เจ้าเมืองชายแดนอย่างซวงโจวพอทราบเรื่องราวก็ได้แต่เสียใจที่แคว้นต้องสูญเสียขุนนางภักดีอย่างไช่ไท่ฟู่ เขารับปากกุ่ยเฟิงว่าจะดูแลครอบครัวของอดีตไท่ฟู่เป็นอย่างดีจนกว่าเด็ก ๆ จะเติบใหญ่ ถึงแม้ที่นี่จะยากจนข้นแค้น แต่อย่างน้อยข้าววันละมื้อพวกเขาจะต้องมีกิน
หลังเจ้าหน้าที่จากเมืองหลวงเดินทางกลับ ซวงโจวเรียกฮูหยินไช่อย่างหม่าซูมาสอบถามความต้องการของนาง
“ฮูหยินอยากพักในเมืองหรืออยู่ในหมู่บ้านรอบนอกขอรับ” ซวงโจวถามอย่างนอบน้อมโดยไม่ถือตัว
“พวกเราเป็นเพียงนักโทษทางการ หากมีหมู่บ้านพอให้พักอาศัยได้ เราขอรบกวนท่านเจ้าเมืองจัดการให้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ ข้านับถือไท่ฟู่มาตลอดตั้งแต่เข้ารับราชการ ในเมื่อฮูหยินอยากพักในหมู่บ้าน ข้าจะให้คนพาพวกท่านไปหาที่พักขอรับ”
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองมากเจ้าค่ะ” หม่าซูย่อกายคำนับเขาอย่างมีมารยาท
ซวงโจวเรียกทหารคนสนิทให้พาพวกเขาไปยังหมู่บ้านนอกเมืองห่างออกไปอีก 30 ลี้ หมู่บ้านนั้นมีชาวบ้านตายไปจำนวนมากจนมีบ้านว่างอยู่หลายหลัง เขายังกำชับให้ทหารบอกผู้ใหญ่บ้านดูแลฮูหยินไช่กับลูก ๆ ให้ดี เรื่องเสบียงเขาจะส่งให้พวกนางทุกเดือนเพื่อความอยู่รอด
บ่าวที่ถูกเนรเทศมากับหม่าซูทนความลำบากได้ พวกเขามองฮูหยิน คุณหนูและคุณชายที่ร่างกายอ่อนแออย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าฮูหยินจะบอกแล้วว่าหลังจากนี้ทุกคนมีฐานะเท่าเทียม แต่พวกเขาที่สำนึกบุญคุณนายท่านกับฮูหยินต่างไม่ยอมจากไปและตั้งใจจะช่วยดูแลแม่ลูกทั้งสามอย่างสุดความสามารถ
สองชั่วยามต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านเปียนจิ่ว ทหารนำทางเข้าไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านตามที่ท่านเจ้าเมืองสั่ง ผู้ใหญ่บ้านมองคนกลุ่มใหญ่ซึ่งดูท่าทางอิดโรยอย่างจนใจ หมู่บ้านของเขาใช่ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอให้คนจำนวนมากเช่นนี้อยู่รอดได้ ไม่เช่นนั้นในหมู่บ้านคงไม่มีคนตายเป็นจำนวนมากมาตลอดหลายปี จนใจที่นี่เป็นคำสั่งเจ้าเมือง เขาจึงได้แต่ต้องรับปากและพาคนกลุ่มนี้ไปเลือกบ้านร้างในหมู่บ้านซึ่งอยู่บริเวณกลางหมู่บ้านด้านใต้ไปจนถึงตีนภูเขาหลังหมู่บ้าน
“พวกเจ้าเลือกเอาว่าจะอยู่บ้านหลังไหน บ้านแถบหลังเขานี้เจ้าของเดิมอดอยากตายไปเมื่อหลายปีก่อน สภาพบ้านยังพออยู่ได้ พวกเจ้าทำความสะอาดกันเองก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าค่ะ/ขอรับ” ทุกคนรีบกล่าวขอบคุณ
“เฮ้อ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดทางการจึงส่งพวกเจ้ามาที่นี่ อย่างไรก็ดูแลตัวเองกันด้วยก็แล้วกัน เสบียงอาหารที่ทางการแจกจ่ายข้าจะนำมาส่งให้ทีหลัง แต่พวกเจ้าอย่าคิดว่าเสบียงเหล่านี้จะมีมากมายเล่า พวกเราทำได้เพียงกินอยู่อย่างประหยัดเพื่อไม่ให้หิวตายได้เท่านั้น” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวจบก็หันหลังจากไป
“ฮูหยินเลือกบ้านก่อนเถิดขอรับ พวกเราจะพักอยู่บ้านใกล้ ๆ เพื่อคอยดูแลพวกท่านหลังจากนี้ไม่ให้ลำบากแน่นอน” อดีตพ่อบ้านรีบเอ่ยบอกหม่าซู
“ท่านลุงอย่าได้ทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกท่านเองก็ลำบาก ข้าดูแลลูก ๆ เองได้ พวกท่านดูแลตัวเองให้ดีเถิดเจ้าค่ะ จากนี้ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอันใดกับพวกข้าอีก ถือเสียว่าพวกท่านเป็นญาติสนิทที่อยู่ร่วมหมู่บ้านนี้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ” หม่าซูยิ้มบาง
“นั่นจะได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเราเคยรับใช้ฮูหยินมานานปี ถึงแม้จะต้องลำบากมากกว่านี้ พวกเราก็จะคอยช่วยเหลือพวกท่านเองเจ้าค่ะ” บ่าวหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ ๆ พวกท่านอยากทำสิ่งใดก็ทำเถิด ข้าไม่มีสิ่งใดต้องใช้พวกท่านในตอนนี้”
หม่าซูจูงมือลูกทั้งสองเลือกบ้านร้างหลังหนึ่งที่มีขนาดเล็กและมีรั้วรอบขอบชิดดูปลอดภัยใกล้กับทางขึ้นเขาหลังหมู่บ้าน บ่าวไพร่ที่เห็นเช่นนั้นต่างก็แยกย้ายกันไปเลือกบ้านใกล้ ๆ พวกนางแม่ลูก สภาพของทุกคนตอนนี้เสื้อผ้าขาดวิ่นจากการเดินทางไกล ทั้งยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่มาถึงเมืองชายแดน ทุกคนกังวลว่าฮูหยินกับคุณหนูและคุณชายจะอดทนไม่ไหว เพราะระหว่างทางมาก็เป็นพวกเขาที่คอยแบ่งอาหารและน้ำมอบให้จนสามารถเดินทางมาถึงจุดหมายได้โดยไม่ตกตายไปเสียก่อนจากการเดินทาง
“ท่านแม่พาซิวเอ๋อนั่งรอที่แคร่ใต้ต้นไม้ก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะทำความสะอาดภายในบ้านเองนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวาตัวน้อยรีบอาสาทำงานบ้านเอง
“นั่นจะได้อย่างไร ฮวาเอ๋อไม่เคยทำมาก่อน ให้แม่ช่วยเจ้าดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนนี้น้องชายยังไม่หายดี ท่านแม่ดูแลน้องก่อน ข้าจะหัดทำงานบ้านพวกนี้เอง ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวายิ้มกว้างส่งให้ทั้งสอง
“พี่ใหญ่ ข้าอยากช่วยด้วยขอรับ” ไช่ซิวตัวน้อยเอ่ยขึ้น เขาคิดว่าอาการตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วจึงอยากแบ่งเบาภาระครอบครัว
“เจ้าเชื่อฟังพี่ให้ดีเถิด ที่นี่ไม่รู้ว่าหมอจะมียาของเจ้าหรือไม่ เราเดินทางมาหลายเดือนยาของเจ้าก็ใกล้หมดแล้ว หากอาการกำเริบจะทำอย่างไร”
“ซิวเอ๋อ เชื่อพี่สาวเจ้าเถิด อย่าทำให้แม่กับพี่ใหญ่เจ้าต้องเป็นห่วง”
“ก็ได้ขอรับ รอข้าแข็งแรงเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยงานท่านแม่กับท่านพี่เอง”
หม่าซูยิ้มบางและลูบหัวบุตรชายคนเดียวของนางที่ต้องทนทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บมาตั้งแต่เกิด เป็นเพราะสุขภาพของนางไม่ดีตอนท้อง ทำให้บุตรชายร่างกายอ่อนแอมาตลอด ไม่ว่าจะมีหมอดีที่ใด ครอบครัวนางต่างพาเขาไปรักษา น่าเสียดายที่ท่านหมอทำได้เพียงให้ยาบำรุงเท่านั้น ด้วยพื้นฐานร่างกายที่อ่อนแอทำให้ไม่สามารถใช้ยาแรงกับเขาได้
ไช่เหมยฮวาเดินเข้าไปดูเรือนหลังเล็กก็พบว่าภายในมีห้องสองห้อง ถึงแม้ว่าจะน้อยไปหน่อย แต่นางกับท่านแม่สามารถนอนด้วยกันได้ ไช่เหมยฮวาเดินหาถังน้ำกับเศษผ้าในบ้านเพื่อทำความสะอาด ยังดีที่เจ้าของเดิมมีเสื้อผ้าเก่าอยู่ในตู้ หากพวกนางต้องการเสื้อผ้าก็ไม่ต้องลำบากหาเงินไปซื้อหาแล้ว
ไช่เหมยฮวาเดินหาน้ำรอบบริเวณบ้านก็พบว่ามีบ่อน้ำแห้งขอดอยู่ด้านหลัง นางได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างกังวล น้ำเพียงแค่นี้จะเพียงพอให้พวกนางใช้กินอยู่ได้อย่างไร ไช่เหมยฮวาตักน้ำในบ่อขึ้นมาอย่างยากลำบาก นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยทำงานหนักเหล่านี้มาก่อน แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ไช่เหมยฮวาพยายามตักน้ำขึ้นมาจนได้ นางรีบนำเศษผ้าและถังน้ำเข้าไปทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว
หม่าซูมองรอบบริเวณบ้านหลังเล็กที่หลังจากนี้พวกนางแม่ลูกจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้แต่น้ำตารื้นขึ้นมา นางคิดถึงสามีผู้จากไป หากเขายังอยู่ นางกับลูกคงไม่ลำบากมากถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีบ่าวไพร่ที่ถูกเนรเทศตามมาด้วย แต่พวกนางซึ่งไร้เงินทองของมีค่าจะนำสิ่งใดตอบแทนพวกเขาได้ หม่าซูจึงไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากพวกเขา อย่างไรชีวิตพวกนางหลังจากนี้แค่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีมากแล้ว รอให้ลูก ๆ เติบโตแข็งแรงเสียก่อน นางจึงจะวางใจได้
“ท่านแม่คิดอะไรอยู่ขอรับ” ไช่ซิวเห็นสีหน้าแม่ของตนเหมือนจะร้องไห้จึงเอ่ยถาม
“แม่ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนี้เจ้าต้องดูแลร่างกายให้ดีรู้หรือไม่ เจ้าก็รู้ว่าพวกเราไม่มีเงินทองติดตัวมา แม่ไม่อาจพาเจ้าไปหาหมอได้” หม่าซูหันไปปาดน้ำตาออก
“ข้าทราบขอรับ ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำสิ่งใดเกินตัว”
ไช่ซิวถึงแม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจดวงน้อยของเขาก็ตั้งใจที่จะเป็นเสาหลักให้ท่านแม่และท่านพี่ในอนาคต ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ถึงแม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ก็ได้รับการสั่งสอนจากบิดามาตลอดให้คอยดูแลครอบครัว ไช่ซิวจึงตั้งมั่นว่าตนเองจะต้องแข็งแรงขึ้นและช่วยเหลือครอบครัวให้อยู่อย่างสุขสบายให้ได้ในสักวันหนึ่ง
งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้นขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ
“คารวะนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ทั้งหมดกล่าวพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่เสียงดังไปทั่วทั้งจวน“พวกเจ้าอย่าทำให้ลูกสาวข้าตกใจสิ นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ อิงฮวาตามพ่อกับแม่ไปดูเรือนของเจ้ากัน พ่อสั่งคนให้จัดการเอาไว้อย่างดีเลย”“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากลับไปทำงานกันเถอะ ข้าจะพาลูกไปดูห้องของนางเอง ของที่ซื้อมาบนรถม้าก็นำไปให้คุณหนูที่เรือนด้วยเล่า” หม่านเซียงบอกทุกคนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยิน” ทุกคนยิ้มรับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานอิงฮวาเดินตามหลังท่านอาทั้งสองที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ของนางไปอย่างช้า ๆ นางมองดูจวนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่คิดว่าหลังจากอยู่หมู่บ้านเปียนจิ่วมานาน นางจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในจวนที่สุขสบายไม่ต่างจากครั้งยังเด็กอีกครั้งเรือนของอิงฮวาอยู่ติดกับเรือนหลัก ขนาดเรือนหลังนี
สามวันต่อมาวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า&r
10 ปีต่อมาไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวงอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให
ลุงปันกับคนอื่น ๆ มาถึงในเวลาต่อมา พวกเขาเห็นเสี่ยวเฉากำลังขุดกลางลำธารแห้งขอดอยู่ก็พากันสงสัย“คุณหนู เหตุใดมาที่นี่เล่าขอรับ” ลุงปันรีบถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามาหาแหล่งน้ำให้พวกเราตักกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกท่านไปช่วยพี่เฉาขุดได้หรือไม่”“หืม? เหตุใดต้องขุดลำธารแห้งนี่เล่าขอรับ” เสี่ยวเหอถามอย่างสงสัย“พี่เหอเห็นหรือไม่ว่ามีน้ำผุดออกมาจากหลุมที่พี่เฉากำลังขุดอยู่น่ะเจ้าค่ะ นั่นเป็นตาน้ำในลำธารนี้ ถ้าเราขุดลึกลงไป อาจจะมีน้ำให้พวกเราเอาไว้กินใช้ได้สักพัก”“ทุกคนวางตะกร้าลงก่อนแล้วไปช่วยเสี่ยวเฉาขุด จะได้เร็วขึ้น เสี่ยวโจ เสี่ยวฉู่ ไปหาไม้มาทำกระบอกใส่น้ำให้ทุกคนเร็ว ประเดี๋ยวหากกลับช้า ทุกคนจะเป็นห่วง”สิ้นเสียงลุงปัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทันที ส่วนลุงปันก็ไปหาไม้มาทำถังน้ำขนาดย่อมเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าน้ำจะมีมากพอให้ใส่หรือไม่ อ
“เจ้าดูต้นไม้เหล่านี้สิ ข้าว่าบนภูเขาลูกนี้คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเรานำไปเป็นอาหารได้แน่เลย ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านคงขึ้นเขากันมาไม่ต่างกับเรา” เสี่ยวซางที่มากับกลุ่มคุณหนูเอ่ยขึ้นกับสหายข้าง ๆ“ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ลองติดตามคุณหนูดูก่อนเถอะ” เสี่ยวเหอหันไปบอกสหายของตน“พวกเจ้าอย่าได้พูดมาก ในเมื่อคุณหนูต้องการขึ้นมาที่นี่ พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณหนูให้ดีก็พอแล้ว ส่วนอาหารจะหาได้หรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่วาสนา” ลุงปันหันไปเอ็ดเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งพูดคุยกันอย่างไม่ระวัง เขากลัวว่าคุณหนูจะหมดกำลังใจไช่เหมยฮวาที่ได้ยินเสียงพวกเขาไม่ได้กล่าวว่าอะไร นางเข้าใจดีว่าสภาพพื้นที่แห้งแล้งย่อมยากต่อการหาอาหาร เพียงแต่นางยังคงจำได้ดีว่าในตำรานั้นเคยบอกเอาไว้ว่าที่ใต้พื้นดินแห้งแล้งอาจมีหัวเผือก หัวมันใช้ประทังความหิวได้ แม้ว่าต้นมันจะแห้งเหี่ยวตายไปบนดิน แต่ใต้ดินยังมีหัวของพวกมันให้กินได้อยู่ นางจึงตั้งใจดูว่าบริเวณใดน่าจะมีหัวเผือก หัวมันอยู่บ้าง ไช่เหมยฮวาจำรูปใบของหัวพวกนี้ได้อย่างขึ้นใจ นางเดินขึ้นเขาไปได้ไกลพอสมควร ก่อนจะพบเห็นว่าพื้นที่ป่าด้านซ้ายดูจะมีความชื้นจนนางรับรู้ได้อยู่บ้าง“พว