจอแบบนี้ก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา
“จะร้องอะไรอายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คนแค่ง่วงขอนอนห้องแค่นี้ทำอย่างกับจะตาย”
ขวับ!!
สี่คนพ่อแม่ลูกหันไปมองเจ้าของเสียงห้าวกวน ๆ เป็นตาเดียว
“สวัสดีครับพี่" เขาเดินตรงเข้าไปหาสไนเปอร์ที่กำหมัดแน่น ไอ้เด็กบ้านี่มันกล้ามากที่บุกเข้าบ้านเขาแบบนี้ แล้วยังมาส่งสายตาเจ้าชู้ ใส่ลูกสาวต่อหน้าพ่อเขาอีก
“เรียกพี่ไม่ได้สิต้องเรียกพ่อ ลูกสาวพี่ผมขอนะ” เสียงกระซิบสุดยียวนทำเอาสไนเปอร์ถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“จำอาได้มั้ยสาวน้อย” แต่เขากลับไม่สนใจเดินตรงเข้าไปหาเด็กสาว ที่ยังคงร้องไห้กอดแม่ไม่ยอมปล่อย
“แม่จ๋าหนูกลัว ฮื่อ…” ภูพิงค์ร้องไห้เสียงดังลั่นเมื่อคนบ้ายื่นหน้าเข้าใกล้เธอ
“หยุดแกล้งหลานได้แล้ว” นับดาวเค้นเสียงดุ แล้วถึงกับต้องถอนหายใจ
“หลานที่ไหน ก็บอกอยู่ว่าจะขอมาเป็นเมีย” เขาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เด็กสาว ที่เอาแต่กอดแม่แน่น
“แม่จ๋าหนูกลัว คนบ้า!!” ยิ่งหน้าหล่อ ๆ ยื่นเข้ามาใกล้เด็กสาวก็ยิ่งตื่นกลัว
"ไรเฟิล อย่าแกล้งหลาน แล้วมาแบบนี้ม๊ารู้มั้ย” นับดาวพูดอย่างเหนื่อยใจ
“ออกไปไกล ๆ ให้ห่างจากลูกกู” สไนเปอร์ที่กระชากคอเสื้อน้องชายบุญธรรมเมื่อครั้งที่พาแม่ไปรักษาตัวที่อเมริกา นี่คงพึ่งจะกลับมา
“ไม่รู้ จะมาเซอร์ไพรส์ม๊า แต่อยากเจอหน้าว่าที่เมียในอนาคตเลยมาหาพี่ก่อน” ปากพูดกับพี่ชาย แต่ตากลับเอาแต่จ้องเด็กสาวที่มีศักดิ์เป็นหลานไม่วางตา
“มึงอยากโดนกูกระทืบตายใช่มั้ย?” สไนเปอร์ทำหน้าจริงจัง
“พูดจริงไม่ได้พูดเล่นครับคุณพ่อตา”
“ขอตัวนะ ผมง่วง ไว้อามาหาใหม่นะ คนสวย” ไรเฟิลแกะมือพี่ชายออก ทำหน้ากวน ๆ ส่งสายตาให้เด็กสาวก่อนจะเดินยิ้มออกจากบ้าน ยั่วอารมณ์โมโหพี่ชาย
“ใจเย็น ๆ ค่ะ ภูผาพาน้องขึ้นห้องไปก่อน ส่วนเราขุนศึก เรามีเรื่องต้องคุยกัน” นับดาวหันไปสั่งลูก ๆ
“ไปภูพิงค์ไม่มีอะไรแล้ว” ภูผาเดินเข้าไปจูงมือน้องขึ้นไปบนห้อง
“ขุนศึก!” นับดาวเค้นเสียงดุเมื่อคนกะล่อนตีเนียนจะเดินตามพี่ ๆ ขึ้นห้อง
“ครับแม่” เด็กชายตอบกลับเสียงอ่อนเสียงหวาน เพราะรู้ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร
“ไปรอแม่ที่ห้องทำงาน”
“ครับ”
“ศึกรักแม่นะครับ แม่จ๋าของขุนศึก” ทำผิดไว้ก็มาทำอ้อนเอาใจนึกว่าจะรอดรึไง เมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของแม่ คนกะล่อนก็ทำหน้าจ๋อยเดินไปที่ห้องทำงานอย่างว่าง่าย
“พี่เปอร์” นับดาวเดินเข้าไปหาพ่อของลูก ที่ยืนกำหมัดแน่นจนตัวสั่น
“ใจเย็น ๆ น้องแค่เล่น ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ไปจัดการเรื่องลูกชายพี่ก่อน มีเรื่องให้ปวดหัวได้ทุกวัน” นับดาวพูดปลอบสามีที่อารมณ์กำลังเดือด
“เห้อ… เหนื่อย” สไนเปอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เอียงหน้าซบอกเมียรัก เพราะรู้จักนิสัยน้องชายดีพอสมควร ถึงจะไม่ได้โตมาด้วยกันแต่ระยะเวลาสองปี ช่วงที่เขาช่วยดูแลรักษาแม่มันก็ทำให้รู้มากจักกันมากพอ เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถือว่าเป็นคนดี ถ้าไม่ติดปากเสียกวนตีนแต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ตัวเองนี่แหละที่หวงลูกสาว และจะไม่ยอมให้มันเกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด
ส่วนเรื่องลูกชายคนเล็กที่ชอบไปลวนลามสาว ๆ มันก็แค่เด็กวัยรุ่นที่กำลังซน แค่บอกแค่เตือนก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว...
2ปี ผ่านไป“หนูบอกแล้ว อยู่บ้านรับรองพ่อแม่ไม่มีเหงา”“ฮึ...เรานี่มันอ้อนเก่งจริง ๆ ” พ่อพูดยิ้ม ๆ“ก็พ่อจ๋า แม่จ๋า ทำงานมามากพอแล้ว ควรหยุดได้แล้วค่ะ” คนตัวเล็กพูดเสียงอ้อน กอดพ่อไว้แน่น หลังจากที่อ้อนอยู่นานกว่าพ่อกับแม่จะยอมเกษียณตัวเอง ยอมอยู่บ้านเล่นกับหลาน ๆ แล้วปล่อยให้พี่ภูผาและขุนศึกดูแลงานต่อ ถึงพี่ภูผาจะวุ่น ๆ เพราะต้องดูแลงานให้บ้านลุงกันต์ แต่ก็ยังมีขุนศึก ที่ถึงจะเที่ยวดื่มแทบทุกวันแต่เรื่องงานน้องเอาอยู่ ทำงานเด็ดขาดไม่ต่างอะไรจากพ่อตอนหนุ่ม ๆ เลยอันนี้แม่พูดเอง“แล้วนี่อาเขาไปไหน แม่ไม่เห็นแต่เช้าแล้วนะ”“ห้องทำงานค่ะ ช่วงนี้อาเขางานยุ่ง หนูเลยต้องกันเด็ก ๆ ไม่ให้ไปกวนพ่อ” ฉันมองไปที่สามแสบที่กำลังวิ่งเล่นกัน โพนี่ตั้งแต่สเตฟานกลับไปก็กลับมาแสบซนเหมือนเดิม ยิ่งมีตัวแสบอย่างพูมามาเพิ่ม ความซนไม่ต้องพูดถึง ขุนศึกยังต้องยอม ส่วนมินนี่สายหวาน ชอบไปกองละครกับป๋าศึกเขา เห็นขุนศึกบอกน้องแสดงเก่ง ยิ่งฉากร้องไห้ พอสั่งเท่านั้นน้ำตานี่ไหลอาบสองแก้ม ตอนนี้เลยกลายเป็นขวัญใจเหล่าบรรดาคนในกอง เอ็นดูน้องกันใหญ่ และถ้าลูกชอบฉันกับอาก็คุยกันแล้วจะสนับสนุนไม่บังคับ แต่โพนี่นี่สิ ซนอย่าง
“โพนี่ ลูกอย่าวิ่ง เดี๋ยวหกล้ม”“อุนแม่เดินช้า โพนี่จะไปหาพ่อ!”“อุนพ่อ อุนพ่อคะ”“จริง ๆ เลยเด็กคนนี้” ฉันได้แต่ส่ายหัว ท้องก็โตจะให้วิ่งตามลูกก็ไม่ได้ ดีนะที่มีขุนศึกคอยดูแลมินนี่ที่ยังเล่นกับพี่ ๆ อยู่ที่สวนหลังบ้าน แต่โพนี่ นี่สิอยู่ก็บอกจะไปหาพ่อ แล้วอาเขาก็กำลังทำงานอยู่ นี่ยังไม่ออกจากห้องทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว“ได้...ถ้ามีอะไรค่อยรายงานกูอีกที แค่นี้”“อุนพ่อ” เด็กหญิงตัวกลมวิ่งเข้าไปกอดพ่อ ที่ยังคุยงานอยู่“ว่าไงครับคนเก่ง” อารีบวางมือถือ แล้วอุ้มลูกกอดหอมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร“พอดีโพนี่อยากมาหาอา หนูไม่รู้จะทำไง บอกว่าพ่อทำงานอยู่ก็ไม่ฟัง” ร่างท้วมท้องแก่ใกล้คลอดค่อย ๆ เดินเข้าไปหาสามีกับลูก ขนาดไม่ใช่ท้องแฝด แต่ขนาดท้องมันไม่ต่างอะไรกับตอนท้องมินนี่โพนี่เลย แล้วคนนี้เป็นเด็กผู้ชายด้วย น้องดิ้นทีมันหน่วงท้องจนต้องนิ่วหน้า บางทีนอน ๆ อยู่ก็ต้องสะดุ้ง เอาเรื่องตั้งแต่อยู่ในท้อง คลอดออกมาคงจะแสบซนไม่แพ้พี่ ๆ“อาทำงานเสร็จกำลังจะออกไปหาหนูกับลูกพอดี เป็นไงบ้าง” คนตัวโตอุ้มลูกเดินเข้ามาหา มือหนาลูบท้องอย่างอ่อนโยน แล้วทันทีที่มือพ่อสัมผัสโดนตัวเล็กในท้องก็ดิ้น ถีบยันอย่างแรง จนท้อ
พรึบ!“?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม เมื่อเดินเข้ามาในห้องอาเขาก็ถอดเสื้อแล้วโยนทิ้งทันที“อย่ามองอาแบบนั้น” อาไรเฟิลพูดเสียงกระเส่า สองเท้าถอยหนีอย่างอัตโนมัติ เมื่ออาเขาทำหน้านิ่ง สองเท้าค่อย ๆ ขยับตาม เฮ้อ...โรคจิตไม่หายพรึบ!“อาหยุดเลยนะ ทำบ้าอะไรเนี่ย!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ด้วยความตกใจเมื่อเขาถอดกางเกงที่ใส่อยู่ออกเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว“ก็อาจะนอน หนูเป็นอะไร” เขาพูดเสียงเรียบ เดินตรงเข้ามาหา จนขาชนกับขอบเตียง“นะ...นอนแล้วถอดเสื้อผ้าทำไม?” ค่อย ๆ เอนตัวหนีเมื่อใบหน้าหล่อ ยื่นเข้ามาใกล้“จะได้นอนสบาย ๆ หนูก็ควรถอดนะรู้มั้ย” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ สองมือค้ำยันที่นอน ดันนอนราบลงไปกับเตียง“หนูว่า...หนูไม่นอนแล้ว หนู...หนู...จะไป...จะไปดูทีวี” สองมือดันอกแกร่ง พยายามคิดหาทางรอด เพราะถ้าอยู่แบบนี้มันคงไม่ใช่แค่นอนแน่ ๆ“อาดูด้วย” ร่างหนาค่อย ๆ แทรกตัวเข้ากลางหว่างขา สายตาที่เขามองมามันชวนสยิว ชวนขนลุกยังไงไม่รู้“อาคะ หนูท้องอยู่นะ” คนตัวเล็กใต้ร่างทำเสียงอ้อน“.....” อาเขาเงียบ เกลี่ยตามองอย่างพิจารณา“กลัวอะไร อาแค่จะนอนกอด” เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี“ก็อา...มันไม่น่าไว้ใจแล้วดูทำหน้าทำ
“ยิ้มอะไรคะ หนูเห็นอามองลูกแล้วยิ้มแบบนั้น นานแล้วนะ” คนตัวเล็กเดินไปนั่งตักคนตัวโต ที่เอาแต่นิ่งมองลูกสาวทั้งสองแล้วก็เอาแต่อมยิ้ม สายตาอามันเต็มไปด้วยความสุข“……” อาเขาเงียบ สองแขนโอบเอวคอดกิ่วไว้แน่น“อาแค่ดีใจที่เรามีวันนี้ ถึงอาจะชอบทำอะไรแปลก ๆ แต่อารักหนูกับลูกมากนะรู้มั้ย”“อารมณ์ไหนของอาเนี่ย อยู่ ๆ ก็มาทำเป็นซึ้ง แล้วนี่อาจะกลับไปทำงานมั้ย?” ที่ถามเพราะแอบได้ยินว่าอา จะกลับไปรักษาคนไข้อีก ก็วันก่อนเห็นมีคนมาหาถึงที่บ้าน บอกว่าลูกเขาป่วยอยากให้อาช่วยไปดู“ทำไม?” เขามองหน้าฉันยิ้ม ๆ“เปล่า” คนตัวเล็กทำหน้านิ่ง แกล้งมองไปที่ลูก จะผิดมั้ยนะถ้าจะบอกว่าหวง ก็คนไข้ที่อาจะไปรักษาเป็นผู้หญิง“หึง?” อายังคงยิ้มกริ่ม“…..” ฉันยังคงเงียบ ก็ไม่อยากทำตัวงี่เง่า เพราะมันก็คืองาน อาเรียนจบทางนี้มาก็ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมารักษาคนอื่น เขาคงจะหมดหนทางถึงขอร้อง ให้พ่อพามาพบอาถึงที่บ้าน“มองหน้าอา” เขาพูดเสียงเรียบเมื่อฉันเอาแต่เงียบ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ก็ไม่อยากเป็นแบบนี้สักหน่อย“ก็มันคืองาน จะมาให้อาอยู่เลี้ยงลูกกับหนูที่บ้านทุกวันมันก็ไม่ได้ หนูเข้าใจ แล้วอีกอย่างอาก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้สักหน่
“จะหอมอีกนานมั้ย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“……” พ่อหันมามองอาแล้วเล่นกับมินนี่ต่อ“กูจะกอดจะหอมทั้งวัน มันก็เรื่องของกู หลานถู” พ่อพูดอย่างไม่ใส่ใจ“แต่นั้นมันลูกผม เอาคืนมา”“อาคะ” มือเล็กรีบคว้าแขนคนตัวโตทันทีเมื่อเขาทำทีจะลุกไปหาพ่อ“อย่ามาทำเป็นหวง ที่มึงกอดลูกกู กูยังไม่ว่า!” พ่อจ้องหน้าอาตาเขม็ง“ก็ภูพิงค์เป็นเมียผม แล้วโพนี่กับมินนี่ก็เป็นลูกผม กอดหอมนานไม่ได้” อาพูดเสียงแข็ง“เรื่องของมึง หลานกู กูจะกอดจะหอมมีอะไรมั้ย!” แล้วทั้งสองก็จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครแม่กับฉันได้แต่มองหน้ากันแล้วส่ายหัว เอือมระอากับสองคนนี้ พูดดีกันไม่ถึงสามวิ กัดกันอีกแล้ว“อ๊าก ฮา ฮา ฮา”แต่อยู่ ๆ เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของสองสาวก็ดังขึ้น มินนี่ โพนี่ มองหน้าพ่อกับตาที่ทำหน้าขรึมสลับไปมาแล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“เราไปเล่นทางโน้นดีกว่า ตามีอะไรจะให้” พ่อหันมายิ้มเยาะอา แล้วลุกขึ้นไปอุ้มมินนี่จากแม่แล้วเดินขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์ดี“เราก็จริง ๆ เลยนะ ทั้งพ่อทั้งลูก” แม่จ้องหน้าอาอย่างเหนื่อยหน่าย“…..” อาไรเฟิลไม่พูดอะไรแต่กลับดึงเข้าไปกอด พร้อมไหวไหล่เบา ๆ ให้แม่ แม่ได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเดินตามพ่
“ภูพิงค์” เสียงใครนะ ไม่คุ้นเลย ก่อนที่กำลังเก็บของรอพ่อลูกที่กำลังจะลงมา จำเป็นต้องวางมือจากของตรงหน้า แล้วหันไปทางต้นเสียง“……” เขาเงียบไม่พูดอะไรแต่ส่งยิ้มให้ ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแต่รอยยิ้มนี้ ไม่เคยลืม“พี่ตะวัน” สองเท้าวิ่งเข้าไปกอดน้าชาย ที่ไปทำงานต่างประเทศนานหลายปี ขนาดงานแต่งยังไม่กลับมามันน่าน้อยใจจริง ๆ“คิดถึงจัง แล้วนี่มาได้ไง แม่รู้ยังคะ ถ้าแม่รู้ว่าพี่กลับมาต้องดีใจแน่เลย”“ทีละคำถาม แล้วหลาน ๆ ไปไหน พี่มีของมาฝาก”“แล้วของหนูล่ะ” คนตัวเล็กทำหน้างอน“ฮึ...นี่ไง ของภูพิงค์” พี่ตะวันหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมากระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้“อะไร?” ไม่รอช้าฉันรีบเปิดดูทันที“สวยจัง” คนตัวเล็กยิ้มอย่างพอใจ ของขวัญในกล่องคือสร้อยคอ พร้อมจี้เพชรรูปหงส์คู่“ชอบมั้ย พี่สั่งทำมาให้เราโดยเฉพาะเลยนะ” พี่ตะวันลูบหัวอย่างอ่อนโยน“ชอบสิคะ ของขวัญทุกชิ้นที่พี่ให้ ภูพิงค์เก็บไว้อย่างดีเลยนะ” ถึงพวกเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ความสัมพันธ์ครอบครัวไม่เคยน้อยลง ตอนเด็ก ๆ แม่จะพากลับไปเยี่ยมตาทุกอาทิตย์ และเริ่มมาห่าง ๆ กันช่วงที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย พี่ตะวันไปทำงานที่นิวซีแลนด์ ส่วนตาแม่ก็จ้างคนดูแลเพราะตา