“ขะ...ขวัญหิวข้าวค่ะ คุณเหมทานอะไรมาหรือยังคะ เดี๋ยวขวัญทำอาหารให้ทานนะคะ” คราวนี้เหมันต์เผยยิ้มกว้าง ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เป็นโอกาสอันดีที่เพียงขวัญจะใช้ในการดีดตัวลุกขึ้นนั่ง และกระถดกายหนีเขาไปจนชิดชอบศาลาอีกด้านหนึ่ง
“อืม...กินอะไรก่อนก็ดี จะได้มีแรงเยอะๆ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ” เพียงขวัญมองเขาอย่างระแวง พยักหน้ารับเร็วๆ เมื่อร่างสูงขยับเพื่อจะลงจากศาลา หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย จ้องมองเขานิ่งอย่างระแวดระวัง เหมันต์หัวเราะในลำคอ ลงไปยืนอยู่ข้างศาลาแล้วจ้องไปยังร่างที่เบียดตัวเองอยู่กับเสาอย่างขำๆ
“ถ้าคุณยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมอาจจะเปลี่ยนใจกินอย่างอื่นแทนข้าวนะ” มันได้ผล เพราะเพียงขวัญรีบขยับตัวลุกขึ้นก้าวลงมายืนอยู่บนพื้น แล้วรีบเดินเร็วเข้าบ้านไปทันที
อาหารกลางวันตอนเกือบบ่ายสองโมงถูกเสิร์ฟโดยแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน เพียงขวัญไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านชอบกินอะไร รสชาติแบบไหน หญิงสาวจึงทำอาหารทั่วไปรสชาติกลางๆ ผัดผักรวม ปลากะพงทอดน้ำปลา แกงเลียงกุ้งสด และน้ำพริกปลาทูพร้อมผักสด เหมันต์ถึงกับอมยิ้มเมื่อเห็นอาหารที่วางรอเขาอยู่บนโต๊ะ ก็ปกติแล้วโต๊ะอาหารบ้านนี้เคยมีกับข้าวตั้งโต๊ะเกินหนึ่งอย่างซะที่ไหน ส่วนมากเขาก็ซื้อกับข้าวสำเร็จรูปติดมือเข้ามาทานเองคนเดียว หรือไม่ก็อาหารกล่องแช่แข็งยัดใส่ไมโครเวฟแป๊บเดียวก็ได้กิน รู้สึกว่าคิดถูกจริงๆที่ไปซื้อของสดมาตุนไว้ก่อนไปรับตัวเพียงขวัญมาอยู่ด้วย
“ขวัญไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร รสชาติแบบไหน คุณลองทานดูก่อนนะคะ แล้วก็ช่วยบอกขวัญด้วยว่าชอบไหม ครั้งต่อไปขวัญจะได้ทำให้ถูกใจคุณ”
“ผมกินง่าย อยู่ง่าย คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมทานได้หมดแหละ” เพียงขวัญพยักหน้ารับน้อยๆ
หญิงสาวเหลือบตามองเขาเป็นระยะ พอตักอะไรเข้าปากไปเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ราวกับเขาเทอะไรสักอย่างลงไปในกระเพาะ โดยไม่สนใจว่ามันคืออะไรและรสชาติยังไงด้วยซ้ำ คนทำอาหารอดนึกค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า น่าจะชมเธอสักนิดว่าอร่อย หรือติบ้างก็ได้จะได้เอาไปปรับปรุง
หลังมื้ออาหาร เพียงขวัญจัดเก็บจานชามล้าง และทำความสะอาดในครัว เหมันต์ปลีกตัวไปนั่งที่โซฟาในห้องโถงบ้าน ซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องนั่งเล่นและรับแขก เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป แม่ครัวก็ยังไม่เดินออกมาจากครัวสักที คนรอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าในนั้นมันมีอะไรดีนักหนา เธอถึงขลุกอยู่ได้เป็นชั่วโมง
“คืนนี้ จะนอนในนี้เลยมั้ย” ร่างบางสะดุ้งตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือในมือหล่นลงพื้น เหมันต์ยืนพิงประตูห้องครัว ความสูงของเขาเกือบจะชนขอบประตูด้านบนด้วยซ้ำ ใบหน้านิ่งๆกับแววตาดุของเขา ทำให้เพียงขวัญรีบลุกขึ้นยืน หันรีหันขวางไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไง
“เอ่อ...ขวัญนึกว่าคุณนอนกลางวัน เลยไม่อยากออกไปรบกวนค่ะ” เธอก้มหน้าตอบ
“ก็ว่าจะนอนสักงีบ แต่รอเมียอยู่” ใบหน้างามเงยขึ้นสบตาเขาอย่างเกรงๆ แต่เหมันต์ไม่สนสักนิด
“มานอนเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวเย็นๆจะพาออกไปดูที่ปลายนา” คำว่านอนเป็นเพื่อนที่เขาบอกก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องโถง ทำเอาเพียงขวัญไปไม่เป็น หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เท้าบางค่อยๆก้าวเดินช้าๆออกจากห้องครัว กว่าจะมาถึงตรงที่
เขานอนก็ใช้เวลาไปมากกว่าปกติหลายนาที
ภาพคนตัวโตนอนเหยียดยาวบนโซฟาเบด ที่เขาปรับระดับเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการนอน ทำเอาใจของเพียงขวัญหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เหมันต์ลืมตาขึ้นมองหญิงสาวครู่เดียว ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“มานอนตรงนี้ นอนเป็นเพื่อนหน่อย” เขาพูดทั้งที่ยังหลับตา
“ขวัญนอนมาทั้งวันแล้วค่ะ ยังไม่ง่วงเลย คุณเหมนอนคนเดียวเถอะนะคะ”
“เมื่อก่อนก็นอนคนเดียวได้นะ แต่พอมีเมียแล้วก็อยากนอนกอดเมีย” ใบหน้างามซับสีเลือด ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า
“เอ่อ...คุณเหมตัวใหญ่นอนคนเดียวที่ก็เต็มแล้วค่ะ ขวัญไม่อยากไปนอนเบียด กลัวคุณเหมนอนไม่สบายตัว” เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่พอจะคิดได้ เพียงขวัญพยายามยกขึ้นมาอ้างให้ดูดีที่สุด
“ถ้าไม่อยากนอนเบียดก็มานอนบนตัวผมสิ มานอนตรงนี้” คนที่นอนหงาย
หลับตาอยู่ ใช้มือใหญ่ตบอกแกร่งตัวเองดังป้าบ ร่างเล็กสะดุ้งดวงตาเบิกกว้าง
“ขวัญตัวหนักมากนะคะ เดี๋ยวคุณเหมจะหายใจไม่ออก” เหมันต์ผุดลุกขึ้นนั่ง จ้องมองคนที่ก้มหน้ายืนนิ่ง เธอยืนอยู่ห่างเขาถึงสองเมตร
“มานี่ซิ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นออกคำสั่ง เมื่อบอกกันดีๆก็เอาแต่หลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงอยู่ได้ เพียงขวัญคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเนื้อตัวนุ่มนิ่มและกรุ่นกลิ่นกายสาวหอมหวน ที่เขาได้สัมผัสแตะต้องเมื่อคืนมันตามหลอกหลอนเขามาทั้งวัน อยากจะสัมผัสอยากจะดอมดมอีกครั้ง
“เอ่อ...ขวัญว่า”
“ถ้าจะช่างเถียง บ่ายเบี่ยงโน่นนี่อยู่อย่างนี้ กลับบ้านไปเลยไป แล้วก็บอกอาจันทร์เอาเงินห้าล้านมาคืนผมด้วย” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองนัก เพราะใบหน้าหวานๆนั้นสลดลง ดวงตาฉ่ำน้ำขึ้นมาทันที ก็ใครบอกให้เธอขัดใจเขาเองล่ะ แค่ขอนอนกอดนิดก่อนหน่อยทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ คนปากร้ายคิดเข้าข้างตัวเอง
“ขอโทษค่ะ” เพียงขวัญกล่าวถ้อยคำขอโทษเบาๆ บอกกับตัวเองว่าเธอเป็นคน
เลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกและทำใจยอมรับไว้แล้ว หญิงสาวก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนปากร้าย เหมันต์พยายามไม่สนใจท่าทางหวาดกลัวและน้ำตาที่ปริ่มขอบตาของเธอ
“พี่แดน!” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวงอน จนเผลอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มบูดบึ้งจนน่าขำ“ดูทำหน้าสิ ไม่น่ารักเลย”“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก พี่แดนอยากมาหัวเราะพี่ข้าวก่อนทำไม” บุรินทร์วางจอบที่แบกไว้บนบ่าลง แล้วกอดอกพิงหลังกับต้นทองกวาว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีหม่น กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าบูธสีดำ โดยมีผ้าขาวม้าคาดเอวไว้ด้วย เพราะเขาถือว่ามันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ต้องคาดติดเอวไว้ตลอดเวลา“พี่ไม่ได้หัวเราะพี่ข้าวสักหน่อย พี่หัวเราะไอ้หน้าแหลมโน่น” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังควายเพศผู้ที่และเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล ไอ้หน้าแหลมเป็นควายที่บุรินทร์รับซื้อมาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าของเดิมเป็นชาวบ้านแถวนี้ขอร้องให้เขารับซื้อมันไว้เพราะเดือดร้อนเงิน ชายหนุ่มจึงรับซื้อไว้ด้วยความสงสาร และเลี้ยงมันมาจนโต“ไอ้หน้าแหลมมันจะทำอะไรให้พี่แดนหัวเราะได้ ในเมื่อมันก้มหน้าก้มตากินหญ้าอยู่อย่างเดียว”“อ้าว! ก็พี่ข้าวมัวแต่เซลฟี่อยู่ไง ก็เลยไม่เห็น ควายอะไรไม่รู้กินหญ้าอยู่ดีๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตัวเดียว เดี๋ยวก็ทำแก้มป่อง เดี๋ยวก็ขยิบ
“แก้วจ๋า” คนไม่อยากนอนเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน“พ่อง่วง เลิกคุยกันเสียที” หนุ่มสาวสะดุ้งจ้องมองตากันในความมืด ทำได้แค่เพียงนอนจับมือกันไว้แค่นั้น เข้าหอคืนแรกก็โดนพ่อตากันท่าซะแล้ว แล้วคืนพรุ่งนี้ และคืนต่อๆไปล่ะ ถ้าพ่อตาเข้ามานอนด้วยทุกคืน เขาจะทำเช่นไร บดินทร์อยากจะกรีดร้อง มันแน่นอกมากปังๆๆ เสียงทุบประตูยามดึกสงัดดังจนคนทั้งสามสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง บดินทร์ลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที“พี่กำนัน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” กำนันเกื้อเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก็นึกว่าเมียหลับแล้ว เลยแอบย่องออกมาเป็นไม้กันหมาให้ลูกสาว คนเกรงใจเมียหน้าซีดเผือด“พี่กำนันจะออกมาดีๆ หรือออกมาด้วยน้ำตา” เสียงตวาดแหวถามเข้ามาทำเอากำนันเกื้อสะดุ้งโหยง“พ่อดิน พ่อลูกเขยคนดี พ่อยอดขมองอิ่มของพ่อ ช่วยบอกแม่ติ๋มให้ทีว่าพ่อหลับแล้ว แล้วก็อย่าเปิดประตูนะ” บดินทร์สบสายตาเว้าวอนของพ่อตา ชายหนุ่มมีสีหน้าเห็นใจ“ได้ครับพ่อตา” ร่างสูงเดินไปใกล้ประตูแล้วเอ่ยเสียงดังให้ได้ยินทั้งคนข้างนอกข้างใน“แม่ติ๋มครับ พ่อตาให้บอกว่าพ่อตาหลับแล้วครับ” กำนันเกื้อถึงกับสะดุ้ง มองหน้าลูกเขยด้วยความแค้นใจ
“แดนมาก็ดีเหมือนกัน พี่ขวัญฝากให้อยู่เป็นเพื่อนพี่ข้าวแป๊บหนึ่งนะคะ พี่ขวัญจะพาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถ นี่เริ่มงอแงแล้ว สงสัยจะหิวนม” เด็กหนุ่มยิ้มบาง“ครับ”“พี่ข้าวอยู่กับพี่แดนก่อนนะลูก คุณแม่พาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถแป๊บเดียวนะคะ”“ค่า” เด็กหญิงตอบรับเสียงสดใสเมื่ออยู่ลำพังสองคน บดินทร์ขยับเข้าใกล้ไกวชิงช้าเบาๆ เด็กหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของน้องน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน“พี่แดนค้า ไกวชิงช้าแรงๆหน่อยสิค้า พี่ข้าวอยากไกวแรงๆ”“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวตก” เด็กหญิงเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ“พี่แดนใจร้าย พี่ข้าวอยากไกวชิงช้าแรงๆ ฮึกๆ” เมื่อเห็นน้องน้อยร้องไห้บุรินทร์จึงใจอ่อน“เอาอย่างนี้นะครับ พี่แดนจะนั่งด้วย แล้วให้พี่ข้าวนั่งตัก เราถึงจะไกวชิงช้าแรงๆได้” เด็กหนุ่มแหงนมองเชือก ดูความแข็งแรงของชิงช้าและกิ่งไม้ใหญ่ ประเมินแล้วว่ามันแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักเขาและเด็กหญิงได้แน่นอน หทัยรักยิ้มกว้างทั้งน้ำตา“พร้อมมั้ยครับเจ้าหญิงน้อย” เมื่อคนที่มีฐานะเป็นพี่นั่งก่อนแล้วให้น้องน้อย
“แก้วจ๋า แก้วของพี่สวยเหลือเกิน” ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับความสวยงามที่เขาพร่ำเพ้อ แก้วใจสะท้านไปทั้งร่าง สองมือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เธอไม่กล้าส่งเสียงน่าอายออกไปทั้งที่หวามไหวซ่านกระสันแทบคลั่ง “แก้วจ๋า หวานหอมที่สุด” บดินทร์ครางแนบชิดเนื้อนาง จูบซ้ำๆ ดูดดึงและซอกซอนรีดเค้นเอาความหวานจากร่างเล็ก แก้วใจเกินจะเก็บกักความวาบหวามไว้ในอกได้ หญิงสาวครวญครางแว่วหวาน กระถดสะโพกหนีความซ่านหวิวที่ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ หากแต่ถูกดึงรั้งตรึงเอาไว้มั่น เธอจึงทำให้แค่เพียงส่ายสะบัดหน้าเร็วๆและกรีดร้องออกมาในที่สุด “อ๊า! พี่ดิน! กรี๊ดดด!” หน้าท้องแบนราบเกร็ง ร่างกายเบาหวิวปลิดปลิวไปกับสายลมรัก บดินทร์เคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมร่างบางไว้ พรมจูบไปบนใบหน้าชื้นเหงื่อจนทั่ว ไปหยุดอยู่ตรงปากนุ่มๆ คลอเคลียดูดดึงเบาๆ ก่อนจะปรนเปรอเจ้าสาวของตนด้วยจูบ แสนหวานปานจะกลืนกินเธอลงท้องเสียให้ได้ “พี่รักแก้ว” ชายหนุ่มกระซิบคำบอกรักแนบอยู่กับกลีบปากบาง แก้วใจลืมตาขึ้นมาสบตาเข
หลังจากเสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญและผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้ว ก็เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในห้องกันลำพังเพื่อให้บ่าวสาวได้พักผ่อน ก่อนจะออกมาต้อนรับแขกอีกครั้งในงานเลี้ยงตอนเย็นแก้วใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแดงรูปหัวใจสองดวง โดยมีเจ้าบ่าวนอนกอดตัวเธออยู่ ประตูห้องถูกปิดลงเมื่อสักครู่ แว่วเสียงพ่อเจ้าบ่าวกับพ่อเจ้าสาวถกเถียงกันจะไม่ยอมให้ล็อกประตู หากแต่สุดท้ายแล้วแม่ ติ๋มก็จัดการล็อกประตูจากด้านนอกจนได้“พะ...พี่ดิน” หญิงสาวขยับกาย พยายามขยับออกห่างจากร่างใหญ่ที่กอดเธอไว้เสียแน่น แต่เขาไม่ยอมปล่อย“หืม...ว่าไงครับ” ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบลงบนหน้าผากมน แก้วใจเงยหน้าขึ้นสานสบกับดวงตาวาววับคู่คมแล้วสะเทิ้นอาย จนต้องก้มหน้าหลบเสียเอง“เขาออกกันไปหมดแล้ว ลุกขึ้นได้แล้วค่ะ”“อยากนอนกอดแก้วแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ขอกอดต่ออีกนิดนะ” บดินทร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกนิด“ฮื่อ...แก้วเมื่อย ลุกเถอะค่ะ” ร่างใหญ่ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี คนที่ตื่นเต้นกับสัมผัสแนบชิดจนแทบจะเป็นลมรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาม วงแขนแข็งแรงรีบกอดเกี
“อือ...” การขานรับในลำคอแบบไม่ค่อยเต็มใจของสามีทำให้แม่ติ๋มส่ายหน้า คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักหน่อย เดี๋ยวคงทำใจยอมรับลูกเขยได้เองเหมันต์และเพียงขวัญมาร่วมงานแต่เช้า โดยมีลูกๆทั้งสามติดตามมาด้วย หทัยรักหรือพี่ข้าวของน้องๆลูกสาวคนโตอายุสี่ขวบ หทัยกานต์หรือเข้มลูกชายคนกลางอายุสองขวบ และหทัยชนกหรือน้องขิงลูกสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบ คุณแม่ยังสาวจัดชุดครอบครัวใส่โทนสีเดียวกันคือสีฟ้า ลูกสาวทั้งสองอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ ลูกชายและสามีสวมเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังสีน้ำตาล ส่วนเธอสวมชุดเดรสสีฟ้ายาวคลุมเข่าสวมรองเท้าสานสีขาวเหมือนกับลูกสาวทั้งสองนิธิและเพียงฟ้าพานิดาหรือหนูดาลูกสาวคนโตวัยสี่ขวบกว่า และนทีหรือนทวัยหนึ่งขวบมาร่วมงานด้วย เพียงฟ้าได้กล่าวคำขอโทษกับแก้วใจ เรื่องที่เธอเคยทำร้ายหญิงสาวเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและตกลงนับถือกันเป็นพี่น้องพิธีการเริ่มขึ้นหลังจากวางสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวจัดมาสมกับฐานะเจ้าสาวแล้ว ขณะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เหมันต์และเพียงขวัญจึงพาลูกๆเลี่ยงไปนั่งเล่น