ไช่เหมยฮวาทำความสะอาดจนเห็นว่าพอจะให้พวกนางอยู่ได้แล้วจึงออกมาตามท่านแม่กับน้องชายซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่
“ท่านแม่ ซิวเอ๋อ เข้าบ้านได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าทำความสะอาดเสร็จแล้ว” นางยิ้มแป้นอย่างร่าเริงเพื่อไม่ให้ท่านแม่เป็นห่วง ตอนนี้ท่านพ่อจากไปแล้ว นางจึงต้องเป็นกำลังใจให้ท่านแม่อยู่ต่อไป นางรู้ดีว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักกันมากเพียงใด ระหว่างเดินทางมายังเมืองชายแดนแห่งนี้ นางยังเห็นท่านแม่แอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อย ๆ ไช่เหมยฮวาจึงไม่วางใจให้ท่านแม่ของนางอยู่คนเดียวอีก
“ลูกแม่โตขึ้นแล้วจริง ๆ ไปกันเถอะซิวเอ๋อ ดูสิว่าพี่ใหญ่เจ้าทำความสะอาดเป็นอย่างไรบ้าง หากว่ายังไม่สะอาดพอ เราสองคนจะได้ช่วยพี่สาวเจ้าทำความสะอาดอีกสักหน่อย ดีหรือไม่” หม่าซูลูบหัวไช่ซิวพร้อมกับยิ้มตอบบุตรสาว
“ท่านแม่อย่าได้ดูถูกข้านะเจ้าคะ ข้าบอกเลยว่าในบ้านสะอาดมากเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ”
“จ้า แม่เชื่อเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าหิวกันหรือไม่ ในครัวไม่รู้ว่าพอจะมีสิ่งใดใช้ทำอาหารได้บ้าง แม่จะได้ทำให้พวกเจ้ากิน”
“ข้าดูในครัวแล้วไม่มีเสบียงเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าจะเอาเสบียงมาแจกพวกเราไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวาเอ่ยเตือนความจำผู้เป็นมารดา
“อืม เช่นนั้นพวกเราก็รอก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะหิวกันหรือไม่”
“พวกท่านลุง ท่านป้า น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ก็รู้ว่าพวกเขาคอยแบ่งอาหารให้เรามาตลอดทางน่ะ” ไช่เหมยฮวาไม่กังวลเรื่องบ่าวไพร่เหล่านั้น นางเป็นห่วงเพียงท่านแม่และน้องชายของนางที่ไม่เคยลำบากมาก่อน
หม่าซูพาไช่ซิวเข้าไปดูในบ้านก็พบว่าบุตรสาวทำความสะอาดได้ดีจริง ๆ ตอนแรกนางคาดว่าจะต้องช่วยทำความสะอาดกันอีกรอบ พอเห็นบุตรสาวรู้ความเช่นนี้ก็ทำให้นางสบายใจขึ้นมาก นางเป็นลูกคุณหนูมาตั้งแต่เกิดจึงไม่เคยทำงานหนักเหล่านี้เหมือนบ่าวไพร่ แต่หลังจากนี้นางจะต้องหัดทำเพื่อดูแลลูก ๆ ให้เติบใหญ่ขึ้นในอนาคตให้ได้ ไม่ว่านางจะต้องลำบากเพียงใด หม่าซูก็จะทำทุกอย่างเพื่อลูก ๆ ที่เหลืออยู่ของนาง
“ฮวาเอ๋อเก่งมาก เจ้าพาน้องไปนอนพักสักหน่อย แม่จะไปดูว่าในครัวมีฟืนหรือไม่”
“ข้าตรวจดูหมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่กับน้องพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะรอผู้ใหญ่บ้านนำเสบียงมาให้ที่หน้าบ้านเอง” ไช่เหมยฮวาที่ยังไม่เหนื่อยเอ่ยปากอาสา
“แต่เจ้าเพิ่งทำความสะอาดเสร็จ เจ้ากับน้องไปพักผ่อนก่อนไม่ดีหรือ ส่วนเสบียงนั่น ประเดี๋ยวแม่จะออกไปรอเอง”
“อืม เช่นนั้นท่านแม่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ในหมู่บ้านถึงจะไม่ค่อยมีใคร แต่เราก็ยังไว้ใจใครไม่ได้ ยิ่งช่วงหน้าแล้งนี้ยิ่งต้องระวังเจ้าค่ะ” ไช่เหมยฮวาเตือนมารดา นางเองก็ได้รับการสั่งสอนจากบิดามาตั้งแต่เด็ก เรื่องราวต่าง ๆ ในแคว้นนั้น นางซึ่งมีความจำเป็นเลิศย่อมจดจำได้ดีว่าเมืองใดเป็นอย่างไร
“ตกลง พวกเจ้ารีบไปนอนพักก่อนเถอะ แม่จะไปรอที่แคร่หน้าบ้าน”
หม่าซูนั่งคิดถึงสามีและเหม่อมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกับน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาตั้งแต่เมื่อใด นางปาดน้ำตาออกและพยายามเข้มแข็งไม่ให้ลูก ๆ เห็นว่านางปวดใจเพียงใดที่ต้องสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก
“ฮูหยิน ๆ ข้าเอาเสบียงมาให้” เสียงผู้ใหญ่บ้านดังมาจากหน้าบ้านหลังจากหม่าซูรออยู่นานถึงสามเค่อ
“รอสักครู่ท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” หม่าซูลุกขึ้นไปเปิดประตูรั้ว
“นี่เป็นเสบียงสำหรับ 10 วัน ท่านเจ้าเมืองจะส่งคนมาแจกทุกเดือน นี่เป็นส่วนแบ่งของเดือนที่ผ่านมา พวกเจ้าจัดสรรให้ดีเล่า ครอบครัวอื่น ๆ ที่ติดตามพวกเจ้ามาก็ได้รับเท่า ๆ กัน หากพวกเจ้าแม่ลูกต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดก็ไปหาที่บ้านข้าได้” ผู้ใหญ่บ้านส่งถุงข้าวฟ่างที่มีไม่ถึงห้าจินให้นาง เขาเองก็มีเสบียงเหลือเพียงเท่านี้
“ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านมากเจ้าค่ะ พวกข้าแม่ลูกจะจัดสรรให้ดีจนกว่าจะถึงเดือนหน้านะเจ้าคะ” หม่าซูรับถุงข้าวฟ่างที่นางไม่เคยกินมาก่อนในชีวิตเอาไว้ในอ้อมแขน อย่างไรนี่ก็เป็นของกินเพียงอย่างเดียวที่ครอบครัวเล็ก ๆ ของนางได้รับ นางไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะได้เสบียงพอกินกันหรือไม่
ชาวบ้านในหมู่บ้านเปียนจิ่วที่ตอนนี้เหลือเพียง 10 ครัวเรือน พอพวกเขารู้ว่ามีคนมาแบ่งเสบียงของพวกเขาอีก ทุกคนก็ไม่พอใจและไปโวยวายที่บ้านผู้ใหญ่บ้านกันทั้งหมด พวกเขาที่เหลืออยู่นี้ล้วนแต่เป็นครอบครัวที่เห็นแก่ตัวจึงสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้
“ผู้ใหญ่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร เสบียงพวกนั้นต้องเป็นของพวกเราชาวบ้านที่อยู่มาก่อนสิ ท่านนำไปแบ่งให้คนนอกพวกนั้นได้อย่างไรกัน” แม่เฒ่าหยานเอ่ยเสียงดัง
“ใช่ ๆ ผู้ใหญ่บ้านทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก เสบียงเหล่านั้นทางการมอบให้ท่านเป็นคนจัดสรร เหตุใดจึงไม่แบ่งให้พวกเราเพิ่มด้วยเล่า นี่มันไม่ยุติธรรม” สะใภ้เพ่ยเอ่ยขึ้น
เสียงโวยวายดังอยู่นานเกือบสองเค่อ ก่อนที่ผู้ใหญ่บ้านจะตวาดกลุ่มคนตรงหน้าอย่างโมโห
“พวกเจ้าหุบปากเสีย!! เสบียงที่ข้าแบ่งให้พวกเขาเป็นท่านเจ้าเมืองสั่งเอาไว้และให้คนนำมามอบให้ ส่วนของพวกเจ้าก็รอสิ้นเดือนค่อยรับไปเท่าเดิม หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าแอบไปขโมยเสบียงผู้อื่นอีกล่ะก็ คราวนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าให้ทางการเสียจะได้จบเรื่องสักที พวกเจ้าไม่สงสารชาวบ้านที่ตายไปก่อนหน้านี้เลยหรือจึงได้แต่คิดจะเอาเปรียบผู้อื่นอีกน่ะ อย่าคิดว่าครั้งนี้พวกเจ้าจะรอดตัวไปได้อีก ในเมื่อท่านเจ้าเมืองสั่งการมา”
“ชิ ใครบอกให้พวกมันอ่อนแอเองเล่า พวกข้าไม่ผิดสักหน่อย เพื่อความอยู่รอด พวกข้าก็ต้องทำทุกอย่างให้ไม่ต้องอดตายอยู่แล้ว” หยานเอ้อเอ่ยอย่างไม่สนใจใคร
“นั่นสิผู้ใหญ่บ้าน ท่านดูหน้าตา ผิวพรรณคนพวกนั้นสิ พวกเขาเหมือนชาวบ้านอย่างเราที่ไหนกัน มอบเสบียงให้พวกเขาไม่เท่ากับเสียของหรือ” ผู้เฒ่าเจ้ยกล่าว
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือน คนที่มาอยู่ใหม่เหล่านั้นมีท่านเจ้าเมืองคุ้มกันอยู่ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปส่งข่าวว่าพวกเจ้าคิดจะรังแกพวกเขา ท่านเจ้าเมืองจะได้ส่งทหารมาคุ้มกันที่หมู่บ้าน ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าใครอยากตายก่อนเป็นคนแรก” ผู้ใหญ่บ้านตัดสินใจที่จะไม่อ่อนข้อให้ชาวบ้านพวกนี้อีก เขาเสียใจมาตลอดที่ปกป้องชาวบ้านคนอื่นจากพวกใจจืดใจดำเหล่านี้ไม่ได้ ครั้งนี้เขาจะต้องปกป้องลูกบ้านที่มาใหม่ทั้งหมดตามคำสั่งท่านเจ้าเมืองให้ได้ไม่ว่าจะต้องทำวิธีใดก็ตาม
“เพ้ย! ผู้ใหญ่บ้านช่างลำเอียงนัก ท่านเห็นคนนอกดีกว่าพวกเราที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมานับร้อยปีเช่นนั้นหรือ?” ผู้เฒ่าลั่วกระแทกไม้เท้าอย่างโมโห
“ผู้เฒ่าลั่วพูดถูก คนพวกนั้นเป็นคนนอก พวกเราไม่ยอมรับ” เพ่ยเหวินรีบพูดบ้าง
“ฮึ! หากพวกเจ้าเป็นคนดีข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ กรรมที่พวกเจ้าก่อ ข้าจะรายงานท่านเจ้าเมืองให้หมด ดูสิว่าพวกเจ้าจะถูกลงโทษอย่างไร” ผู้ใหญ่บ้านคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับชาวบ้านไร้เหตุผลพวกนี้ เขาเดินกลับเข้าบ้านและปิดประตูอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านบุกเข้ามา ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ใหญ่บ้านก็จริง แต่เขาก็มีเพียงลูกชาย ลูกสะใภ้กับหลานชายเท่านั้น หากชาวบ้านพวกนั้นคิดจะทำร้ายคนในครอบครัวของเขาจริง ๆ ตัวเขาเองก็คงต้องหนีเข้าเมืองไปพึ่งทางการ
งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้นขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ทั้งหมดกล่าวพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่เสียงดังไปทั่วทั้งจวน“พวกเจ้าอย่าทำให้ลูกสาวข้าตกใจสิ นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ อิงฮวาตามพ่อกับแม่ไปดูเรือนของเจ้ากัน พ่อสั่งคนให้จัดการเอาไว้อย่างดีเลย”“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากลับไปทำงานกันเถอะ ข้าจะพาลูกไปดูห้องของนางเอง ของที่ซื้อมาบนรถม้าก็นำไปให้คุณหนูที่เรือนด้วยเล่า” หม่านเซียงบอกทุกคนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยิน” ทุกคนยิ้มรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอิงฮวาเดินตามหลังท่านอาทั้งสองที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ของนางไปอย่างช้า ๆ นางมองดูจวนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่คิดว่าหลังจากอยู่หมู่บ้านเปียนจิ่วมานาน นางจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในจวนที่สุขสบายไม่ต่างจากครั้งยังเด็กอีกครั้งเรือนของอิงฮวาอยู่ติดกับเรือนหลัก ขนาดเรือนหลังนี
สามวันต่อมาวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า&r
10 ปีต่อมาไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให
ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อ
“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง“พว